...ธ ผู้ทรงประทาน "ประชาธิปไตย" ให้กับปวงชนชาวไทย 30 พค. วันครอบรอบเสด็จสวรรคต....

กระทู้คำถาม
.......วันครอบรอบวันสวรรคตของกษัตริย์ผู้อาภัพของไทย.......
หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ ว่าวันนี้(30 พฤษภาคม 2484)เมื่อเวลาประมาณ 11 เช้ากว่าเป็นวันและเวลาที่พระบาทสมเด็จประปกเกล้าเจ้าอยู่ได้เสด็จสวรรคต ณ ตำบลเวอร์จิเนียร์ ลอเดอร์ ณ พระตำหนัก Compton House ชานเมืองลอนดอน เป็นการสวรรคตอย่างกระทันหันด้วยโรคพระหทัยวาย ไม่มีใครอยู่เคียงข้างแท่นพระบรรทม เนื่องด้วยในขณะนั้นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงกำลังเสด็จไปเมือง Kent


อาการพระประชวรของพระองค์เริ่มมาตั้งแต่เดือนเมษายน ทรงเสวยพระกระยาหารได้น้อยมาก อาการเพลียลงทุกวันๆ จึงต้องจ้างพยาบาลมาช่วยดูแล และช่วงเช้าของวันที่30 พฤษภาคม พระองค์ทรงลุกออกจากห้องพระบรรมมาพักผ่อนอริยาบทที่ระเบียงของพระตำหนัก สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีทรงเห็นว่ายังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก ก็เลยขอพระบรมราชานุญาตเสด็จไปดูพระตำหนักเก่าที่เมือง Kent และหลังจากพระองค์เสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว พระองค์ก็กลับเข้าห้องพระบรรทมเพื่อพักผ่อน ช่วง11 นาฬิกาของเช้าวันนั้นพระอาการประชวรก็กำเริบขึ้นมาอีก พระองค์ทรงรวบรวมกำลังกดกริ่งเรียกพยาบาลแต่ก็ไม่ทันการ กว่าพยาบาลจะมาถึงห้องพระบรรทมพระองค์ก็เสด็จสวรรคตโดยไม่มีใครอยู่ข้างพระวรกายไปเสียแล้ว!!


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวนับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอาภัพที่สุดพระองค์หนึ่ง ชีวิตของพระองค์ถูกหักมุมแล้วหักมุมเล่า แม้แต่การขึ้นครองราชย์ของพระองค์ก็เป็นไปแบบที่พระองค์ไม่ได้คาดหมายและคาดหวังมาก่อน พระองค์ทรงเป็นน้องสุดท้องของพระเชษฐาทั้งหกพระองค์ซึ่งมีพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ เป็นพระเชษฐาองค์โต ส่วนพระเชษฐาอีกทั้งห้าพระองค์นั้นหากยึดเอาตามการสืบสันตติวงศ์แล้ว ต่างก็ถือว่าเป็นองค์รัชทายาทตามลำดับ แต่อนิจจา.....พระเชษฐาทั้งหมดต่างก็สิ้นพระชนม์ไล่ตามลำดับทั้งสิ้น พระเชษฐาบางพระองค์ก็ถูกข้ามออกเสียจากการเป็นรัชทายาท อย่างเช่นสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถเพราะมีพระชายาเป็นแหม่ม(ต่อมาภายหลัง รัชกาลที่หกก็ยกให้เป็นรัชทายาท เพียงไม่กี่ปี..เจ้าฟ้าจักรพงษ์ฯ ก็สิ้นพระชนม์)


ก่อนที่รัชกาลที่หกจะเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ตั้งรัชทายาทเอาไว้ว่า หากทารกในพระครรค์ของพระชายา(พระนางเจ้าสุวัทนา)ของพระองค์เป็นโอรส ก็ให้พระโอรสนั้นเป็นรัชทายาทแล้วให้สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก(รัชกาลที่เจ็ด)เป็นสำเร็จราชการแทนพระโอรสจนกว่าจะขึ้นครองราชย์ และหากเป็นธิดาก็ให้สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกขึ้นครองราชย์ และทารกประสูติเป็นธิดาซึ่งต่อมา(คือสมเด็จพระเพชรรัตนราชสุดาในปัจจุบัน)ในวันถัดมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ก็เสด็จสวรรคต การขึ้นครองราชย์จึงตกมาที่เจ้าฟ้าประชาธิปก ซึ่งได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


บทแทรก :ในวันที่พระนางเจ้าสุวัทนาพระวรราชเทวี(ในรัชกาลที่๖)ให้พระประสูติกาลแก่พระราชธิดา สมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ (ร.๖)ทรงพระประชวรหนักบนแทนพระบรรทม มหาดเล็กเชิญทูญพระราชธิดาที่พึ่งเกิดใหม่เข้าเฝ้าแล้วทูลว่าเป็นหญิง พระเจ้าอยู่หัวทรงอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง น่าจะทรงจำได้ว่า ทรงห้ามไว้เองมิให้ราชนารี(ธิดากษัตริย์)สืบราชสมบัติ แล้วจึงตรัสว่า “ก็ดีเหมือนกัน มิน่าเล่าได้ยินพิณพาทย์ประโคม แล้วทรงสะอื้นน้ำพระเนตรไหลลงสู่พระปรางทั้งสองข้าง(เจ้าชีวิต –พระองค์เจ้าจุลจักรฯ)


ณ ช่วงปลายรัชสมัยของรัชกาลที่หก “เจ้าฟ้า” ที่ถือว่าเปี่ยมไปด้วยพระบารมีและทรงเป็นที่ย่ำเกรงในราชสำนักที่สุดหาใช่เจ้าฟ้าประชาธิปกไม่ หากแต่เป็นเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต(ต้นสกุล บริพัตร)พระเชษฐาต่างมารดาของรัชกาลที่เจ็ด กล่าวกันว่า เจ้าฟ้าประชาธิปกมีพระประสงค์จะให้พระเชษฐาต่างมารดาพระองค์นี้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ และในวันที่รัชกาลที่หกเสด็จสวรรคต พระเชษฐาและพระอนุชาทั้งสองพระองค์ออกมาคุยกันที่ระเบียง สักพัก เจ้าฟ้าบริบัตรก็คุกเข่ากับพื้นน้อมรับพระอนุชา(คือพระปกเกล้าฯ)ขึ้นครองราชย์


เรื่องราวและชีวิตเหมือนนิยายของพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้มีช่วงหักมุมหลายช่วงหลายตอน และส่วนใหญ่ก็จะเป็นมุมที่ถือว่าอาภัพที่สุดของพระมหากษัตริย์ไทยก็ว่าได้ ที่คนไทยต่างก็ทราบกันดีก็เห็นจะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ที่พระองค์ทรงยอมรับ “ระบอบการปกแบบประชาธิปไตย” อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในวันนั้นแม้นหากพระองค์ทรงเห็นแก่ราชบังลังก์ของพระองค์โดยไม่ห่วงการเสียเลือดเสียเนื้อของคนไทยด้วยกัน พระองค์ก็ย่อมทรงสั่งการต่อต้านคณะราษฏรไปแล้วซึ่งตอนนั้นก็มีทหารจำนวนมากรอบๆ พระนครพร้อมจะต่อสู้ แต่พระองค์ทรงยอมตามคำขอของคณะราษฏร เพื่อไม่ให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อเกิดขึ้นในวันนั้น


“....เล่ากันว่าในหลวง(พระปกเกล้าฯ- วัชรานนท์)ทรงพระกรรแสงเมื่อเห็นพระยาศรีวิศาลวาจา(หุ่น ฮุนตระกูล)และทรงตรัสว่า “ตาหุ่น” แกรู้แล้วมิใช่หรือว่าฉันจะให้รัฐธรรมนูญ!(ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อเมริกันในขณะที่ไปรักษาพระองค์ที่นั่นว่ามีพระประสงค์จะประทานรัฐธรรมนูญให้กับประเทศไทย-)
ทำไมจึงต้องทำให้ฉันอับอายเขาถึงเช่นนี้” พระยาศรีวิศาลฯ ก็ร้องไห้ตอบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้รู้เห็นด้วยจริง” และมีหลายคนที่อายในหลวงจนร้องไห้เหมือนกันพอกลับแล้ว ในหลวงก็ประชวรพระวาโยถึงสลบต้องฉีดยาและถวายการพยาบาลอยู่ตลอดคืน....” (เบื้องหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475- ศิลปวัฒนธรรม มิถุนายน 2542)



พระยาศรีวิศาลวาจา(หุ่น ฮุนตระกูล)เป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎหมายทีjนำมาใช้เป็นรัฐธรรมนูญ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด บาร์ริสเตอร์มิดเดิลเทมเปิล  ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ต่อมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตถ์ และอธิบการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนแรก
จากคุณ : วัชรานนท์
เขียนเมื่อ : 30 พ.ค. 53 06:04:11

ปล 1. ผมจะเขียนหรือนำข้อเขียนที่ผมเขียนเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงพระองค์นี้มาลงทุกๆ วันที่ 30 พค. เสมอๆ  ต้องออกตัวไว้ตรงนี้  เพราะกระทู้นี้อาจจะทำให้บางท่านเข้าใจผิดว่าผมเป็นรอยัลลิสต์(อันนี้ไม่เกี่ยวกับการเป็นคนเสื้อแดงของผมอะไร)   ผมเฉยๆ ในเรื่องนี้  มีนับถือกราบไหว้อย่างอย่างกระทู้นี้และมีนินทาลับหลังตามประสาปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆ ไป
ปล 2. บทความนี้ไปคล้องกับกระทู้ของคุณพระรองอยู่บางส่วนจึงฝากกระทู้คุณพระรองด้วยอีกทางหนึ่ง (ความจริงแฟนคลับคุณพระรองอุ่นหนาฝาคลั่งอยู่แล้วล่ะ   กลายเป็นว่าผมอาจจะแอบเกาะกระแสด้วย อิ อิ อิ    http://pantip.com/topic/35214384
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
หากในยุคประชาธิปไตยนี้กลุ่มคนทั้งหลายหลายๆกลุ่มที่ผ่านมาตั้งแต่จากอดีตจะกระทำการดังพระประสงค์ของพระองค์ท่านซึ่งมีเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้กล่าวไว้เมื่อครั้งสละราชสมบัติว่า

“ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่เห็นถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ยอมฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

หากเป็นครั้งอดีตหลายสิบหรือร้อยปีก่อนคงกล่าวได้ว่าขัดพระราชอำนาจโทษนั้นคงไม่ขอเอ่ย แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็ผิดแปลกไปหมดจากที่ทรงเคยรับสั่งหรือเปรยไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่