ผมอาจเขียนยาวสักนิด... แต่คิดว่าอาจเป็นประโยชน์สำหรับเด็ก ๆ และเยาวชนที่ยังสับสนเรื่องความเข้าใจในการเป็น
"พุทธแท้" ได้ไม่มากก็น้อย
ย้อนไปเมื่อสักเกือบสามสิบปีก่อน ..ผมก็เป็นหนึ่งในชายไทยพุทธที่เมื่อถึงเพศวัยอันสมควร เป็นเรื่องสำคัญตามวัฒนธรรม คือประเพณีการบวชเรียน หรือนัยหนึ่งที่เชื่อกันก็คือเป็นการบวชเพื่อทดแทนพระคุณแม่ที่ได้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู
การบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ..เป็นที่ถือกันมาแต่โบราณว่าบิดามารดาจะเกาะชายผ้าเหลืองของลูกพกพาอานิสงฆ์บุญไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้า....
เวลานั้น ผมเลือกเข้าบวชในวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้บ้าน....มีพระพี่เลี้ยงที่เคยเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนเรียนในวัยเด็ก แต่ชีวิตเปลี่ยนผันมาบวชเป็นพระก่อนหน้าผมทั้งที่ยังเรียนไม่จบปริญญาตรี ท่านได้ย้อนกลับมาจำพรรษาในวัดใกล้บ้าน และได้กลายมาเป็นทั้งพระพี่เลี้ยงและธรรมิกสหายในเวลาต่อมาอีกครั้ง (ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าคณะตำบลแห่งหนึ่งในภาคใต้)
ยามเช้าเมื่อเริ่มจะมองเห็นลายมือ.. เค้าถือเป็นเวลาที่ภิกษุต้องทำกิจอันเป็นนิสัยสี่อย่างหนึ่งของสมณะ คือการออกบิณฑบาต ..วันแรกๆ ผมมีความยุ่งยากเล็กน้อยกับการต้องแกะมุ้งที่ชอบมาติดหนังศีรษะที่พึ่งโกนใหม่ ๆ
ผมจำได้ว่า.. พระหลายรูปในวัดนิยมเดินไปรับบิณฑบาตในตลาดที่ไกลออกไป ซึ่งแม้นจะไกลหน่อยแต่ก็คุ้มค่าเพราะกลับมาพร้อมอาหารจำนวนมากเทียบปริมาณแล้วก็น่าจะสามสี่บาตร.. นี่ไม่นับเทศกาลงานบุญที่ต้องขอแรงเด็ก ๆ ไปช่วยเป็นลูกหาบศิษย์วัด
พระพี่เลี้ยงที่เป็นสหายวัยเยาว์ของผม ท่านไม่ได้เดินไปเส้นทางแบบที่พระหลายรูปนิยมกัน แต่กลับเดินไปรับบิณฑบาตในชุมชนเล็ก ๆ ใกล้วัด ที่จัดเป็นชุมชนที่ส่วนใหญ่มีแต่ฐานะลำบากขัดสน และท่านก็เป็นเพียงรูปเดียวที่เดินเส้นทางนี้ประจำ.......แต่วันนี้มีผมเป็นอีกหนึ่งรูปที่เดินตามหลังท่านไปรับบิณฑบาต
ผมจำวันแรกของการบิณฑบาตได้ไม่ลืม.....
สองยายตาในหมู่บ้านที่มีชีวิตขัดสน... แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดคือการรอใส่บาตรให้หลวงพี่เพื่อนผมทุกวัน
คุณตาในวัยที่ผมประมาณด้วยสายตาไม่น้อยกว่า 75 เป็นคนตักข้าวด้วยช้อนจากถ้วยกระเบื้องเล็ก ๆ ลงสู่บาตรด้วยมือที่สั่นเทา...
ส่วนคุณยายวัยไล่เลี่ย... ท่านตกใจเล็กน้อยว่าวันนี้มีพระมาถึงสองรูป แต่ในจานแกมีเพียงปลาทูแขกทอด(ปลาแดดเดียว) เพียงตัวเดียวเพราะเตรียมไว้สำหรับพระที่มาเดินในชุมชนนี้เพียงรูปเดียว
คุณยาย..ค่อย ๆ หักปลาทูแขกทอดออกเป็นสองส่วน.. ส่วนที่แล่ติดเนื้อใส่ลงในบาตรพระเพื่อน อีกส่วนใส่ในบาตรผม
พระเพื่อนอมยิ้มให้สองตายายเล็กน้อย ... .ก่อนจะเดินไปอย่างสงบ สายตาทอดเบื้องต่ำ..ทำความสำรวมให้เป็นนิสัย และที่สำคัญ ไร้การสวดมนต์อวยพรใดๆ
ผมกลับมาถึงวัด วางบาตรไว้ในโรงฉัน และใช้เวลาก่อนฉันเล็กน้อย ทำความสะอาดกวาดบรรดาเศษใบไม้ที่มักจะปลิวหล่นกระจายเข้ามาบริเวณด้านหน้าและในโรงฉันแทบทุกวัน
ถึงเวลาฉันเช้า ...ผมไม่เห็นพระรูปไหนหยิบจานหรือถ้วยเปล่ามาแกะถุงอาหารถ่ายลงเพื่อจะฉัน แต่ทุกรูปเริ่มแกะและใส่มันลงในบาตร....
ผมเริ่มเข้าใจ..และทำตาม คือแกะถุงแกงเอาช้อนตักแกงใส่ลงไปในบาตร...ใส่เศษครึ่งปลาทูแขกของตายายและกับข้าวอีกหลายอย่างลงไป และหยุดเพื่อจะรอฉัน แต่พระเพื่อนหันมาชี้ถุงขนมกล้วยบวชชีที่วางอยู่แล้วถามว่า
"โยมเข้าใส่บาตรแล้วฉันด้วยซิ."
ผมตอบท่านว่า
"ฉันครับ....แต่ขอฉันในบาตรก่อน" ท่านยิ้มแล้วบอกว่า
"ใส่รวมไปเลย..ฉันรวมกันให้หมด"
แล้วก็เป็นคำตอบที่เป็นการสอนในเบื้องต้นให้เข้าใจว่า การยึดติดในรสชาติ เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในอีกนับหลายพันหลายหมื่นการยึดติดของมนุษย์ในโลกที่พุทธองค์ทรงสอนให้
"ละ"
มื้อแรกแห่งเป็นสมณะเพศ จึงเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด ..วันนั้นผมฉันข้าวในบาตรที่ไม่สามารถแยกได้เลยว่ารสชาตมันเป็นอะไร ข้าวสวย..แกงกะทิ..ปลาเค็ม..ข้าวเหนียวสังขยา และปิดท้ายด้วยกล้วยบวชชี เทรวมแล้วคลุกเคล้ากันจนมองไม่เห็นความงามหรือรสชาติแห่งอาหาร.....พิจารณาและ
"กิน" เพื่อ
"อยู่รอด"
ผมเล่าให้ฟังเพราะมันเป็นประสบการณ์เก่าที่เวลาผ่านมา ...และพบว่า ในห้วงเพียง 50 ปีผ่านมา ศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปแบบที่เราไม่เคยฉุกคิดว่าหลายสิ่งที่เริ่มทำกันผิด ๆ และชินชาในที่สุดมันก็จะกลายเป็น
"วัฒนธรรมผิดๆ!"
นิยาม
"บุญ" กลายเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาที่ต้องใช้เรื่อง
"เงินทอง" เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยน
พิธีกรรมที่เป็นเดรัจฉานวิชชา .. กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เราสำคัญผิดว่า นั่นคือส่วนหนึ่งของ พุทธศาสนา
สอนผิด ๆ กันจนคนไทยติดนิสัย ลงทุนแล้วต้อง
"ได้คืน"
ใส่บาตรให้พระ...ถ้ารูปใดไม่ให้พร... ถือว่าเป็นพระที่ใช้ไม่ได้ เพราะ
"ให้" แล้วไม่จ่าย
"บุญ" คืน
พระเณรนิสัยเสีย...ถ้าเห็นอาเฮีย..อาม่าถือซองใส่เงิน เป็นเดินปรี่รี่เข้าใส่ ทั้งพระวินัยบัญญัติชัดว่า รับเงินคือรับอสรพิษ..ต้องละทิ้งสารภาพบาปท่ามกลางหมู่สงฆ์ ...ก็ทำกันน่าตาเฉย!
แทบจะทุกวัด...หันไปทางไหนมีแต่ตู้รับบริจาคสารพัดเหตุผล ...... ตู้สร้างโบสถ์วิหารกระเบื้อง..ไถ่วัวไถ่ควาย..ซื้ออิฐหินดินทราย..ซื้อโลงศพ..สร้างพระ...ละครแก้บน...บูชาหลวงพ่อทันอกทันใจ...บูชาเทพสารพัน.. ฯลฯ ขออย่างเดียวให้ในตู้นั้นมันมี
"เงิน"
วัดเล็กตู้น้อย...วัดกลางตู้หลากหลาย.... วัดใหญ่เล่นออกบัตรเดบิตพะยี่ห้อวัดเองแบบไม่ต้องพกเงินมา ยื่นบัตรแล้วโอนเข้าบัญชีวัดได้เลย!
เราใช้
"บุญ" เป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้คนเชื่อว่า ตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์ชั้นโน่นนี่...
บางวัด...ภิกษุบางรูปทำตัวราวกับเป็น
"ผู้วิเศษ" แอบอ้างสารพัน..รู้นั่นรู้นี่ และตบท้ายด้วยการบอกให้
"ทำบุญ(เงิน)" กันเยอะ ๆ ยิ่งทำยิ่งรวย!
วัฒนธรรมผีบุญ จากพระธรรมดาๆ พัฒนาไปเป็น "ผู้วิเศษ" อวดอ้างคุณวิเศษ รู้ธาตุรู้ธรรม ทำตัวเทียบเคียงอรหันต์ต้นธาตุ
ลามออกไปแม้นแต่ศีล8 แม่ชี นั่นก็ไม่ธรรมดา อวดอ้างว่ารู้หมดว่าใครทำกรรมอะไรไว้แต่ชาติไหนภพใด...จะให้แก้กรรม ยอมแก้ผ้าแก้ผ่อนไปกะใคร เราก็เชื่อตามเค้าได้!
ผมเขียนมาเพื่ออยากให้ เพื่อนกัลยาณมิตร.... ฉุกคิดในสิ่งที่ตนศรัทธา
กลับมาพิจารณาไตร่ตรองว่า.... สิ่งนั้น ๆ สิ่งนี้ ที่ตนทำและสิ่งที่วัดเสนอให้ทำนั้นมันสอดรับกับหลักธรรมคำสอนแท้ ๆ ของพุทธองค์หรือไม่
อย่าให้ใครมาหลอก ..ให้ต้องเอาเงินที่พากเพียรทำงานเก็บออมมาตราบชีวิต... เอาไปอทิศเทกองท่วมวัด ให้
"ผีบุญ" ปากหวาน
อย่าให้หมอดูหมอเดามาหลอกเอาว่า... ชะตาตก ต้องไปสะเดาะเคราะห์วัดโนน่นี่...ซื้อนั่นนี่ไปถวาย หรือแม้นแต่บอกให้สวดบทโน่นนี่ ทั้งที่บทสวดเหล่านั้นก็แค่คำบาลีแต่งขึ้นกันเอง... แต่กลับมิใช่พระสูตรที่พุทธองค์ทรงบอกให้ท่องบ่น
สังเกตุวัดดีพระดีได้ไม่ยาก
ดูดีๆ วัดเหล่านั้น.. มีต้นไม้มาก...อารามน้อยไม่ใหญ่โตโอ่อ่า... หัววัดเป็นภิกษุ รักสันโดษมักน้อย...ไม่เพ้อเจ้อพกลมอวดอ้างคุณวิเศษ.. ไม่มีของขลังเขี้ยวสัตว์..สักเสกเลขยันต์...ภาณยักษ์ภาณเล็ก....ไม่มีตู้รับบริจาคให้รกตา...แต่ห่มคลุมผ้าวางตัวสมเป็นสมณะสารูป...ไม่บ้าสร้างโบสถ์วิหารจนวัดกลายเป็นตำหนักราชวัง และที่สำคัญ เป็นวัดที่ภิกษุล้วนนำพระธรรมแห่งพุทธองค์ที่ปรากฎในพระไตรปิฎกมาเล่าขานและเสวนา เพื่อเป้าหมายแห่งการให้เราตาสว่าง และนำทางไปเพื่อการ
"พ้นทุกข์" อย่างแท้จริง
.... ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสทำบุญถวายทาน สิ่งที่ระลึกเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลที่ทำ นอกจากจะเป็นบิดามารดาและญาติมิตรสารพันแล้ว สองตายายคือสองท่านที่ผมไม่เคยลืม!
และที่ไม่เคยลืมจนบัดนี้.... คือ ธรรมะจากปลาทูแขกของสองตายาย ที่สอนให้ผมเข้าใจในเบื้องต้นแห่งการครองเพศสมณะเพศว่าด้วยการไม่ยึดติด...เรียบง่าย...สันโดษ และหมั่นเตือนตัวเองไว้ตลอดการเป็นสมณะว่าเราคือ
"สมณปุติยศากยะแห่งพุทธองค์" และภิกษุเราต่างเข้าถึงอาชีพ
"ขอทาน" ดั่งที่พุทธองค์ท่านสั่งสอนไว้.....
ปลาทูแขก สอนธรรม!
ผมอาจเขียนยาวสักนิด... แต่คิดว่าอาจเป็นประโยชน์สำหรับเด็ก ๆ และเยาวชนที่ยังสับสนเรื่องความเข้าใจในการเป็น "พุทธแท้" ได้ไม่มากก็น้อย
ย้อนไปเมื่อสักเกือบสามสิบปีก่อน ..ผมก็เป็นหนึ่งในชายไทยพุทธที่เมื่อถึงเพศวัยอันสมควร เป็นเรื่องสำคัญตามวัฒนธรรม คือประเพณีการบวชเรียน หรือนัยหนึ่งที่เชื่อกันก็คือเป็นการบวชเพื่อทดแทนพระคุณแม่ที่ได้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู
การบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ..เป็นที่ถือกันมาแต่โบราณว่าบิดามารดาจะเกาะชายผ้าเหลืองของลูกพกพาอานิสงฆ์บุญไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้า....
เวลานั้น ผมเลือกเข้าบวชในวัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้บ้าน....มีพระพี่เลี้ยงที่เคยเป็นเพื่อนเล่นเพื่อนเรียนในวัยเด็ก แต่ชีวิตเปลี่ยนผันมาบวชเป็นพระก่อนหน้าผมทั้งที่ยังเรียนไม่จบปริญญาตรี ท่านได้ย้อนกลับมาจำพรรษาในวัดใกล้บ้าน และได้กลายมาเป็นทั้งพระพี่เลี้ยงและธรรมิกสหายในเวลาต่อมาอีกครั้ง (ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าคณะตำบลแห่งหนึ่งในภาคใต้)
ยามเช้าเมื่อเริ่มจะมองเห็นลายมือ.. เค้าถือเป็นเวลาที่ภิกษุต้องทำกิจอันเป็นนิสัยสี่อย่างหนึ่งของสมณะ คือการออกบิณฑบาต ..วันแรกๆ ผมมีความยุ่งยากเล็กน้อยกับการต้องแกะมุ้งที่ชอบมาติดหนังศีรษะที่พึ่งโกนใหม่ ๆ
ผมจำได้ว่า.. พระหลายรูปในวัดนิยมเดินไปรับบิณฑบาตในตลาดที่ไกลออกไป ซึ่งแม้นจะไกลหน่อยแต่ก็คุ้มค่าเพราะกลับมาพร้อมอาหารจำนวนมากเทียบปริมาณแล้วก็น่าจะสามสี่บาตร.. นี่ไม่นับเทศกาลงานบุญที่ต้องขอแรงเด็ก ๆ ไปช่วยเป็นลูกหาบศิษย์วัด
พระพี่เลี้ยงที่เป็นสหายวัยเยาว์ของผม ท่านไม่ได้เดินไปเส้นทางแบบที่พระหลายรูปนิยมกัน แต่กลับเดินไปรับบิณฑบาตในชุมชนเล็ก ๆ ใกล้วัด ที่จัดเป็นชุมชนที่ส่วนใหญ่มีแต่ฐานะลำบากขัดสน และท่านก็เป็นเพียงรูปเดียวที่เดินเส้นทางนี้ประจำ.......แต่วันนี้มีผมเป็นอีกหนึ่งรูปที่เดินตามหลังท่านไปรับบิณฑบาต
ผมจำวันแรกของการบิณฑบาตได้ไม่ลืม.....
สองยายตาในหมู่บ้านที่มีชีวิตขัดสน... แต่สิ่งที่ไม่เคยขาดคือการรอใส่บาตรให้หลวงพี่เพื่อนผมทุกวัน
คุณตาในวัยที่ผมประมาณด้วยสายตาไม่น้อยกว่า 75 เป็นคนตักข้าวด้วยช้อนจากถ้วยกระเบื้องเล็ก ๆ ลงสู่บาตรด้วยมือที่สั่นเทา...
ส่วนคุณยายวัยไล่เลี่ย... ท่านตกใจเล็กน้อยว่าวันนี้มีพระมาถึงสองรูป แต่ในจานแกมีเพียงปลาทูแขกทอด(ปลาแดดเดียว) เพียงตัวเดียวเพราะเตรียมไว้สำหรับพระที่มาเดินในชุมชนนี้เพียงรูปเดียว
คุณยาย..ค่อย ๆ หักปลาทูแขกทอดออกเป็นสองส่วน.. ส่วนที่แล่ติดเนื้อใส่ลงในบาตรพระเพื่อน อีกส่วนใส่ในบาตรผม
พระเพื่อนอมยิ้มให้สองตายายเล็กน้อย ... .ก่อนจะเดินไปอย่างสงบ สายตาทอดเบื้องต่ำ..ทำความสำรวมให้เป็นนิสัย และที่สำคัญ ไร้การสวดมนต์อวยพรใดๆ
ผมกลับมาถึงวัด วางบาตรไว้ในโรงฉัน และใช้เวลาก่อนฉันเล็กน้อย ทำความสะอาดกวาดบรรดาเศษใบไม้ที่มักจะปลิวหล่นกระจายเข้ามาบริเวณด้านหน้าและในโรงฉันแทบทุกวัน
ถึงเวลาฉันเช้า ...ผมไม่เห็นพระรูปไหนหยิบจานหรือถ้วยเปล่ามาแกะถุงอาหารถ่ายลงเพื่อจะฉัน แต่ทุกรูปเริ่มแกะและใส่มันลงในบาตร....
ผมเริ่มเข้าใจ..และทำตาม คือแกะถุงแกงเอาช้อนตักแกงใส่ลงไปในบาตร...ใส่เศษครึ่งปลาทูแขกของตายายและกับข้าวอีกหลายอย่างลงไป และหยุดเพื่อจะรอฉัน แต่พระเพื่อนหันมาชี้ถุงขนมกล้วยบวชชีที่วางอยู่แล้วถามว่า "โยมเข้าใส่บาตรแล้วฉันด้วยซิ."
ผมตอบท่านว่า "ฉันครับ....แต่ขอฉันในบาตรก่อน" ท่านยิ้มแล้วบอกว่า "ใส่รวมไปเลย..ฉันรวมกันให้หมด"
แล้วก็เป็นคำตอบที่เป็นการสอนในเบื้องต้นให้เข้าใจว่า การยึดติดในรสชาติ เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งในอีกนับหลายพันหลายหมื่นการยึดติดของมนุษย์ในโลกที่พุทธองค์ทรงสอนให้ "ละ"
มื้อแรกแห่งเป็นสมณะเพศ จึงเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด ..วันนั้นผมฉันข้าวในบาตรที่ไม่สามารถแยกได้เลยว่ารสชาตมันเป็นอะไร ข้าวสวย..แกงกะทิ..ปลาเค็ม..ข้าวเหนียวสังขยา และปิดท้ายด้วยกล้วยบวชชี เทรวมแล้วคลุกเคล้ากันจนมองไม่เห็นความงามหรือรสชาติแห่งอาหาร.....พิจารณาและ "กิน" เพื่อ "อยู่รอด"
ผมเล่าให้ฟังเพราะมันเป็นประสบการณ์เก่าที่เวลาผ่านมา ...และพบว่า ในห้วงเพียง 50 ปีผ่านมา ศาสนาพุทธได้ผิดเพี้ยนเปลี่ยนไปแบบที่เราไม่เคยฉุกคิดว่าหลายสิ่งที่เริ่มทำกันผิด ๆ และชินชาในที่สุดมันก็จะกลายเป็น "วัฒนธรรมผิดๆ!"
นิยาม "บุญ" กลายเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาที่ต้องใช้เรื่อง "เงินทอง" เป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยน
พิธีกรรมที่เป็นเดรัจฉานวิชชา .. กลายเป็นส่วนหนึ่งที่เราสำคัญผิดว่า นั่นคือส่วนหนึ่งของ พุทธศาสนา
สอนผิด ๆ กันจนคนไทยติดนิสัย ลงทุนแล้วต้อง "ได้คืน"
ใส่บาตรให้พระ...ถ้ารูปใดไม่ให้พร... ถือว่าเป็นพระที่ใช้ไม่ได้ เพราะ "ให้" แล้วไม่จ่าย "บุญ" คืน
พระเณรนิสัยเสีย...ถ้าเห็นอาเฮีย..อาม่าถือซองใส่เงิน เป็นเดินปรี่รี่เข้าใส่ ทั้งพระวินัยบัญญัติชัดว่า รับเงินคือรับอสรพิษ..ต้องละทิ้งสารภาพบาปท่ามกลางหมู่สงฆ์ ...ก็ทำกันน่าตาเฉย!
แทบจะทุกวัด...หันไปทางไหนมีแต่ตู้รับบริจาคสารพัดเหตุผล ...... ตู้สร้างโบสถ์วิหารกระเบื้อง..ไถ่วัวไถ่ควาย..ซื้ออิฐหินดินทราย..ซื้อโลงศพ..สร้างพระ...ละครแก้บน...บูชาหลวงพ่อทันอกทันใจ...บูชาเทพสารพัน.. ฯลฯ ขออย่างเดียวให้ในตู้นั้นมันมี "เงิน"
วัดเล็กตู้น้อย...วัดกลางตู้หลากหลาย.... วัดใหญ่เล่นออกบัตรเดบิตพะยี่ห้อวัดเองแบบไม่ต้องพกเงินมา ยื่นบัตรแล้วโอนเข้าบัญชีวัดได้เลย!
เราใช้ "บุญ" เป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้คนเชื่อว่า ตายไปแล้วจะได้ไปสวรรค์ชั้นโน่นนี่...
บางวัด...ภิกษุบางรูปทำตัวราวกับเป็น "ผู้วิเศษ" แอบอ้างสารพัน..รู้นั่นรู้นี่ และตบท้ายด้วยการบอกให้ "ทำบุญ(เงิน)" กันเยอะ ๆ ยิ่งทำยิ่งรวย!
วัฒนธรรมผีบุญ จากพระธรรมดาๆ พัฒนาไปเป็น "ผู้วิเศษ" อวดอ้างคุณวิเศษ รู้ธาตุรู้ธรรม ทำตัวเทียบเคียงอรหันต์ต้นธาตุ
ลามออกไปแม้นแต่ศีล8 แม่ชี นั่นก็ไม่ธรรมดา อวดอ้างว่ารู้หมดว่าใครทำกรรมอะไรไว้แต่ชาติไหนภพใด...จะให้แก้กรรม ยอมแก้ผ้าแก้ผ่อนไปกะใคร เราก็เชื่อตามเค้าได้!
ผมเขียนมาเพื่ออยากให้ เพื่อนกัลยาณมิตร.... ฉุกคิดในสิ่งที่ตนศรัทธา
กลับมาพิจารณาไตร่ตรองว่า.... สิ่งนั้น ๆ สิ่งนี้ ที่ตนทำและสิ่งที่วัดเสนอให้ทำนั้นมันสอดรับกับหลักธรรมคำสอนแท้ ๆ ของพุทธองค์หรือไม่
อย่าให้ใครมาหลอก ..ให้ต้องเอาเงินที่พากเพียรทำงานเก็บออมมาตราบชีวิต... เอาไปอทิศเทกองท่วมวัด ให้ "ผีบุญ" ปากหวาน
อย่าให้หมอดูหมอเดามาหลอกเอาว่า... ชะตาตก ต้องไปสะเดาะเคราะห์วัดโนน่นี่...ซื้อนั่นนี่ไปถวาย หรือแม้นแต่บอกให้สวดบทโน่นนี่ ทั้งที่บทสวดเหล่านั้นก็แค่คำบาลีแต่งขึ้นกันเอง... แต่กลับมิใช่พระสูตรที่พุทธองค์ทรงบอกให้ท่องบ่น
สังเกตุวัดดีพระดีได้ไม่ยาก
ดูดีๆ วัดเหล่านั้น.. มีต้นไม้มาก...อารามน้อยไม่ใหญ่โตโอ่อ่า... หัววัดเป็นภิกษุ รักสันโดษมักน้อย...ไม่เพ้อเจ้อพกลมอวดอ้างคุณวิเศษ.. ไม่มีของขลังเขี้ยวสัตว์..สักเสกเลขยันต์...ภาณยักษ์ภาณเล็ก....ไม่มีตู้รับบริจาคให้รกตา...แต่ห่มคลุมผ้าวางตัวสมเป็นสมณะสารูป...ไม่บ้าสร้างโบสถ์วิหารจนวัดกลายเป็นตำหนักราชวัง และที่สำคัญ เป็นวัดที่ภิกษุล้วนนำพระธรรมแห่งพุทธองค์ที่ปรากฎในพระไตรปิฎกมาเล่าขานและเสวนา เพื่อเป้าหมายแห่งการให้เราตาสว่าง และนำทางไปเพื่อการ "พ้นทุกข์" อย่างแท้จริง
.... ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสทำบุญถวายทาน สิ่งที่ระลึกเพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลที่ทำ นอกจากจะเป็นบิดามารดาและญาติมิตรสารพันแล้ว สองตายายคือสองท่านที่ผมไม่เคยลืม!
และที่ไม่เคยลืมจนบัดนี้.... คือ ธรรมะจากปลาทูแขกของสองตายาย ที่สอนให้ผมเข้าใจในเบื้องต้นแห่งการครองเพศสมณะเพศว่าด้วยการไม่ยึดติด...เรียบง่าย...สันโดษ และหมั่นเตือนตัวเองไว้ตลอดการเป็นสมณะว่าเราคือ "สมณปุติยศากยะแห่งพุทธองค์" และภิกษุเราต่างเข้าถึงอาชีพ "ขอทาน" ดั่งที่พุทธองค์ท่านสั่งสอนไว้.....