ทฤษฏีชาวสวน กับการลงทุนของผม

กระทู้สนทนา
สวัสดีครับ เพื่อนชาวสินธร  

พอดีผมมีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนในสวนแห่งหนึ่ง แต่คนเรานะแทนที่จะใช้เวลาผ่อนคลาย กับเอาเวลามานั่งคิดเรื่องหุ้น 555


ผมว่าการลงทุนของนักเล่นหุ้น เหมือนคนทำสวน ทำไมหรือครับ

อย่างแรก คนทำสวนใช้เวลาในการเลือกพันธุ์ไม้ ที่จะมาลงในสวน โดยมีเป้าหมายต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นไม้สวยงาม หรือไม้ให้ผล แต่ชาวสวนมีสิ่งที่เหมือนกันคือมีเป้าหมายและเข้าใจในพฤติกรรมของต้นไม้นั้น รวมถึงการเลือกใช้ปุ๋ย การให้น้ำ นักลงทุนเช่นเดียวกัน ผมว่านักลงทุนที่ดี ควรเลือกหาหุ้นที่ดีเข้าพอร์ตและมีเทคนิคส่วนตัวเข้าช่วย

ในส่วนตัวผมเวลาที่จะเลือกหุ้นเข้าพอร์ต ผมจะมีข้อบังคับส่วนตัว คือต้องนั่งอ่านข้อมูลอย่างน้อยให้ได้ 48 ชั่วโมง และทำการวิเคราะห์หาข้อดีข้อเสีย คู่แข่ง และความได้เปรียบของบริษัทนั้น รวมไปถึงประโยชน์ของลูกค้าที่จะได้รับ (value preposition ) และตัวเลขข้อมูล กำไร ขาดทุน ต่างๆ เพราะกฏ 48 ชั่วโมงจะ ช่วยลดอาการมือบอน ด่วนซื้อหุ้น ได้ดีทีเดียว

ปัจจัยที่สอง คนทำสวน เลือกฤดูกาลที่เหมาะสม ในการลงกล้าไม้ ต้นไม้ อย่างที่ท่านทราบหน้าฝน จะเป็นเวลาที่เหมาะสมในการลงกล้าไม้ นักลงทุน เช่นเดียวกัน ในหนึ่งปี จะมีช่วงให้เราลงทุนอย่างน้อยหนึ่งครั้ง สำหรับผม ผมมีฤดูฝนที่ 1,200 เพราะจากการทดสอบตลาดหุ้นเมืองไทย ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะราคาหุ้นเกือบทุกตัวในตลาดจะลง นอกเหนือจะมีหุ้นดีๆ ที่จะทนทานต้านการไหลออกของเงินทุนของนักลงทุน เปรียบเสมือนต้นไม้ดีๆ ที่จะยืนต่อสู้กับแสงแดด ในฤดูร้อน ไม่กี่ตัว แต่หุ้นบริษัทใหญ่ๆ ลงหมด ไม่ว่าจะเป็น SCC หรือ หุ้นธนาคารใหญ่ เพราะฝรั่งขายออก

อย่างที่สาม คือการฟูมฝัก และดูแล อันนี้สำคัญมาก ผมชอบที่จะดูผลประกอบการหุ้นของผมในแต่ละ หรือเข้ามาดูพันทิปเป็นระยะๆ เพราะมีเพื่อนที่คอยอัฟเดตข้อมูลทำตารางสรุปครบถ้วนให้ถึงบริษัทที่ทำกำไรขาดทุน (เช่น คุณ Resart ขอบคุณมากครับ) http://pantip.com/topic/34859469

ย้อนกลับไปตรงส่วนแรก สำหรับข้อดีของการศึกษาหุ้นเข้าพอร์ต ซึ่งข้อมูลจะทำให้เรา "เกิดความมั่นใจ"  อย่างที่เราเคยมีประสพการณ์ ที่หุ้นของเราบางวันถูกเทขายอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นดีๆ อย่างไรจะมีการเทขายกันเกือบทุกตัว นักลงทุนสายเทคนิค จะมีการคัสลอส สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีทั้งเทคนิค และไม่มีความรู้ จะเสียเงิน หรือเสียโอกาสในช่วงนี้ เพราะถ้าเราศึกษาข้อมูลมาดี แน่นอนว่าช่วงนี้เป็นช่วงจังหวะการซื้อเพิ่ม ไม่ใช่ขายขาดทุน ผมแนะนำวิธีการง่ายๆ หากเรามั่นใจกับข้อมูล แต่ลังเลใจไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ให้เราปิดจอ เอาเวลาไปศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมอยู่ต่างประเทศ ข้อมูลที่รวดเร็วที่สุดที่จะหาได้คือ หาได้จากบ้านปออันปัน เพราะเขาจะมีข้อสรุปข่าวตอนเช้า จนไปถึงเรื่องไร้สาระเรื่องตลกไปจนเกือบเที่ยงคืน หรือเข้าไปดูห้องคุณภาพอีกห้อง ของห้องคุยขโมงแห่งสินธร Sinthorn Summary รวมถึงข้อมูลอื่นๆ โดยใช้ป๋ากู (เกิล) เป็นตัวช่วย

ตรงนี้ผมว่าเป็นศาสตร์ในการลงทุน จะได้หรือเสียเงินก็อยู่ตรงนี้ เช่นเดียวกัน ผมระลึกเสมอว่า "ราคาหุ้นขึ้นลงที่แท้จริงอยู่ที่ผลกำไรบริษัท" เพราะฉะนั้นต้องมองธุรกิจนั้นให้ออก หุ้นธุรกิจที่ไม่ดี มีหุ้นราคาถูก P/E ต่ำ ราคานั้นก็ยังมีถูกกว่า ดูจากหุ้นหลายตัว สำหรับผม ผมเลือกซื้อหุ้น ในราคาที่พอใจ กับบริษัทที่คาดว่าจะมีกำไรในอนาคต

อย่างที่สี การเก็บผล และชื่มชมกับความงาม ตรงนี้ผมว่ายากที่สุดสำหรับผม เพราะฤดูเก็บเกี่ยวของผม จะมีช่วงเซตอยู่ที่ 1,500 แน่นอนว่าบางปีตลาดก็ไม่ได้ทำราคาขึ้นถึงขนาดนั้น ซึ่งตอนนี้ตลาดขึ้นมาที่ 1,400 กว่าๆ ในความเปราะบางของเศรษฐกิจ ผมก็ต้องเริ่มทำตัวเป็นชาวสวน เริ่มมองราคาพืชผลหรือเศรษฐกิจไทย และต่างประทศ ว่าระดับเซทขึ้นมาได้อย่างไร เพราะสิ่งสำคัญของการลงทุน คือผลกำไร การเลือกเก็บเกี่ยวกำไร มีให้เลือกระหว่าง การที่จะเก็บปันผลที่ 4-5% หรือการเก็บผลต่างของราคาที่บางตัวก็ขึ้นไปกว่า 40%


สิ่งที่ง่ายที่สุดที่นักลงทุนทำกัน คือตัดขายออกบางส่วน ในฤดูกาลเก็บเกี่ยว และไปซื้อหุ้นเพิ่มในฤดูฝน อย่างพี่เอ็นโดฟิน ก็จะมีกฏเรื่อง ระดับความปลอดภัย หรือท่านอืนๆ ก็จะมีเทคนิคต่างกันออกไป

แต่บางทีผมก็ทำตัวเป็นเหมือนชาวสวนไม้ใบ ที่ไปรอเก็บผลอีกหลายปีข้างหน้า ปัจจัยสี่ตัว คุณค่าของบริษัทต่อลูกค้า การทำกำไร, เวลา  และธรรมาภิบาลของบริษัท คือปัจจัยสำคัญในการเป็นหุ้นพลิกชีวิตของนักลงทุน

สุดท้ายในข้อสรุป จากประสพการณ์ส่วนตัว การเลือกหาหุ้นที่ดีเข้าพอร์ต การมีฤดูกาลลงทุนที่เหมาะสม การติดตามผลกำไร และการเก็บเกี่ยวกำไร มีผลต่อการสร้างกำไร และการขาดทุนกับการลงทุน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่