กระทู้นี้เราแค่อยากจะเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่สุดแสนจะโหด มันส์ ฮา มีทั้งสุขเหลือล้น และทุกข์จนต่อมน้ำตาแตกไปตามๆกัน อาจจะเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคนที่กำลังเดินตามฝัน ทำให้มีแรงฮึดสู้ เพราะกว่าที่เราจะเดินทางมาถึงวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย เราไม่ใช่คนเก่งแต่เรามีความอึด ทำให้เราเดินทางมาถึงฝัน เป็นครั้งแรกที่เขียนกระทู้ ยืมไอดีของเพื่อนมา หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย น้อมรับทุกคำติชมเลยค่ะ
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปี 2549 มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆดำๆคนนึงแบกกระเป๋าใบนึงเข้ามากรุงเทพทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงิน 2000 พร้อมแหวนทองครึ่งสลึงอีก 1 วง มาหลังจากที่ได้รับวุฒิ ม.6 ทันที มาแบบไม่บอกใครเลย แม่ก็ไม่รู้ว่าลูกสาวไปไหน (หนีออกจากบ้านมานั่นแหละ) จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นเคว้งมาก กลัวมาก ไม่รู้จะไปหาใคร จะอยู่ที่ไหน จะเอาอะไรกิน เงินมีเท่านี้ ที่พักก็ไม่มี สุดท้ายเราก็ตัดสินใจโทรหาเพื่อนคนนึงที่อยู่ชลบุรี แล้วก็ไปเริ่มต้นชีวิตสาวโรงงานที่นั่น มาอาศัยอยู่กับเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนสมัยประถมบ้านใกล้กัน คอยช่วยเหลือมาตลอด แม่ก็ไม่รู้ว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนกับใคร บอกให้กลับบ้านก็ไม่กลับ ด้วยความหยิ่งทนงตัวสูงมากกกกกก อยากพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าชั้นนี่แหละจะทำให้ดูว่าลูกที่แสนดื้อคนนี้จะเอาความสำเร็จไปฝากแม่ให้ได้ เพราะเราไม่ถูกกับแม่ไง เวลาอยู่บ้านจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาตลอด ออกจากบ้านมาก็เพราะทะเลาะกัน จริงๆก็ผิดที่เราเองแหละเพราะเราอ่ะดื้อมาก ทั้งเรื่องเหล้ายา มีเรื่องมีราวเอาหมด คบเพื่อนก็มีแต่เพื่อนผู้ชายแต่ไม่ได้ดื้อแรดเหมือนเด็กสมัยนี้นะ เพื่อนก็คือเพื่อนเลยกลายเป็นผู้หญิงห้าวๆไปซะงั้น
ระหว่างที่หางานทำ ก็รอคะแนนสอบ o-net a-net ด้วยความหวังว่าเราจะสอบพยาบาลติด ซึ่งปีนั้นเป็นการเปลี่ยนระบบทั้งประเทศ ใครจบรุ่นนั้นจะรู้ดีว่าพวกเราคือรุ่นหนูทดลองยาของระบบแอดมิชชั่น ประกาศคะแนนมา3รอบ คะแนนมันดิ่งลงเรื่อยๆ จนสอบเข้าที่ไหนไม่ได้สักที่ (ถึงสอบได้ก็ไม่มีปัญญาเรียน) ตอนประกาศคะแนนออกมาพร้อมกับการประกาศว่าคะแนนโอเน็ตนั้นจะติดตัวไปตลอดชีวิต คือคิดในใจแล้วว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เรียนมหาลัยปิดแล้วล่ะ มันเ_ยมาก ต้องทำใจอยู่นาน หลังจากนั้นก็ได้งานทำหลังจากที่ไปสมัครทิ้งไว้ คิดว่าทำไปเรื่อยๆรอสอบใหม่ปีหน้า (ยังไม่สิ้นหวังนะคะ 5555)
เริ่มต้นชีวิตสาวโรงงาน ตื่นเช้าเข้ากะ ตอกบัตร เข้างาน ทำให้ได้ตามยอดตามเป้าที่เขากำหนด กลับบ้านอาบน้ำนอน ตื่นมาเข้ากะเช้า บ่าย ดึก วัฏจักรของชีวิตที่นั่นก็ทำให้เราได้เห็นอีกมุมของสังคมที่นั่น ที่จะมีเรื่องทะลาะตบตีแช่งชิงผู้ชายกันไม่ว่างเว้นแต่ละวัน เราก็มานั่งคิดนะว่าชีวิตชั้นต้องมาจบกับที่ตรงนี้หรอ คิดในใจนะว่าจะต้องตบกับใครมั้ยเนี่ย เพราะมีผัวใครก็ไม่รู้เข้ามาเจ๊าะแจ๊ะแต่เราเองก็ไม่ได้เล่นด้วยนะ เพราะไม่ชอบชีวิตแบบนี้ แล้วชีวิตก็วนเวียนแบบนี้อยู่ 3-4 เดือน พอได้ข่าวว่ารามเปิดรับสมัครก็ลาเพื่อนไปเรียนต่อเลยค้าาาา แต่......ไหนละเงิน 55555 เอาวะชีวิตต้องสู้
แล้วเราก็แบกเป้เตรียมตัวไปอยู่กรุงเทพเพื่อเรียนต่อโดยไปหาเพื่อนสนิทสมัยม.ปลาย ไปหาเช่าห้องถูกๆอยู่ก็ได้ที่พักแถวบางกะปิกึ่งๆสลัมเลย นี่เป็นจุดเริ่มต้นอะไรหลายๆอย่าง การเข้ากรุงเทพมาครั้งนี้ลำบากมาก เงินก็ไม่มี ห้องที่เช่าก็เป็นห้องเปล่าๆไม่มีอะไรให้ ที่นอนไม่มีเราก็เอาผ้าถุงมาปูนอน เอาเสื้อมาเป็นหมอน เงินจะซื้อของเข้าห้องก็ไม่มี ขนาดว่าถังน้ำกับขันน้ำเรายังเลือกซื้อได้แค่ขันอย่างเดียว ถ่ายได้แต่ไม่มีขันตักน้ำล้างก้น โอ้ย....หนอออ ชีวิตชั้นทำไมอนาถขนาดนี้ ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจโทรกลับไปหาแม่ครั้งแรกหลังจากที่หนีออกจากบ้าน ด้วยความที่อยากเรียนเลยขอแม่กลับไปเรียนราชภัฏ แม่บอกว่ายังมีน้องอีกคงส่งไม่ไหว แม่ให้ได้เต็มที่เดือนละ 3,000 แล้วไหนจะยายกับตาอีก ความหวังดับอีกรอบค่ะ แรงฮึดกลับมาสิคะ เอาวะไหนๆก็ไหนล่ะเอาให้เต็มที่เลยละกัน รามก็รามสิคะ คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ ชีวิตนี้ชั้นก็ไม่ได้เป็นพยาบาลแล้วสินะ ไม่เป็นไรเนอะเบนเข็มใหม่ล่ะกัน ถึงแม่ไม่ได้ให้กลับไปเรียนแต่ก็ให้เงินมาตั้งตัวนิดหน่อย จริงๆแล้วแม่เราใจดีนะใจดีมากด้วย ปากนี่ร้ายมากแต่ใจนี่ไม่มีใครเกินแม่เราแล้วจริงๆ (เพิ่งรู้ตัวตอนโต) ก็แม่คนเดียวที่หาเลี้ยงเรากับน้องมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่พ่อเสียพวกเราก็อพยพกันไปอยู่บ้านนอก นอกมากกกกก ไม่มีสัญญาณโทรศพท์นะคะ จนถึงตอนนี้ใครไปบ้านเราจะใช้ได้เฉพาะ AIS นอกนั้นหมดสิทธิ์ 5555 จนตอนนี้แม่เราก็ยังอยู่คนเดียวอยู่เลยยยย 61 ล่ะแต่ยังแข็งแรงมาก
แล้วเราก็ไปสมัครเรียนรามค่ะ มีเพื่อนจากแก้งค์เดิมมาเรียนด้วยกัน 4 คน คือดีอ้ะ มีเพื่อนมาเรียนด้วยกัน ก็ลงบริหารธุรกิจ เอกบัญชีทั้งหมด แล้วก็ไปหางานทำ สมัครมันทุกที่ ลากรองเท้าผ้าใบไปหางานโคตรเหนื่อยย จบม.6 นี่หางานดีๆไม่มีเลยนะ แล้วตอนนั้นเพื่อนคนที่เรามาหาก็ย้ายมาอยู่กับเรา เราจะเรียกนางว่าบิวนะ จะไปหาสมัครเป็นพริตตี้เค้าก็ไม่รับแน่ๆ ตอนนั้นทั้งล่ำทั้งดำ ขี้เหร่สุดๆ จับพลัดจับพูลก็ไปได้งานคีย์ข้อมูล ไปกันเป็นคู่กับบิวเลยค่ะ ได้งานด้วยกัน คราวนี้ค่อยมีคู่หูหน่อย มีแต่คนคิดว่าเป็นฝาแผดกันเพราะคล้ายๆกัน ชีวิตก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ตามประสา แต่ส่วนใหญ่จะทุกข์มากกว่า เพราะไม่มีเงินกัน ต้องกินมาม่าประทังชีวิตเกือบทุกมื้อ มีอยู่ช่วงนึงที่กินทุกมื้อจนออกแดดไม่ได้ มันจะเป็นลม เพราะมาม่าไม่มีสารอาหารอะไรไง แต่ทำไงได้เราไม่มีเงินนี่นา แต่งานคีย์ข้อมูลมันมีเป็นช่วงๆ ทำได้อยู่ 3 เดือนก็ถูกลอยแพจ้าาาา สองสาวเคว้งเลยทีนี้ ตกงานกันตามระเบียบทีนี้ก็ต้องหางานใหม่ สู้ต่อไปปปปปปป
แต่เหมือนโชคเข้าข้างอยู่ดีๆเราก็ได้งานที่บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ในตอนแรกก็ไปเป็นเด็กคีย์ข้อมูลรับจ้างทั่วไป แต่ด้วยความที่เป็นคนแอคทีฟ

เรื่องคนนั้นคนนี้ไปทั่ว 55555 เลยทำงานอื่นๆได้ด้วย อยู่ดีๆเราก็ได้เป็นแอดมินฝ่ายขาย เราว่าเป็นโอกาสดีของเรามากเลยนะ จบแค่ม.6 แต่ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ แล้วงานที่ทำเสมือนว่าเป็นเลขานาย เป็นอะไรที่เกินตัวมากกกกก นายใหญ่ก็เป็นฝรั่ง เอกสารส่วนใหญ่เลยเป็นภาษาอังกฤษ นั่นแหละความบรรลัยเกิด ชื่อตัวเองยังสะกดไม่ถูกเลยค่าาา ให้มาทำเอกสาร รายงาน จดหมายเป็นภาษาอังกฤษ เดือนแรกของการเปลี่ยนภาระงานร้องไห้กลับบ้านทุกวัน ปวดหัว ยิ่งปลายเดือนนะเซลส์ก็จะโทรมาถามยอดทั้งวัน รายงานก็ยังไม่เสร็จ จะสอบแล้วหนังสือก็ยังไม่อ่าน ชีวิตชั้นเมื่อไหร่จะหลุดพ้น ช้านอยากเป็นพยาบาลลล แต่พอเราทำไปสักพัก Cellcenter ต้องการคนเราเลยให้บิวมาสมัคร ก็เลยมีเพื่อนเดินทางไป-กลับด้วยกัน ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด ส-อา ที่เราว่างเราก็ไปรับจ้างเฝ้าออฟฟิตติวเตอร์บ้าง ไปติวของตัวเองบ้าง พอรู้จักคนเยอะงานก็เริ่มมีเข้ามาตลอด ชีวิตก็เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ
ทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2549-2551 ตลอดเวลานั้นก็คิดตลอดนะ ว่าชั้นอยากเป็นพยาบาล อยากเดินตามรอยพ่อ ทำไมชีวิตต้องหักมุมแบบนี้ ตอนปี 2550 ก็ไปสมัครสอบ o-net คะแนนออกมาดีมากค้าาา แต่...ใช้ไม่ได้ แอดมิชชั่นเค้าเอาแค่การสอบครั้งแรกมาคิดเท่านั้น พ่_งงงงงงงง ทำไรไม่ได้เลยทีนี้ จะยื่นสอบตรงก็หมดสิทธิ์ เลยต้องซิกแซกหาช่องทางเอา ในระหว่างที่ทำงานอยู่นั้นว่างๆก็อ่านหนังสือ เล่นเน็ต หาข้อมูลเปิดรับสมัครเรียนเกี่ยวกับทางนี้ เอาคะแนนไปยื่นพยาบาลทหารบกผลปรากฏว่าติดค้าาาา ดีใจมาก แต่....วันสัมภาษณ์ดันไปทำปากกาตกต่อหน้ากรรมการ แนะนำชื่อตัวเองยังไม่ถูกเลย ปากก็สั่น เวลานั้นกรรมการ 4-5 คน นั่งมองเราตาปริบๆ ผลออกมาเป็นไงไม่ต้องถามเลยนะ ตกสัมภาษณ์ตามระเบียบ เศร้าาาา T_T
ปี 2551 นี่แหละคือปีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของจริง เราลองยื่นคะแนนของผู้ช่วยพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าติด และสอบสัมภาษณ์ผ่าน แล้วเป็นช่วงที่ต้องออกจากงานพอดี เป็นจุดเปลี่ยนแล้วมีอะไรมารองรับ ถือว่าเป็นโชคดีมากๆ แต่เราก็ต้องกลับไปคุยกับแม่อีกว่าครั้งนี้ต้องขอเรียนจริงๆนะ เพราะต้องเรียนทุกวัน ทำงานไปด้วยไม่ได้แล้ว เพราะเรียนที่นี่หลักสูตร 1 ปี ค่าเทอมตลอดหลักสูตร หมื่นกว่าๆ ผู้ปกครองต้องเซ็นสัญญา เรียนไม่จบต้องชดใช้ จบมาบรรจุเลย ต้องทำงานใช้ทุน 2 ปี ถ้าไม่ทำก็เสียแสนนึง ในตอนนั้นโอกาสแบบนี้ก็หายากนะ จบ ป.ตรีมาตกงานเยอะแยะ แต่สายงานนี้แหละยังคงอยู่รอด ค่อยต่อยอดเอาล่ะกันเนอะ
กว่าจะถึงวันนี้.......กว่าจะถึงฝัน.......กว่าจะเป็นพยาบาล....กว่าจะมีความสุขกับความโสด
ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ปี 2549 มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆดำๆคนนึงแบกกระเป๋าใบนึงเข้ามากรุงเทพทั้งเนื้อทั้งตัวมีเงิน 2000 พร้อมแหวนทองครึ่งสลึงอีก 1 วง มาหลังจากที่ได้รับวุฒิ ม.6 ทันที มาแบบไม่บอกใครเลย แม่ก็ไม่รู้ว่าลูกสาวไปไหน (หนีออกจากบ้านมานั่นแหละ) จำได้ดีเลยว่าตอนนั้นเคว้งมาก กลัวมาก ไม่รู้จะไปหาใคร จะอยู่ที่ไหน จะเอาอะไรกิน เงินมีเท่านี้ ที่พักก็ไม่มี สุดท้ายเราก็ตัดสินใจโทรหาเพื่อนคนนึงที่อยู่ชลบุรี แล้วก็ไปเริ่มต้นชีวิตสาวโรงงานที่นั่น มาอาศัยอยู่กับเพื่อนซึ่งเป็นเพื่อนสมัยประถมบ้านใกล้กัน คอยช่วยเหลือมาตลอด แม่ก็ไม่รู้ว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนกับใคร บอกให้กลับบ้านก็ไม่กลับ ด้วยความหยิ่งทนงตัวสูงมากกกกกก อยากพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าชั้นนี่แหละจะทำให้ดูว่าลูกที่แสนดื้อคนนี้จะเอาความสำเร็จไปฝากแม่ให้ได้ เพราะเราไม่ถูกกับแม่ไง เวลาอยู่บ้านจะเป็นไม้เบื่อไม้เมาตลอด ออกจากบ้านมาก็เพราะทะเลาะกัน จริงๆก็ผิดที่เราเองแหละเพราะเราอ่ะดื้อมาก ทั้งเรื่องเหล้ายา มีเรื่องมีราวเอาหมด คบเพื่อนก็มีแต่เพื่อนผู้ชายแต่ไม่ได้ดื้อแรดเหมือนเด็กสมัยนี้นะ เพื่อนก็คือเพื่อนเลยกลายเป็นผู้หญิงห้าวๆไปซะงั้น
ระหว่างที่หางานทำ ก็รอคะแนนสอบ o-net a-net ด้วยความหวังว่าเราจะสอบพยาบาลติด ซึ่งปีนั้นเป็นการเปลี่ยนระบบทั้งประเทศ ใครจบรุ่นนั้นจะรู้ดีว่าพวกเราคือรุ่นหนูทดลองยาของระบบแอดมิชชั่น ประกาศคะแนนมา3รอบ คะแนนมันดิ่งลงเรื่อยๆ จนสอบเข้าที่ไหนไม่ได้สักที่ (ถึงสอบได้ก็ไม่มีปัญญาเรียน) ตอนประกาศคะแนนออกมาพร้อมกับการประกาศว่าคะแนนโอเน็ตนั้นจะติดตัวไปตลอดชีวิต คือคิดในใจแล้วว่าชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เรียนมหาลัยปิดแล้วล่ะ มันเ_ยมาก ต้องทำใจอยู่นาน หลังจากนั้นก็ได้งานทำหลังจากที่ไปสมัครทิ้งไว้ คิดว่าทำไปเรื่อยๆรอสอบใหม่ปีหน้า (ยังไม่สิ้นหวังนะคะ 5555)
เริ่มต้นชีวิตสาวโรงงาน ตื่นเช้าเข้ากะ ตอกบัตร เข้างาน ทำให้ได้ตามยอดตามเป้าที่เขากำหนด กลับบ้านอาบน้ำนอน ตื่นมาเข้ากะเช้า บ่าย ดึก วัฏจักรของชีวิตที่นั่นก็ทำให้เราได้เห็นอีกมุมของสังคมที่นั่น ที่จะมีเรื่องทะลาะตบตีแช่งชิงผู้ชายกันไม่ว่างเว้นแต่ละวัน เราก็มานั่งคิดนะว่าชีวิตชั้นต้องมาจบกับที่ตรงนี้หรอ คิดในใจนะว่าจะต้องตบกับใครมั้ยเนี่ย เพราะมีผัวใครก็ไม่รู้เข้ามาเจ๊าะแจ๊ะแต่เราเองก็ไม่ได้เล่นด้วยนะ เพราะไม่ชอบชีวิตแบบนี้ แล้วชีวิตก็วนเวียนแบบนี้อยู่ 3-4 เดือน พอได้ข่าวว่ารามเปิดรับสมัครก็ลาเพื่อนไปเรียนต่อเลยค้าาาา แต่......ไหนละเงิน 55555 เอาวะชีวิตต้องสู้
แล้วเราก็แบกเป้เตรียมตัวไปอยู่กรุงเทพเพื่อเรียนต่อโดยไปหาเพื่อนสนิทสมัยม.ปลาย ไปหาเช่าห้องถูกๆอยู่ก็ได้ที่พักแถวบางกะปิกึ่งๆสลัมเลย นี่เป็นจุดเริ่มต้นอะไรหลายๆอย่าง การเข้ากรุงเทพมาครั้งนี้ลำบากมาก เงินก็ไม่มี ห้องที่เช่าก็เป็นห้องเปล่าๆไม่มีอะไรให้ ที่นอนไม่มีเราก็เอาผ้าถุงมาปูนอน เอาเสื้อมาเป็นหมอน เงินจะซื้อของเข้าห้องก็ไม่มี ขนาดว่าถังน้ำกับขันน้ำเรายังเลือกซื้อได้แค่ขันอย่างเดียว ถ่ายได้แต่ไม่มีขันตักน้ำล้างก้น โอ้ย....หนอออ ชีวิตชั้นทำไมอนาถขนาดนี้ ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจโทรกลับไปหาแม่ครั้งแรกหลังจากที่หนีออกจากบ้าน ด้วยความที่อยากเรียนเลยขอแม่กลับไปเรียนราชภัฏ แม่บอกว่ายังมีน้องอีกคงส่งไม่ไหว แม่ให้ได้เต็มที่เดือนละ 3,000 แล้วไหนจะยายกับตาอีก ความหวังดับอีกรอบค่ะ แรงฮึดกลับมาสิคะ เอาวะไหนๆก็ไหนล่ะเอาให้เต็มที่เลยละกัน รามก็รามสิคะ คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ ชีวิตนี้ชั้นก็ไม่ได้เป็นพยาบาลแล้วสินะ ไม่เป็นไรเนอะเบนเข็มใหม่ล่ะกัน ถึงแม่ไม่ได้ให้กลับไปเรียนแต่ก็ให้เงินมาตั้งตัวนิดหน่อย จริงๆแล้วแม่เราใจดีนะใจดีมากด้วย ปากนี่ร้ายมากแต่ใจนี่ไม่มีใครเกินแม่เราแล้วจริงๆ (เพิ่งรู้ตัวตอนโต) ก็แม่คนเดียวที่หาเลี้ยงเรากับน้องมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่พ่อเสียพวกเราก็อพยพกันไปอยู่บ้านนอก นอกมากกกกก ไม่มีสัญญาณโทรศพท์นะคะ จนถึงตอนนี้ใครไปบ้านเราจะใช้ได้เฉพาะ AIS นอกนั้นหมดสิทธิ์ 5555 จนตอนนี้แม่เราก็ยังอยู่คนเดียวอยู่เลยยยย 61 ล่ะแต่ยังแข็งแรงมาก
แล้วเราก็ไปสมัครเรียนรามค่ะ มีเพื่อนจากแก้งค์เดิมมาเรียนด้วยกัน 4 คน คือดีอ้ะ มีเพื่อนมาเรียนด้วยกัน ก็ลงบริหารธุรกิจ เอกบัญชีทั้งหมด แล้วก็ไปหางานทำ สมัครมันทุกที่ ลากรองเท้าผ้าใบไปหางานโคตรเหนื่อยย จบม.6 นี่หางานดีๆไม่มีเลยนะ แล้วตอนนั้นเพื่อนคนที่เรามาหาก็ย้ายมาอยู่กับเรา เราจะเรียกนางว่าบิวนะ จะไปหาสมัครเป็นพริตตี้เค้าก็ไม่รับแน่ๆ ตอนนั้นทั้งล่ำทั้งดำ ขี้เหร่สุดๆ จับพลัดจับพูลก็ไปได้งานคีย์ข้อมูล ไปกันเป็นคู่กับบิวเลยค่ะ ได้งานด้วยกัน คราวนี้ค่อยมีคู่หูหน่อย มีแต่คนคิดว่าเป็นฝาแผดกันเพราะคล้ายๆกัน ชีวิตก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ตามประสา แต่ส่วนใหญ่จะทุกข์มากกว่า เพราะไม่มีเงินกัน ต้องกินมาม่าประทังชีวิตเกือบทุกมื้อ มีอยู่ช่วงนึงที่กินทุกมื้อจนออกแดดไม่ได้ มันจะเป็นลม เพราะมาม่าไม่มีสารอาหารอะไรไง แต่ทำไงได้เราไม่มีเงินนี่นา แต่งานคีย์ข้อมูลมันมีเป็นช่วงๆ ทำได้อยู่ 3 เดือนก็ถูกลอยแพจ้าาาา สองสาวเคว้งเลยทีนี้ ตกงานกันตามระเบียบทีนี้ก็ต้องหางานใหม่ สู้ต่อไปปปปปปป
แต่เหมือนโชคเข้าข้างอยู่ดีๆเราก็ได้งานที่บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ในตอนแรกก็ไปเป็นเด็กคีย์ข้อมูลรับจ้างทั่วไป แต่ด้วยความที่เป็นคนแอคทีฟ
ทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 2549-2551 ตลอดเวลานั้นก็คิดตลอดนะ ว่าชั้นอยากเป็นพยาบาล อยากเดินตามรอยพ่อ ทำไมชีวิตต้องหักมุมแบบนี้ ตอนปี 2550 ก็ไปสมัครสอบ o-net คะแนนออกมาดีมากค้าาา แต่...ใช้ไม่ได้ แอดมิชชั่นเค้าเอาแค่การสอบครั้งแรกมาคิดเท่านั้น พ่_งงงงงงงง ทำไรไม่ได้เลยทีนี้ จะยื่นสอบตรงก็หมดสิทธิ์ เลยต้องซิกแซกหาช่องทางเอา ในระหว่างที่ทำงานอยู่นั้นว่างๆก็อ่านหนังสือ เล่นเน็ต หาข้อมูลเปิดรับสมัครเรียนเกี่ยวกับทางนี้ เอาคะแนนไปยื่นพยาบาลทหารบกผลปรากฏว่าติดค้าาาา ดีใจมาก แต่....วันสัมภาษณ์ดันไปทำปากกาตกต่อหน้ากรรมการ แนะนำชื่อตัวเองยังไม่ถูกเลย ปากก็สั่น เวลานั้นกรรมการ 4-5 คน นั่งมองเราตาปริบๆ ผลออกมาเป็นไงไม่ต้องถามเลยนะ ตกสัมภาษณ์ตามระเบียบ เศร้าาาา T_T
ปี 2551 นี่แหละคือปีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของจริง เราลองยื่นคะแนนของผู้ช่วยพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าติด และสอบสัมภาษณ์ผ่าน แล้วเป็นช่วงที่ต้องออกจากงานพอดี เป็นจุดเปลี่ยนแล้วมีอะไรมารองรับ ถือว่าเป็นโชคดีมากๆ แต่เราก็ต้องกลับไปคุยกับแม่อีกว่าครั้งนี้ต้องขอเรียนจริงๆนะ เพราะต้องเรียนทุกวัน ทำงานไปด้วยไม่ได้แล้ว เพราะเรียนที่นี่หลักสูตร 1 ปี ค่าเทอมตลอดหลักสูตร หมื่นกว่าๆ ผู้ปกครองต้องเซ็นสัญญา เรียนไม่จบต้องชดใช้ จบมาบรรจุเลย ต้องทำงานใช้ทุน 2 ปี ถ้าไม่ทำก็เสียแสนนึง ในตอนนั้นโอกาสแบบนี้ก็หายากนะ จบ ป.ตรีมาตกงานเยอะแยะ แต่สายงานนี้แหละยังคงอยู่รอด ค่อยต่อยอดเอาล่ะกันเนอะ