คิกออฟ 'e-Payment' 15 ก.ค. เปิดลงทะเบียน Any ID บัญชีเงินฝาก


คอลัมน์ กระจกไร้เงา: คิกออฟ 'e-Payment'
ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

          เดินหน้าอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ที่รัฐบาลเริ่มผลักดันให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น อย่างชัดเจน จนถึงเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2558 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่ได้มีการกำหนดให้มีการดำเนินโครงการสำคัญคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกัน ได้แก่ 1.โครงการชำระเงินแบบ Any ID ที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้หมายเลขอื่นๆ อาทิ หมาย เลขโทรศัพท์ หมายเลขประจำตัวบัตรประชาชนที่ใช้ลงทะเบียนไว้กับสถาบันการเงินมาใช้ในการโอนเงินได้

          ทั้งนี้ เป้าหมายในการดำเนินโครงการระบบ Any ID นั้น เบื้องต้นในวันที่ 15 ก.ค.2559 จะสามารถเปิดให้ประชาชนมาลงทะเบียน Any ID กับบัญชีเงินฝากได้ และในเดือน ก.ย.นี้การพัฒนาระบบสำหรับการให้บริการจ่ายสวัสดิการโดยใช้เลขประจำตัวประชาชนจะแล้วเสร็จ ส่วนในเดือน ต.ค. การพัฒนาระบบสำหรับให้บริการชำระเงินผ่านเบอร์โทรศัพท์จะแล้วเสร็จ พร้อมกับการพัฒนาระบบสำหรับให้บริการชำระบิลด้วย Any ID และในเดือน ธ.ค.2559 การพัฒนาระบบสำหรับการเรียกเก็บเงินเพื่อรองรับ e-Commerce จะแล้วเสร็จ

          โครงการในส่วนนี้จะช่วยสนับสนุนการใช้เงินสดให้ลดลงในทุกภาคส่วน ลดต้นทุนการบริหารจัดการธนบัตรของประเทศ ลดปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ รวมถึงเพิ่มความรวดเร็วคล่องตัวในการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจอีกด้วย

          2.โครงการขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยโครงการนี้จะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินที่สะดวกและปลอดภัยให้กับประชาชนมากขึ้น โดยตั้งแต่ พ.ค.2559 เป็นต้นไป จะมีการออกประกาศให้นิติบุคคลติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่เดือน ก.ค.นี้จะมีการออกหลักเกณฑ์ให้หน่วยงานราชการติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เช่นกัน ส่วนเดือน ส.ค.2559 ผู้ให้บริการวางอุปกรณ์จะมีความพร้อมที่จะเริ่มกระจายอุปกรณ์รับชำระเงิน ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายวางอุปกรณ์ดังกล่าวทั่วประเทศกว่า 2 ล้านเครื่อง

          3.โครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นการพัฒนาการจัดทำและนำส่งข้อมูลใบกำกับภาษีอิเล็กทรอ นิกส์ (e-Tax Invoice) และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) เพื่ออำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนในการจัดทำ รวมทั้งการนำส่งรายงานการทำธุรกรรมทางการเงินและการนำส่งภาษีเมื่อมีการชำระเงินผ่านระบบ e-Payment ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน ระยะเวลา และขั้นตอนของภาคเอกชน โดยเป้าหมายในปีนี้จะมีการปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ภาคเอกชนสามารถจัดทำและส่งมอบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้มีความสะดวกมากขึ้น และภายในเดือน ต.ค.นี้ จะสามารถจัดส่งใบกำกับภาษีผ่านภาพ Centrally signed email ก่อนที่เดือน ม.ค.2560 คาดว่าระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt จะพร้อมใช้งาน

          4.โครงการ e-Payment ภาครัฐ ซึ่งจะสามารถช่วยให้ภาครัฐสามารถรับจ่ายเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นระบบที่ลดความผิดพลาด ซ้ำซ้อน และโอกาสในการทุจริตจากการจ่ายเงินด้วยเงินสดหรือเช็คอีกด้วย โดยภายในเดือน ก.ย.2559 จะสามารถโอนเงินสวัสดิการประชาชนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารได้ รวมถึงจะสามารถจ่ายเงินให้ส่วนราชการด้วยวิธีโอนเงินผ่านระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรมบัญชีกลาง ซึ่งจะจ่ายตรงครบทุกส่วนราชการ และในเดือน ธ.ค.นี้จะส่งเสริมการรับ-จ่ายของหน่วยงานภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

          และสุดท้ายกับการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และให้ Incentive เพื่อส่งเสริมการเข้าสู่ระบบ e-Payment ซึ่งทุกหน่วยงานจะต้องร่วมกันประชาสัมพันธ์ในการให้ความรู้แก่ประชาชน โดยภาครัฐจะมีการออกมาตรการเพื่อจูงใจและกระตุ้นให้ประชา ชนและทุกภาคส่วนใช้ระบบ e-Payment แทนเงินสดและเช็ค

          กระทรวงการคลังเองก็คาดหวังกับโครงการนี้อยู่ไม่น้อย โดยมีการประเมินว่าระบบ e-Payment จะเริ่มดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง และระบบจะเสร็จสมบูรณ์แบบ เรียบร้อยทุกอย่างในวันที่ 1 ม.ค.2560

          อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.การคลัง ระบุว่า "เราเชื่อว่าระบบ e-Payment จะเป็นพื้นฐานของประเทศที่จะทำให้ประเทศมีประสิทธิภาพในการชำระเงินมากขึ้น และช่วยประหยัดต้นทุนด้านการเงินได้เป็นหมื่นล้านบาท"

          อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่ต้องจับตาต่อจากนี้ นั่นคือ "ค่าธรรมเนียม" ที่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แม้ว่าภาครัฐเองจะมีการหารือร่วมกับเอกชน และมีความพยายามทำให้ค่าธรรมเนียมที่จะออกมาถูกและต่ำที่สุด เพื่อจูงใจให้เกิดการใช้งาน.


แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 6)
ภาพประกอบจาก ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ http://www.thansettakij.com/2016/01/06/24488

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่