คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
..นิราศภูเขาทอง ..ลูกกำลังเรียนอยู่ ม.1 สินะ ^^
คุณแม่ช่วยไกด์ให้ แล้วลูกไปดูต่อเองนะคะ จะได้เก่งๆ
..ก่อนอื่น ลูกต้องนึกภาพตามก่อนนะ ว่าการเดินทางครั้งนี้ของท่านสุนทรภู่ เป็นการพายเรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา
จุดหมายปลายทาง คือ เจดีย์วัดภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
..ลักษณะเด่นของ "นิราศ" ก็คือการบรรยายถึงการเดินทาง โดยมักจะแฝงการพรรณานาถึงความรัก คนรัก ไปด้วย
ซึ่งในนิราศภูเขาทองนี้ ..พอท่านสุนทรภู่ผ่านสถานที่ ที่ชื่อมันไปพ้อง หรือโยงไปหาความรักได้ ..อารมณ์ก็มาเต็ม ^^
..อย่างบทที่เรามักจะคุ้นหู และคนรุ่นเดอะ อย่างคุณแม่ ท่องได้โดยไม่ต้องกางโฉนด เพราะสมัยนั้นต้องสอบท่องปากเปล่า อย่างเช่น ..
และสิ่งควรจำอีกอย่างคือ ในการถอดความจากร้อยกรอง ..ลูกไม่จำเป็นต้องนั่งแปลทีละวรรค ไปตามตัวอักษรค่ะ
เราสามารถจับใจความ เพิ่มคำ หรือขยายความ เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้
บทที่ลูกยกมาแปลนี้ ..ท่านเลยสามโคก ปทุมธานีมาหน่อยแล้ว
..คำแรก ลูกก็เล่นซะคุณแม่เบรกหัวทิ่มเลย .. "พระสุริยง" ลูกจะไม่แปลหน่อยเหรอครับ ?
คำนี้ ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ แบบนางเอก "อย่าลืมฉัน" นะคะ
..หากแต่เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ สุริยะ สุริยา สุริยัน สุริยน สุรีย์ และอื่นๆ อีกมากมาย
พระสุริยงลงลับพยับฝน ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา ลูกอ่านแล้วจับใจความได้มั้ย ว่าสภาพอากาศในตอนนั้น เป็นยังไง ?
..keyword ก็เห็นๆ ..พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ..ก็แสดงว่า เป็นเวลาเย็น พลบค่ำ
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
..ในช่วงนี้ กล่าวว่าพวกท่านเดินทางมาถึงบริเวณที่เป็น "ทางลัด" แต่มันดันลัดเข้าไปกลางทุ่งนา
ที่เต็มไปด้วยวัชพืช อย่างแฝก - คา - แขม - กก
ซึ่งเป็นใครบุกเข้าไปในดงหญ้าพวกนี้ มันก็ต้องนึกเสียวบ้างแหละน่า ..
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
ต้องถ่อค้ำร่ำไปล้วนไม่เคย ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน เรือขย้อนโยกโยนกระโถนหก
..ท่านมองไปก็เห็นเรือเพรียว ( ลูกไปค้นหาความหมายของเรือเพรียวเอง คุณแม่ไม่บอก) ของคนหนุ่มสาว ที่ออกมาหาปลา
ท่านก็แอบตัดพ้อว่า คนหนุ่มๆ สาวๆ เค้าพายเรือกันแคล่วคล่องว่องไว ( ซึ่งอาจเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ และด้วยวัยล่ะมั้ง )
แต่คนที่พายเรือให้ท่านสุนทรภู่ ไม่ชำนาญทาง
ก็เลยยักแย่ยักยัน พุ่งเข้าไปในพงหญ้าข้างทางบ้าง ถอยหน้าถอยหลังก็ลำบาก เรือก็โคลงเคลง กระโถนน้ำหมาก หล่นกระจาย
..ลูกคงจะพอมองเห็นภาพความโกลาหลบนเรือนะคะ ^^
(หมายเหตุ : ตอนที่ท่านสุนทรภู่ประพันธ์นิราศภูเขาทองนี้ ท่านอยู่ในสมณเพศ ( = บวชอยู่ ) ..และตอนนั้นท่านก็อายุ 40 ต้นๆ แล้ว )
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน
..บรรยากาศช่วงนี้ คือ ..เงียบมากกกกก .. แล้วเจ้ากรรม พายเรือมาติดแหง็ก ลอยลำอยู่กลางทุ่ง ..ยังออกไปไม่เจอคลองสายหลัก
ตกดึก ยุงก็ชุม ยิ่งพอเรือไม่ได้เคลื่อนที่ ..จอดนิ่งๆ ยุงฝูงใหญ่ ( เพราะเปรียบซะว่า ยุงมากันทีแบบ เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด )
ก็มารุมกัดท่าน ต้องนั่งปัดยุง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร กระเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
..กลอนในช่วงนี้ ท่านบรรยายถึงความรู้สึกอ้างว้าง ..ซึ่งถ้าลูกอ่านกลอนบทก่อนหน้านี้ หรืออ่านประวัติท่านสุนทรภู่
ลูกก็จะทราบว่า ท่านเข้าราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ 2 )
เมื่อสิ้นแผ่นดิน ท่านภู่ก็ออกบวช อยู่นานเกือบ 20 ปี ..ช่วงที่ท่านแต่งนิราศภูเขาทองเนี่ย ท่านเพิ่งบวชได้ 4-5 พรรษา
โดยมีลูกชายคนโตของท่าน ชื่อพ่อพัด ( หรือปรากฎนาม "หนูพัด" ในคำกลอนบทต่อจากที่ลูกยกมาเลย คือ
..วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย ) บวชตามมาดูแลท่านด้วย
..ตอนนี้ท่านมาติดแหง็ก นั่งตบยุงอยู่กลางทุ่ง ..ท่านก็ให้รู้สึกอ้างว้าง วังเวงในหัวใจ
หวลนึกถึงยามที่ท่านยังรับราชการ มีเพื่อนฝูง ผู้คนนับหน้าถือตา
..แถวๆ นี้ ลูกแปลผิดหลายจุด .. สองยาม ..ไม่ใช่ ตี 2 นะคะ คุณลูก
ต้องโทษคนเขียนหลักสูตรการศึกษา ..ที่ไม่ให้เด็กเรียน เรื่อง ย่ำยามทุ่มโมง ..
เด็กเลยไม่รู้ว่า สองยาม คือเวลา "เที่ยงคืน" ค่ะ
และไม่มีคำไหนที่บอกว่า "ถึงตอนเช้า" เลยนะลูก .. โสมนัส ก็แปลว่า ความสุขใจ
ซึ่งวรรคนั้น ( ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส ) หมายถึง ตอนที่ท่านมีความสุข มีชื่อเสียง หน้าที่การงานพร้อม ..ต่างหากจ้า
..คุณแม่ช่วยเท่านี้นะคะ ..ลูกไปหาวิธีเรียบเรียงเอาเองเน้อ

คุณแม่ช่วยไกด์ให้ แล้วลูกไปดูต่อเองนะคะ จะได้เก่งๆ
..ก่อนอื่น ลูกต้องนึกภาพตามก่อนนะ ว่าการเดินทางครั้งนี้ของท่านสุนทรภู่ เป็นการพายเรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา
จุดหมายปลายทาง คือ เจดีย์วัดภูเขาทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
..ลักษณะเด่นของ "นิราศ" ก็คือการบรรยายถึงการเดินทาง โดยมักจะแฝงการพรรณานาถึงความรัก คนรัก ไปด้วย
ซึ่งในนิราศภูเขาทองนี้ ..พอท่านสุนทรภู่ผ่านสถานที่ ที่ชื่อมันไปพ้อง หรือโยงไปหาความรักได้ ..อารมณ์ก็มาเต็ม ^^
..อย่างบทที่เรามักจะคุ้นหู และคนรุ่นเดอะ อย่างคุณแม่ ท่องได้โดยไม่ต้องกางโฉนด เพราะสมัยนั้นต้องสอบท่องปากเปล่า อย่างเช่น ..
ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป
ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน
และสิ่งควรจำอีกอย่างคือ ในการถอดความจากร้อยกรอง ..ลูกไม่จำเป็นต้องนั่งแปลทีละวรรค ไปตามตัวอักษรค่ะ
เราสามารถจับใจความ เพิ่มคำ หรือขยายความ เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้
บทที่ลูกยกมาแปลนี้ ..ท่านเลยสามโคก ปทุมธานีมาหน่อยแล้ว
..คำแรก ลูกก็เล่นซะคุณแม่เบรกหัวทิ่มเลย .. "พระสุริยง" ลูกจะไม่แปลหน่อยเหรอครับ ?
คำนี้ ไม่ใช่ชื่อเฉพาะ แบบนางเอก "อย่าลืมฉัน" นะคะ
..หากแต่เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับ สุริยะ สุริยา สุริยัน สุริยน สุรีย์ และอื่นๆ อีกมากมาย
พระสุริยงลงลับพยับฝน ดูมัวมนมืดมิดทุกทิศา ลูกอ่านแล้วจับใจความได้มั้ย ว่าสภาพอากาศในตอนนั้น เป็นยังไง ?
..keyword ก็เห็นๆ ..พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ..ก็แสดงว่า เป็นเวลาเย็น พลบค่ำ
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
..ในช่วงนี้ กล่าวว่าพวกท่านเดินทางมาถึงบริเวณที่เป็น "ทางลัด" แต่มันดันลัดเข้าไปกลางทุ่งนา
ที่เต็มไปด้วยวัชพืช อย่างแฝก - คา - แขม - กก
ซึ่งเป็นใครบุกเข้าไปในดงหญ้าพวกนี้ มันก็ต้องนึกเสียวบ้างแหละน่า ..
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
ต้องถ่อค้ำร่ำไปล้วนไม่เคย ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน เรือขย้อนโยกโยนกระโถนหก
..ท่านมองไปก็เห็นเรือเพรียว ( ลูกไปค้นหาความหมายของเรือเพรียวเอง คุณแม่ไม่บอก) ของคนหนุ่มสาว ที่ออกมาหาปลา
ท่านก็แอบตัดพ้อว่า คนหนุ่มๆ สาวๆ เค้าพายเรือกันแคล่วคล่องว่องไว ( ซึ่งอาจเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ และด้วยวัยล่ะมั้ง )
แต่คนที่พายเรือให้ท่านสุนทรภู่ ไม่ชำนาญทาง
ก็เลยยักแย่ยักยัน พุ่งเข้าไปในพงหญ้าข้างทางบ้าง ถอยหน้าถอยหลังก็ลำบาก เรือก็โคลงเคลง กระโถนน้ำหมาก หล่นกระจาย
..ลูกคงจะพอมองเห็นภาพความโกลาหลบนเรือนะคะ ^^
(หมายเหตุ : ตอนที่ท่านสุนทรภู่ประพันธ์นิราศภูเขาทองนี้ ท่านอยู่ในสมณเพศ ( = บวชอยู่ ) ..และตอนนั้นท่านก็อายุ 40 ต้นๆ แล้ว )
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน
..บรรยากาศช่วงนี้ คือ ..เงียบมากกกกก .. แล้วเจ้ากรรม พายเรือมาติดแหง็ก ลอยลำอยู่กลางทุ่ง ..ยังออกไปไม่เจอคลองสายหลัก
ตกดึก ยุงก็ชุม ยิ่งพอเรือไม่ได้เคลื่อนที่ ..จอดนิ่งๆ ยุงฝูงใหญ่ ( เพราะเปรียบซะว่า ยุงมากันทีแบบ เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด )
ก็มารุมกัดท่าน ต้องนั่งปัดยุง ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลยทีเดียว
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร กระเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
..กลอนในช่วงนี้ ท่านบรรยายถึงความรู้สึกอ้างว้าง ..ซึ่งถ้าลูกอ่านกลอนบทก่อนหน้านี้ หรืออ่านประวัติท่านสุนทรภู่
ลูกก็จะทราบว่า ท่านเข้าราชการในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ( รัชกาลที่ 2 )
เมื่อสิ้นแผ่นดิน ท่านภู่ก็ออกบวช อยู่นานเกือบ 20 ปี ..ช่วงที่ท่านแต่งนิราศภูเขาทองเนี่ย ท่านเพิ่งบวชได้ 4-5 พรรษา
โดยมีลูกชายคนโตของท่าน ชื่อพ่อพัด ( หรือปรากฎนาม "หนูพัด" ในคำกลอนบทต่อจากที่ลูกยกมาเลย คือ
..วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
สำรวลกับเพื่อนรักสะพรักพร้อม อยู่แวดล้อมหลายคนปรนนิบัติ
โอ้ยามเข็ญเห็นอยู่แต่หนูพัด ช่วยนั่งปัดยุงให้ไม่ไกลกาย ) บวชตามมาดูแลท่านด้วย
..ตอนนี้ท่านมาติดแหง็ก นั่งตบยุงอยู่กลางทุ่ง ..ท่านก็ให้รู้สึกอ้างว้าง วังเวงในหัวใจ
หวลนึกถึงยามที่ท่านยังรับราชการ มีเพื่อนฝูง ผู้คนนับหน้าถือตา
..แถวๆ นี้ ลูกแปลผิดหลายจุด .. สองยาม ..ไม่ใช่ ตี 2 นะคะ คุณลูก
ต้องโทษคนเขียนหลักสูตรการศึกษา ..ที่ไม่ให้เด็กเรียน เรื่อง ย่ำยามทุ่มโมง ..
เด็กเลยไม่รู้ว่า สองยาม คือเวลา "เที่ยงคืน" ค่ะ
และไม่มีคำไหนที่บอกว่า "ถึงตอนเช้า" เลยนะลูก .. โสมนัส ก็แปลว่า ความสุขใจ
ซึ่งวรรคนั้น ( ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส ) หมายถึง ตอนที่ท่านมีความสุข มีชื่อเสียง หน้าที่การงานพร้อม ..ต่างหากจ้า
..คุณแม่ช่วยเท่านี้นะคะ ..ลูกไปหาวิธีเรียบเรียงเอาเองเน้อ
แสดงความคิดเห็น
ช่วยตรวจการบ้านภาษาไทยให้หน่อยครับ
ถึงทางลัดตัดทางมากลางนา ทั้งแฝกคาแขมกกขึ้นรกเรี้ยว
เป็นเงาง้ำน้ำเจิ่งดูเวิ้งว้าง ทั้งกว้างขวางขวัญหายไม่วายเหลียว
เห็นดุ่มดุ่มหนุ่มสาวเสียงกราวเกรียว ล้วนเรือเพรียวพร้อมหน้าพวกปลาเลย
เขาถ่อคล่องว่องไวไปเป็นยืด เรือเราฝืดเฝือมานิจจาเอ๋ย
ต้องถ่อค้ำร่ำไปล้วนไม่เคย ประเดี๋ยวเสยสวบตรงเข้าพงรก
กลับถอยหลังรั้งรอเฝ้าถ่อถอน เรือขย้อนโยกโยนกระโถนหก
เงียบสงัดสัตว์ป่าคณานก น้ำค้างตกพร่างพรายพระพายพัด
ไม่เห็นคลองต้องค้างอยู่กลางทุ่ง พอหยุดยุงฉู่ชุมมารุมกัด
เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกายเหมือนทรายซัด ต้องนั่งปัดแปะไปมิได้นอน
แสนวิตกอกเอ๋ยมาอ้างว้าง ในทุ่งกว้างเห็นแต่แขมแซมสลอน
จนดึกดาวพราวพร่างกลางอัมพร กระเรียนร่อนร้องก้องเมื่อสองยาม
ทั้งกบเขียดเกรียดกรีดจังหรีดเรื่อย พระพายเฉื่อยฉิวฉิววะหวิวหวาม
วังเวงจิตคิดคะนึงรำพึงความ ถึงเมื่อยามยังอุดมโสมนัส
พระสุริยงหนีฝน ทุกทิศดูมืดไปหมด
ถึงได้วิ่งไปทางกลางนา ทั้งฝ่าหญ้าแฝกหญ้าคาที่ขึ้นรกเต็มไปหมด
เงาน้ำดูไม่มีอะไร{ตัวคนเดียว} ที่ตั้งกว้างจนใจหายหมด
เห็นคู่หนุ่มสาวเสียงแตก มีทั้งเรือทั้งปลาพร้อม
เขาถ่อเรือเร็วมาก ๆ ส่วนเรือเราช้าเหนื่อยใจจริง ไม่เคยเร็วกว่าเขา เดี๋ยวอาจจะหลงเข้าที่ รก ๆ
ถอยหลังกลับไปนั่งถอนหายใจ เรือโยกไปโยกมา
เงียบมากจริง ๆ น้ำค้างตกใส่ตัวเปียกไปหมด
ไม่เห็นคลองเลย ต้องมาอยู่กลางทุ่ง พอหยุดยุงก็บินมากัด มาเป็นกลุ่มเหมือนทรายที่โดนซัด ต้องนั้งตบตลอดไม่ได้นอน
อยู่คนเดียวรู้สึกกังวลใจ ในทุ่งที่กว้างก็เห็นแต่ใบหญ้า
จนตกดึกดวงดาวก็เปล่งประกายกลางท้องฟ้า
นกกระเรียนบินและร้องตอนตี๒
กบและเขียดก็ร้องเป็นจังหวะ ร่างกายจะปลิวไปตามบรรยากาศ
จิตใจวังเวงคิดอยู่คนเดียว ถึงตอนเช้า....
ถูกไหมครับ???