เมื่อผู้หญิงคนนั้น ต้องยกมือไหว้ขอขมาภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างฉันต่อหน้าศาล

เราฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้ สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นต้องยกมือไหว้ขอขมาเรา ถ้าสมาชิกพันทิปเป็นเราพวกคุณจะรู้สึกอย่างไรบ้างคะ

เราขอเล่าเรื่องของตัวเองไว้เป็นวิทยาทาน  เผื่อใครที่โดนกระทำแบบนี้หรือใกล้เคียง จะใช้เป็นประโยชน์ได้บ้างนะคะ แต่จะขอไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับการคำให้การพยาน, พยานหลักฐานต่าง ๆ มากนะคะ และปกติมีล็อคอินในพันทิปอีกอันที่ระบุตัวตน แต่ขอสมัครอันใหม่เพราะไม่อยากให้กระทบถึงใคร

ก่อนอื่นขอเล่ารายละเอียดให้ฟังกันก่อนค่ะ

เราเคยแต่งงานแบบไม่จดทะเบียนสมรสแต่จัดงานแต่งงานมาแล้ว 1 ครั้ง มีลูกชาย 1 คน แต่มีเหตุให้ต้องเลิกกับคนเก่า หลังจากเลิกรามาประมาณ 8-9 ปีก็มาเจอสามีคนปัจจุบัน คบหากันได้เกือบ 2 ปี ก่อนตัดสินใจจดทะเบียนสมรส ก็ดูแล้วเค้าเข้ากับลูกชายได้ และเค้าก็บอกว่ารักลูกเรา เลยตัดสินใจจดทะเบียนสมรส ต่อมาประมาณ 2 ปีก็มีลูกสาว 1 คน งานของเค้าเป็นงานที่ต้องห่างจากที่บ้านเป็นเวลาอย่างน้อย 1 อาทิตย์ ถึง 6 เดือน แล้วแต่ว่างานเล็กหรืองานใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ เค้าเป็นหัวหน้าแผนก ลูกน้องในแผนกจะมีแต่ผู้ชาย บางงานจะมีผู้ช่วยที่เป็นผู้หญิงอยู่ 1 คน ซึ่งน้องคนนี้เรารู้จักเคยเห็นหน้ากันหลายครั้ง ช่วงที่ยังไม่มีลูกสาว หากเค้าไปทำงานที่ห่างบ้าน บางครั้งเราจะไปหาและค้างคืนกับเค้าบ้าง

เรื่องการเงิน ตอนแรกเรามีงานของตัวเองก็เลยไม่เคยขอเงินเค้าใช้ และเค้าก็ไม่เคยให้เงินไว้ใช้ เค้าเพียงแต่ให้ค่าเทอมลูกสาวและมีให้แต๊ะเอีย ให้มาเป็นก้อนแล้วให้เราแบ่งให้พวกญาติผู้ใหญ่, หลาน ๆ ของเค้า และพ่อแม่ ลูกของทางฝั่งเรา  หากไม่พอเราก็เอาเงินเราใส่ไป (ไม่เคยพอ เพราะต้องให้ญาติเค้าหลายคน) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับลูกชายทางเราจะออกเองหมด เพราะแม่เราบอกไว้ว่า ถึงแม้เค้าจะบอกรักลูกเรา แต่ลูกชายก็ยังไม่ใช่ลูกจริง ๆ ของเค้าอยู่ดี เค้าอาจจะไม่คิดอะไร แต่ญาติของทางฝั่งเค้าเราไม่อาจรู้ได้ ฉะนั้นจ่ายเองดีกว่า เพราะหากอนาคตเกิดมีการพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมา เราจะได้พูดได้เต็มปากเต็มคำ เค้าก็จะได้ไม่ต้องเอาเรื่องพวกนี้มาอ้างได้ (แม่ของเราไม่เคยรู้ว่า สามีเราไม่เคยให้เงินเราไว้ใช้ในบ้าน)ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้าน และพวกบัตรเครดิต ผ่อนรถ 2 คัน ช่วงที่เค้ามีงาน เค้าจะจ่ายบัตรของเค้า และผ่อนคันที่เค้าใช้ แต่ถ้าช่วงไหนเค้าไม่มีงาน เราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายหมดทุกอย่าง ถ้าไปเที่ยวเราก็เป็นคนออก แต่นั่นเป็นเพราะเรามี เราเลยออกให้ได้ ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าเป็นครอบครัวใครจะออกหรือจ่ายหรือให้ก็เหมือนกัน เวลาที่บ้านเค้ามีปัญหาถ้าเราช่วยได้ เราก็ช่วยทุกครั้ง

ตลอดเวลาที่สามีทำงานห่างบ้านจะโทรมาคุยทุกวัน ๆ ละหลายรอบ ตอนที่มีไลน์แล้วก็ไลน์หากันตลอด และหากมีเหตุฉุกเฉินไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนก็จะรีบมาโดยเร็วที่สุด พวกเราแม่ลูกเลยชินกันแล้ว และถึงแม้ว่าเรื่องการเงินเค้าจะไม่ดี แต่เราก็ไว้ใจ เชื่อใจสามีมาก เราเป็นคนที่มีความตรงไปตรงมาสูง เรียกง่าย ๆ ว่า ขวานผ่าซาก ไม่ชอบการโกหก ไม่ชอบคิดมาก ไม่เคยเช็คหรือตรวจสอบอะไรของเค้าทั้งสิ้น เชื่อมั่นในตัวสามีมาก ไม่เคยคิดว่าเค้าจะมีผู้หญิงคนอื่นได้เพราะภูมิหลังครอบครัวของเค้า (ขอไม่เล่าเรื่องภูมิหลังของเค้านะคะ)

แก้ไข เว้นย่อหน้าให้อ่านง่ายขึ้นนะคะ
ขอแก้ไขอีกสักครั้งนะคะ ตอนแรกกะว่าจะไม่เอาการสืบพยานมาลง แต่มีหลังไมค์มาถามเยอะมาก เลยนำมาลงไว้เป็นวิทยาทาน (เน้นนะคะ)
พอเอามาลงหน้ากระทู้แล้ว แต่บางคนก็อ่านยังไม่ถึงแต่หลังไมค์มาถาม ก็เลยขอบอกตรงนี้เลยว่า สืบพยานอยู่ที่ความคิดเห็นที่ 679 เป็นต้นไปนะคะ

*****มีหลายท่านมากเลยนะคะ ที่หลังไมค์มาสอบถามเรื่องคดีและขอเบอร์ทนาย แต่เราไม่สามารถตอบกลับท่านได้*****

รบกวนช่วยกดตรงบัญชีผู้ใช้ แล้วเลือก จัดการข้อมูลส่วนตัว พอกดแล้ว จะไปที่หน้าจัดการข้อมูลส่วนตัว
จากนั้น ให้ดูด้านขวามือ จะมีเขียน "ตั้งค่าหลังไมค์" ให้เอาติ๊กถูกออกนะคะ

หากเอาออกแล้ว รบกวนเขียนมาหาอีกรอบจะได้รู้ว่าเอาออกแล้วนะคะ

ขอบคุณค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
แต่มาระยะหลัง ๆ เค้าเริ่มที่จะห่างไปทีละน้อย จากโทรคุยหรือไลน์ วันละหลาย ๆ รอบ ก็เหลือวันละรอบ หรือ 2-3 วัน ครั้ง หลัง ๆ เริ่มอาทิตย์ละครั้ง หากมีเรื่องฉุกเฉินก็ให้ลูกน้องมาทำแทน หรือบอกว่าให้ทำยังไงแทน ไลน์ไปหา กว่าจะอ่าน กว่าตอบก็ข้ามวัน ด้วยความที่เราไม่ชอบคิดมาก + ขวานผ่าซาก เราไม่อยากให้ความสงสัยมาก ๆ กลายเป็นระแวง เลยถามเค้าไปตรง ๆ ว่า “ช่วงที่ห่างกันมีผู้หญิงคนอื่นบ้างรึเปล่า” เค้าก็ตอบกลับมาว่า “ไม่มี งานยุ่งมาก แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว เงินที่หาได้ก็แทบไม่พอใช้ จะหาเรื่องใส่ตัวเองทำไม” เราเลยแอบว่าตัวเองว่า เกือบจะทะเลาะกันด้วยเรื่องพวกนี้แล้ว หลังจากนั้น เค้าจะปรับปรุงเรื่องโทรคุย กับตอบไลน์อยู่สักพักนึง

แต่ก็ปรับปรุงได้พักเดียวก็เป็นแบบเดิมอีก และที่เลวร้ายคือเรียกว่าแทบจะไม่กลับบ้านเลย คือกลับมาบ้านในปีนึงไม่ถึง 2 อาทิตย์ ใน 2 อาทิตย์คือ วันเกิดลูกสาว, วันตรุษจีน, วันพ่อ&วันแม่ (เค้าต้องไปกินข้าวกับที่บ้านเค้า), ไปเที่ยวกันพร้อมหน้า 4 คนประมาณ 3-4 วัน หรือจะมีแวะมานอนตอนกลางคืนเร็วสุดประมาณ 5 ทุ่ม จะมีครั้งหรือ 2 ครั้งเท่านั้น พอมาถึงก็บอกว่าเหนื่อยมาก แต่ไม่ยอมนอน เอาแต่เล่นโทรศัพท์ เราก็ดูแล้วสภาพเค้าดูโทรมมาก และออกไปประมาณตี4-5 แน่นอนว่าลูกไม่เห็นหน้าพ่อ

และจากเงินที่จ่ายค่าเทอมลูกสาว ก็ผลัดให้เราจ่ายไปก่อน แล้วค่อยผ่อนให้คืนเรา พอเราถามว่า “ทำไมเป็นแบบเดิมอีก” เค้าก็บอกว่า “งานเยอะมาก ไม่มีเวลาว่างเลย” เราก็ถามต่อว่า “งานเยอะ จนไม่มีเวลามากลับบ้าน ไม่มีเวลาคุยกับลูก แต่ทำไมไม่มีเงิน ยังต้องเอาเงินที่บ้าน” (บางครั้งเค้าโทรมาให้เราจ่ายค่าบัตรเครดิต และค่าผ่อนรถที่เค้าขับให้ บอกว่าค้างมา 2 งวดแล้ว เดี๋ยวรถโดยยึด) เค้าก็ตอบว่า “เจ้านายเอาเงินไปหมด เงินที่เหลือก็ให้พวกลูกน้องไว้ใช้ ถ้าเค้าไม่ทำงาน ลูกน้องก็จะไม่มีเงินให้ครอบครัวพวกเค้า” เราก็บอกว่า “ห่วงครอบครัวลูกน้อง ครอบครัวตัวเองไม่เคยห่วงรึไง” เค้าก็บอกว่า “ก็รู้ว่าเธอมี และกำลังเก็บสะสมเงินจะให้เธอเป็นเงินก้อน” เราก็เชื่ออีก และโอนเงินให้เค้าไปใช้  และถ้าจะเจอกันเค้าบอกว่าต้องนัดล่วงหน้า 3 -6 เดือนขึ้นไป เพราะงานเค้าไม่แน่นอน เราก็นัด แต่พอถึงเวลาก็เลื่อนนัด อ้างว่าเจ้านายไม่ให้มา ลูกก็ต้องหน้าตั้งตาจะเจอพ่อ แต่ก็ไม่ได้เจอ

พอหลายครั้ง ๆ ที่เรากับลูกเริ่มบ่นว่า “ทำไมไม่ยอมกลับบ้าน ทำไมเจ้านายใช้งานโหดจัง แล้วจะวันเกิดลูกแล้วจะกลับมาใช่มั๊ย ของขวัญของลูกจะให้ซื้อไว้เลยมั๊ย และให้โทรขอเจ้านายให้มั๊ย” (เราพอจะรู้จักกับเจ้านายเค้า) เค้าก็บอกว่า “ไม่เป็นไร อีกไม่กี่วันก็ได้กลับแล้ว ของขวัญเดี๋ยวไปซื้อพร้อมกับลูกเลยจะได้ให้ลูกเลือกเอง” พอถึงวันเกิดลูกเค้าก็กลับบ้านมา มาถึงตอนเช้า มาพร้อมกับพวกของใช้ฟุ่มเฟือย อาทิ ไอแพด 2 เครื่อง ไอโฟน รุ่นใหม่ ฯลฯ และแหวนของใครก็ไม่รู้มาใส่แทนแหวนแต่งงาน เราเห็นแล้วแต่ยังไม่ถามอะไร แต่มาถึงเค้าก็ออกไปข้างนอก

กลับมาอีกทีตอนหัวค่ำก็รีบไปกินข้าว และรีบไปซื้อของขวัญ วันนั้นเค้าขับรถค่อนข้างเร็ว เราพูดว่า “ถ้าไม่ทัน เดี๋ยวไปซื้อกับลูกเองก็ได้ ไม่ต้องขับเร็วขนาดนี้ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ” ลูกได้ยินก็จะร้องไห้ เค้าก็เบาลงมานิดนึง แต่กว่าจะซื้อของขวัญเสร็จก็ประมาณ 3-4 ทุ่มแล้ว กลับมาถึงบ้านเราก็เลยบอกเค้าว่า “ดึกแล้ว ค้างคืนที่บ้านแล้วค่อยออกไปทำงานดีกว่า จะได้นอนกับลูกด้วย” เค้าก็บอกว่า “ได้ แต่จะออกไปออฟฟิศโกดังเก็บของแป๊ปนึงนะ” (โกดังอยู่ตรงข้ามบ้าน) เราก็บอกให้รีบกลับมานะ เพราะลูกคอย และลูกก็คอยจริง ๆ รออยู่หน้าประตูบ้าน  ไม่ยอมขึ้นมาอาบน้ำ รอให้พ่อเค้ามาอาบน้ำให้ แต่เราก็เรียกขึ้นมารอในห้อง เวลาก็เลยมาประมาณ 5 ทุ่ม ยังไม่กลับเข้าบ้าน เราก็เลยไลน์ตาม โทรตาม ก็ไม่รับสาย ไม่ตอบไลน์ เรากำลังจะเดินไปตามที่ออฟฟิศ เค้าก็กลับเข้ามาพอดี เราก็ต่อว่าไปนิดนึงว่า “ทำไมถึงไปนาน ป่านนี้ลูกยังรออยู่เลย นาน ๆ จะเจอลูกที ให้เวลากับลูกให้เต็มที่ไม่ได้หรอ” เค้าก็รีบขึ้นไปหาลูก

พอลูกนอนแล้ว เราก็ถามว่า “ไหนบอกว่าไม่มีเงิน แล้วของพวกนี้ได้มายังไง” เค้าก็บอกว่า “ซื้อมาได้ในราคาที่โค ตะ ระ ถูก เช่น ไอแพด ราคา 5,000.- บาท กระเป๋าแบรนด์เนม ราคา 1,000.- บาท ฯลฯ” เราก็บอกว่า “ถ้าถูกขนาดนั้น ทำไมไม่ซื้อมาเผื่อชั้นกับลูกด้วย” เค้าตอบว่า “คนในบริษัทที่เค้าแย่งกันซื้อ ที่ได้มาก็ถือว่าเยอะแล้ว” เราก็บอกว่า “มีโทรศัพท์ใหม่แล้ว ขอเครื่องเก่าแล้วกันจะให้ลูกไว้ใช้” แต่เค้าไม่ยอมให้ อ้างว่า “ยังมีข้อมูลเก่าอยู่ ยังเอามาลงในเครื่องใหม่ไม่หมด” เราก็ถามเรื่องแหวน เค้าก็ตอบว่า “พอดีเก็บได้ที่ทำงาน เห็นว่าสวยดีเลยเอามาใส่” เราก็เลยบอกไปว่า “อย่าใส่เลย คนเค้าทิ้งไปแล้ว ยังจะเก็บของที่คนอื่นเค้าทิ้งมาใช้อีก” เค้าก็บอกว่า “เดี๋ยวถอดออกเอง” ส่วนเรื่องแหวนแต่งงานเค้าบอกว่า ใส่สร้อยห้อยไว้ เพราะไม่สะดวกเวลาทำงาน ไอ้เราก็รู้สึกตงิด ๆ แต่ขี้เกียจมาเถียงใส่แหวนใครก็ไม่รู้ได้ ไม่เกะกะ แต่แหวนแต่งงานบอกไม่สะดวก และครั้งหลัง ๆ ที่เค้ากลับมาบ้านจะไม่เอารถมาด้วย พอเราถามก็บอกว่า “นั่งเครื่องบินมา” เราบอกว่า “เดี๋ยวเราไปรับที่สนามบิน” เค้าก็บอกว่า “ไม่ต้อง เดี๋ยวให้ลูกน้องเค้ามารับ จะได้ไม่ต้องเหนื่อย” เรื่องสามีมีอะไรอีกหลายอย่าง แต่ขอเล่าเท่านี้ก่อน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 56
คดีที่สามีฟ้องหย่านั้น เราขอให้ศาลในคดีฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้กรุณาไกล่เกลี่ยให้ ตอนแรกทางสามีดื้อนิดหน่อย แต่พอดีว่าตอนเค้าเบิกคำให้การในคดีฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้ เค้าเผลอให้การว่า เค้าเป็นฝ่ายออกมาเอง ไม่ได้ตกลงกับเรา เค้าไม่อยากอยู่กับเราเอง และเค้าไปมีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นจริง และเราจดทะเบียนสมรสกันก่อนตั้งท้องลูกสาวถึง 2 ปี อีกหลายอย่างมากกกก ง่าย ๆ คือ ที่เค้าฟ้องเรามา เค้าแก้ต่างให้เราหมดเกือบจะทุกเหตุที่เค้าฟ้องเรามาเลยก็ว่าได้ แถมวันสืบพยานยังมานั่งหลับสัปหงกในศาลด้วย มีการเอาโพยขึ้นมาดูตอนเบิกคำด้วย สรุปก็ไกล่เกลี่ยได้ โดยตกลงกันว่า
1.เรามีอำนาจปกครองลูกผู้เดียว
2.เค้าต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและค่าเล่าเรียนตามที่ตกลงกัน  (ค่าอุปการะเลี้ยงดู จะขึ้นตามสเต๊ปการขึ้นชั้นเรียน เริ่ม 15,000.- บาท สูงสุดไม่เกินเดือนละ 25,000.- บาทแต่ค่าเล่าเรียนให้จ่ายตามความจริงค่าเทอมลูกแต่ละเทอมประมาณ 5 หมื่นกว่า) จนลูกจบปริญญาตรี
3.ค่ารักษาพยาบาลลูก หากเกิน 5,000.- ต้องหารกัน
4.บ้านโอนเป็นชื่อลูก แล้วค่อยไปหย่ากัน
5.ให้เราเอารถคันที่เราใช้อยู่ไปขาย แล้วมาดาวน์คันใหม่ ราคารถคันใหม่ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท โดยหักยอดดาวน์แล้วให้สามีช่วยผ่อนให้เราครึ่งนึง
6. ไปหาลูกได้ แต่ลูกต้องสมัครใจเจอ
7. หากมีหนี้ ก็ต่างคนต่างจ่าย
8. บังคับคดีได้ทันที
ความคิดเห็นที่ 69
สุดท้ายนี้เราต้องขอบคุณกระทู้หลาย ๆ กระทู้ในพันทิปนี้ เราอ่านแล้วเรานำมาประยุกต์ใช้กับคดีเรา
ขอบคุณคุณทนายหลาย ๆ คน ทั้งที่ไม่ได้บอกว่าเป็นทนาย ทั้งที่บอกว่าเป็นทนาย เพราะพวกคุณมาตอบคำถามในเชิงกฏหมาย เลยทำให้เราได้รู้ข้อกฎหมายหลาย ๆ อย่าง

และต้องขอบคุณเป็นพิเศษ สำหรับคุณทนาย.....ที่ให้คำปรึกษาโดยไม่คิดค่าปรึกษามาตลอด 2-3 ปี เราทั้งโทรทั้งเมลรบกวนหลายครั้งมาก บางครั้งเราโทรไปแล้ว ไม่ได้รับสาย หรืออยู่ในศาลปิดเครื่อง ก็จะรีบโทรกลับมาหาเราแทบทุกครั้ง และตอบเมลเราทุกครั้ง ต้องขอขอบคุณมากกกกกกเลยนะคะ (ปล. จริง ๆ เราขอให้เป็นทนายให้แต่ตอนนั้นคุณอภิสิทธิ์ติดคดีอื่นอยู่เลยไม่ได้รับ)
และไม่ลืมต้องขอขอบคุณพี่ทนายที่ทำคดีในเรา

ปล. ตัวเราไม่เคยพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับพ่อเค้าให้ลูก ๆ รู้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเท่าที่พ่อเค้าไม่มาเจอเค้า แม้กระทั่งโทรมาคุย ตัวลูกก็รู้สึกแย่อยู่แล้ว เราปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ จากเมื่อก่อนก็ถามถึงบ่อยมาก จะโทรหาทุกวัน ถ้าไม่รับสาย ก็จะโทรอยู่นั่นแหล่ะ จนเราต้องบอกว่า สงสัยป๊าทำงานยุ่งอยู่ เดี๋ยวคงโทรกลับมาเอง หรือบางครั้งก็บอกว่า ป๊าไปทำงานที่ต่างประเทศ เลยไม่ได้มาหา บางครั้งที่โรงเรียนมีพ่อแม่มารับส่งเพื่อน ๆ ลูกเห็นลูกก็อยากจะเป็นแบบนี้บ้าง บางครั้งทางโรงเรียนมีกิจกรรมที่ให้เด็กไปพูดว่า พ่อแม่ทำงานอะไร มีความภูมิใจยังไง บางครั้งคำถามของลูกที่ถามเรื่องของพ่อ เราก็ไม่รู้จะตอบยังไง จนลูกเลิกถาม เลิกโทร เราเคยถามว่า จะโทรหาป๊ามั๊ย ลูกก็ตอบ ไม่อยากคุยทางโทรศัพท์ อยากเจอตัวเป็น ๆ มากกว่า หนูดูออกถ้ามาแล้วไม่มีความจริงใจหนูก็ไม่เอา แต่ตอนนี้ลูกก็ไม่ได้ถามถึงมาก นาน ๆ จะถามที และก็เป็นเพราะเห็นของเล่นที่พ่อเค้าไม่ได้เอาไปด้วยแค่นั้น
ความคิดเห็นที่ 354
เราอ่านความเห็นหลาย ๆ คนแล้ว ดูยังไม่สะใจกับการกระทำของพวกเค้า
แต่สำหรับเราแล้ว ในโอเคแล้วและพวกเค้าก็แย่ลงเอาการนะคะ

-ที่เราบอกว่า เพื่อนร่วมงานเล่าพฤติกรรมต่าง ๆ นั้น บางคนเค้าก็ไม่เคยรู้เรื่อง คิดว่าเค้า 2 คน เป็นแฟนกันจริง ๆ พอมารู้ก็ขยะแขยง และในวงการที่สามีทำงาน ข่าวมันแพร่กระจายเร็วมาก
หลายบริษัทที่เค้ารู้เรื่อง เค้าก็ไม่รับเข้ามาทำงานอีก มีชู้ไม่ว่า มันเป็นเรื่องกามส่วนตัว แต่การที่ไม่เลี้ยงลูก ไม่ส่งเสียลูก รับไม่ได้อย่างมาก ตอนเราได้ยินข่าว เราก็คิดว่า ใช่แน่หรอ อะไรจะขนาดนั้น เรื่องลูกมันก็เรื่องส่วนตัว เรื่องในครอบครัวเช่นเดียวกัน แต่พอเราเจอสามีเราในศาล สามีเราโมโหเรา หาว่าที่เค้าไม่มีงานในไทยทำเป็นเพราะเรา

-แต่เราก็ยังอยากให้สามีเค้ามีงานทำนะคะ เค้าจะได้มีมาจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าเทอม อะไรต่าง ๆ ที่เค้าต้องจ่าย
ค่าอุปการะเลี้ยงดู ยังไงก็ต้องพิจารณาจากความเป็นจริงด้วย ลูกสาวกำลังเรียนชั้นประถม เฉลี่ยแล้วสามีต้องจ่ายเป็นค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียนประมาณเดือนละ 25,000.-บาท พอขึ้นมัธยมน่าจะตกเดือนละ 35,000.- บาท และมหาลัยถ้าลูกเรียนเอกชนน่าจะตกเดือนละประมาณ 50,000.- บาท
รถ เค้าก็ต้องมาช่วยผ่อนให้เรา
บ้านที่อยู่ก็ต้องโอนเป็นชื่อลูกเรา
แล้วคอนโดที่เค้าอยู่กับผู้หญิงคนนั้น จริง ๆ แล้ว ก็เป็นของสามีเก่าของผู้หญิงคนนั้นอยู่ เราเพิ่งจะมารู้ก็วันสืบพยาน ทางผู้หญิงนั้นหลอกว่า เค้ายังอยู่กับสามีเค้า เอาทะเบียนบ้านมาให้ดูว่า สามีเค้ายังเป็นเจ้าบ้านอยู่ ศาลเลยถามว่า แล้วสามีทำไมไม่มาเป็นพยาน เค้ารู้มั๊ยว่าภรรยากำลังโดนฟ้องคดีอยู่ ทางผู้หญิงตะโกนขึ้นมาว่า เค้าใจดำมากค่ะ เค้าไม่มาเป็นพยานให้หรอกค่ะ (ณ ตอนนั้น เรากลั้นหัวเราะเอาไว้ด้วย...อิอิอิ)

-ส่วนผู้หญิงคนนั้น เค้าก็ไม่สบาย เห็นว่าต้องผ่าตัด เราไม่อยากไปจองเวรกับเค้าต่อ

การที่ทั้งสองคนนั้นจะไปพูดอะไรเกี่ยวกับเรา ไม่ว่าในทางไหน เราก็ไม่สนใจ สำหรับเรา จบคือจบ เราได้เกริ่นไปตอนแรกแล้วว่า เราเป็นคนไม่ชอบคิดมาก...ปวดหัวเปล่า ๆ เครียด แก่เร็ว หน้าเหี่ยว สุขภาพเสื่อมโทรมทั้งกายและใจ ฯลฯ ขอให้พี่แกจ่ายเงินแค่นั้นพอ แต่ถ้าไม่จ่ายคราวนี้ไม่ยอมง่าย ๆ แล้วนะจ๊ะ...เพราะมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของลูกล้วน ๆ

จริง ๆ คิดอยู่หลายครั้งว่าเขียนดีรึเปล่า แต่พอดีมีคนเชียร์หลายคนว่าให้เขียนลงในพันทิปก็เลยเขียน  แต่ที่เขียนไม่ใช่เพื่อความสะใจหรืออวดว่าทางนั้นเค้ามาขอโทษนะคะ แต่อยากให้คนที่กำลังมีปัญหาเรื่องพวกนี้ บางคนอาจจะกำลังสู้คดีอยู่ ได้มีกำลังใจ, มีสติ, หาความรู้ต่าง ๆ ข้อกฎหมายต่าง ๆ เพราะบางครั้ง ทนายเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเราทุกครั้ง เราเจอมาแล้ว แต่โชคดีที่อ่านข้อกฎหมายไว้บ้างแล้ว  , พยายามหาข้อมูลหลักฐานทุกอย่าง เราเก็บทุกอย่างเท่าที่เราจะเก็บได้ และเราจะต้องป้องกันคนที่ให้ข้อมูลกับเราว่าพวกเค้าจะไม่โดนฟ้องด้วย และจิตใจต้องเข้มแข็งพอสมควร

เรื่องราวต่าง ๆ ที่เขียน เราจดบันทึก, ถ่ายรูป, ถ่ายวีดีโอเก็บ, เก็บเอกสารที่หาเจอไว้ตลอด มันเป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในชีวิตของเราที่เจอ ไม่รู้จะทำยังไง มันสับสนเลยลองเขียน ๆ ไปเรื่อย สำหรับเรามันทำให้เรามีสติค่ะ (แปลกรึเปล่า)  และคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ทำแบบนั้น เพราะต้องไปเล่าให้ทางสถานพินิจฯ ฟังด้วย, ในตอนสืบพยานก็ต้องพูดด้วย กลัวลำดับเรื่องราวไม่ถูกต้อง และต้องไปขอพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เราบันทึกเอาไว้...

ปล. อันนี้ไม่ได้จะโลกสวยนะคะ แต่อย่าไปว่าถึงบุพการีของพวกเค้าเลยค่ะ พวกเค้าต้องเข้าข้างคนในครอบครัวเป็นเรื่องธรรมดา และจริง ๆ เค้าอาจจะเรียกพูดคุยตักเตือนกัน แต่เราไม่รู้ก็ได้ เช่น แม่เราจะไม่ว่าลูกให้คนภายนอกได้ยิน แต่ท่านจะเรียกมาพูดตัวต่อตัวค่ะ
ความคิดเห็นที่ 52
เช้าวันรุ่งขึ้น ศาลและโจทก์มานั่งรอจำเลยในห้องแล้ว อีกสักพักทางสามีโจทก์และจำเลยถึงมา ตัวจำเลยคงจะร้องไห้มา เพราะตาแดงและบวมมาก และโทรมยิ่งกว่าโทรม จากที่วันก่อนว่าโทรมแล้วว่าไม่แต่งตัว ตัวสามีเอง เสื้อก็ไม่ได้รีดมาด้วย มาแบบยับ ๆ เลย ผู้หญิงก็ใส่เสื้อตัวใหญ่ ๆ กางเกงยีนส์ ศาลก็ถามสามีโจทก์ที่มาพร้อมกับจำเลยว่า เอาเงินมาแล้วใช่มั๊ย สามีโจทก์ตอบว่า ครับ ศาลก็บอกเอาให้ทางโจทก์ เค้านับเงินเลยว่าครบมั๊ย และระหว่างนั้นก็ให้ทางทนายโจทก์เขียนใบถอนฟ้อง

แต่ช่วงนั้น จำเลยและสามีโจทก์ออกจากห้องไปสักพักใหญ่เลย ตอนเข้ามาทีนี้ตาแดงทั้ง 2 คน และก็ขอออกไปอีกครั้ง ทีนี้ทางโจทก์นับเงินเสร็จ ทนายโจทก์เขียนถอนฟ้องเสร็จ ก็เหลือแต่เรื่องให้ทางจำเลยมาขอโทษ ศาลรอให้เค้าเข้ามาเอง แต่ทางนั้นยังไม่เข้ามา ก็ให้ทางทนายจำเลยไปเรียกมา คราวนี้เห็นชัดมากว่าร้องไห้ เพราะน้ำตายังไหลอยู่ หน้าแดง ตาบวม มาโทรมมากจริง ๆ

ศาลก็เรียกให้มาที่ข้างหน้า มาขอโทษ ทางนั้นก็ยกมือไหว้ขอโทษ บอกว่า “หนูขอโทษพี่ค่ะ” แต่ศาลให้พูดใหม่ จำเลยพนมมือและพูดว่า “หนูขอโทษที่ทำให้ครอบครัวพี่แตกแยก หนูสำนึกผิดแล้ว ขอให้พี่ยกโทษให้หนูด้วยนะคะ” ตอนพูดน้ำตาไหล, หน้าแดง, เสียงสั่นมาก และโจทก์ก็พยักหน้า (ตอนนั้นไม่ได้รับไหว้) บอกว่า ให้อภัย อโหสิกรรมค่ะ

และศาลก็หันมาทางโจทก์ว่า ให้ทานเค้านะ โจทก์ก็บอกว่า ให้ค่ะ จากนั้นจำเลยก็นั่งแป๊ปนึงแล้วขออนุญาตศาลขอออกไปแป๊ปนึง เพราะว่าอยู่ไม่ไหวจะเป็นลม ศาลอนุญาต แต่บอกให้เข้ามาเซ็นต์เอกสารด้วย อย่าเพิ่งกลับ ถ้าเซ็นต์เสร็จก็กลับได้เลย โจทก์ก็มองทางจำเลย เค้าดูไม่ไหวจริง ๆ น้ำตาไหล หน้าแดงตลอด เสร็จทีนี้โจทก์ก็บอกทางสามีไปว่า เค้าขอโทษแล้ว เธอหล่ะ ขอโทษชั้นรึยัง ทางสามีก็ยกมือไหว้ขอโทษทันที แต่สามียังกลับไม่ได้ เพราะต้องคุยเรื่องคดีที่เค้าฟ้องหย่าต่อ คดีฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงชู้ก็เป็นอันจบไปค่ะ
ความคิดเห็นที่ 25
8.และพอพวกเค้ากลับมาไทย ก็ไม่ได้มาคุยกันตามที่บอกไว้ แต่มาที่ออฟฟิศตรงข้ามบ้านโดยบางครั้งมารถสามี บางครั้งมารถของผู้หญิง

ตอนที่พวกเค้ากลับไทยมาสักพัก อยู่มาวันนึงก็มีไปรษณีย์มาส่งจดหมายลงทะเบียน เราอ่านหน้าซองเห็นว่ามาจาก ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ตกใจมากกกก และ งงว่าคืออะไร ทำไมมีหมายมาถึงเราได้ พอเปิดอ่านดู เป็นคดีสามีฟ้องหย่าเรา ด้วยเหตุ (เราจับใจความสรุปเอานะคะ)
1.เราไม่ร่วมหลับนอนกับเค้า
2. เราถือศีล เชื่อว่าเค้าโดนคุณไสย ชอบบอกให้เค้าเข้าวัด
3.เค้าไม่ได้ทดแทนพระคุณแม่เค้า
4.เราทำให้เค้าอับอายต่อหน้าเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน โดยเราสั่งสอนให้ลูกเราไปทวงเงินค่าเทอม
5.เค้าต้องจ่ายค่าใช้จ่าย โดยที่เค้าเป็นผู้ออกแต่ฝ่ายเดียว
6.เราหลอกลวงเค้า ว่าเราไม่มีลูก
7.เราไม่ให้ลูกใช้นามสกุลเค้า ทำให้เค้ารู้สึกอัปยศอดสูมากที่เค้าเลี้ยงดูลูกมาแต่ลูกไม่ได้ใช้นามสกุลของเค้า
8.เค้ายินยอมที่จะแต่งกับเราในขณะที่เราตั้งท้องลูกสาวได้ 3 เดือน แต่เราก็ยังทำตัวเลวร้ายทั้งพฤติกรรมและความคิดจนไม่อาจอยู่ร่วมกับเราได้ ขอแยกกันอยู่ โดยออกไปอยู่กับแม่และเพื่อน นานกว่า 3 ปีแล้ว
9.รู้สึกทรมานจิตใจ อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ใช้ชีวิตโดยมีความสุข แต่ขอเราหย่า แล้วเราไม่หย่าให้ แล้วบอกว่าเราท้าให้ไปฟ้องศาล
10. ขอใช้อำนาจปกครองลูกสาวร่วมกัน และขอให้ช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายด้วย

ส่วนเราก็ฟ้องชู้เรียกค่าทดแทนจากชู้ แต่ไม่ฟ้องหย่าสามี

ตอนนั้นเราคิดว่าเราโชคดีมาก เพราะตอนที่เราสืบ เราเก็บรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ เอาไว้ด้วย ตอนนั้นไม่คิดว่าจะได้ใช้ เพราะแค่อยากเก็บไว้เฉย ๆ แต่ในที่สุดก็ได้ใช้ให้เป็นประโยชน์ หลักฐานอันไหนที่เราเอามาเองไม่ได้ หรือต้องมีตราประทับ เราก็ขอหมายศาล สรุปคือหลักฐานของเราประมาณกระดาษเกือบ 2 รีมกว่า ๆ (ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่