สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
วันเวลา คนทั้งโลกเขาเดินหน้า
แต่ของเราดูเวลาเหมือนถอยหลัง
ดูว่าเขา เร่งรีบไปเร็วจัง
ปล่อยให้เราอยู่หลังทิ้งห่างไกล
ในชาตินี้เมื่อไหร่ไปทันเขา
หมู่พวกเราทำเวรกรรมแต่ปางไหน
ถึงต้องมาตกอยู่ที่เมืองไทย
ตกอยู่ใต้การปกครองของคนดี
ก็ เอาเถอะจะทนไม่ไปไหน
ทนไม่ได้ก็ใช่คิดจะหลีกหนี
จะรอวันมันหมดสิ้นคนดี
วันนั้นสิ ที่เราจะมีชัย
แต่ให้ตายเถอะโรบิน คงสิ้นยาก
เราต่างหากเป็นศพเสียก่อนไหม
เพราะพวกเขามันมากยิ่งกระไร
รึ.......ต้องอดทนไปจนสิ้นลม
แต่ก็นะก่อนตายขอฮึดสู้
ป้องปากกู่ บอกไปข้าขื่นขม
ที่อยู่นี้แม้หน้าชื่น แต่อกตรม
มันเป็นมานานนม แต่บรรพกาล..........
แต่ของเราดูเวลาเหมือนถอยหลัง
ดูว่าเขา เร่งรีบไปเร็วจัง
ปล่อยให้เราอยู่หลังทิ้งห่างไกล
ในชาตินี้เมื่อไหร่ไปทันเขา
หมู่พวกเราทำเวรกรรมแต่ปางไหน
ถึงต้องมาตกอยู่ที่เมืองไทย
ตกอยู่ใต้การปกครองของคนดี
ก็ เอาเถอะจะทนไม่ไปไหน
ทนไม่ได้ก็ใช่คิดจะหลีกหนี
จะรอวันมันหมดสิ้นคนดี
วันนั้นสิ ที่เราจะมีชัย
แต่ให้ตายเถอะโรบิน คงสิ้นยาก
เราต่างหากเป็นศพเสียก่อนไหม
เพราะพวกเขามันมากยิ่งกระไร
รึ.......ต้องอดทนไปจนสิ้นลม
แต่ก็นะก่อนตายขอฮึดสู้
ป้องปากกู่ บอกไปข้าขื่นขม
ที่อยู่นี้แม้หน้าชื่น แต่อกตรม
มันเป็นมานานนม แต่บรรพกาล..........
ความคิดเห็นที่ 12
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปทุกอย่างก็ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลก คิดจะปฏิรูปประชาธิปไตยก็ไม่ต้องซ่อนแอบระบอบอื่นไว้ให้ถอยหลังย้อนยุค ผมจำได้ว่าเพลงลูกทุ่งสมัยก่อนพูดถึงท้องทุ่งท้องนา ต่อมากลายมาเป็นเกี่ยวกับการต่อสู้ชีวิตในเมืองกรุงหรือโรงงานต่างๆ ต่อมาก็กลายเป็นกล่าวถึงโทรศัพท์ เสียงรอสาย ริงโทน จนปัจจุบันเน้นกล่าวถึงเกี่ยวกับโลกอินเตอร์เน็ต สังคมโซเชียลมีเดียต่างๆ ขนาดเพลงลูกทุ่งที่สะท้อนถึงวิถีความเป็นอยู่ของคนไทยโดยตรงตามกาลเวลายังมีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับโลก แต่ทางการเมืองกลับกลายเป็นตรงกันข้าม ค่อยๆย้อนเวลากลับอดีตลงเรื่อยๆ และเป้าหมายสูงสุดคืออะไรไม่อยากจะคาดเดา แต่ที่แน่ๆจากการสังเกตมานาน ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริงครับ
ขอบคุณบทความดีๆที่คุณพระรองเขียนมาให้อ่านครับ +1
ขอบคุณบทความดีๆที่คุณพระรองเขียนมาให้อ่านครับ +1
ความคิดเห็นที่ 10
เห็นด้วยทุกประการครับ
ข้าราชการชั้นผู้น้อยนั่นไม่เท่าไหร่
พอระดับสูงขึ้นมากนี่บางท่านทำตัวอย่างกับอยู่บนหอคอย
ธรรมเนียมปฏิบัติ เข้าถึงยุ่งยาก หัวแข็ง มองโลกแคบลง มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง
มีระบบพวกพ้อง เส้นสายเดียวกัน ก็ดึงกันขึ้นไป ต้องเก่งงานและเก่งน้ำลาย ด้วยถึงจะได้ดี
ไม่ใช่วงการอื่นจะไม่มีนะครับ แต่ราชการจะเห็นได้ชักเจนกว่า
และเข้าใจว่าน่าจะเป็นต้นแบบ เพาะนิสัยให้คนไทยเราชาชินกับรูปแบบนี้ในสังคม
จะปฏิรูปก็ได้ไม่นาน
พวกระบบเก่าก็ล้มกระดานแล้วก็จัดพวกเดิมๆ เรียงแถวขึ้นมาใหม่
คนอยากได้ลาภ ยศ สักการะ หลายคน จึงหวังทางลัด ด้วยการกอดขาผู้มีอำนาจ ส่งเสริมการใช้วิธีผิดๆ ขึ้นมาบริหาร
ทุกวันนี้ก็ยังเห็นบุคคลหน้าเดิมๆ อายุอานามก็มาก ยังเวียนวนมารับตำแหน่งสำคัญๆ
หรือไม่ก็นามสกุลเก่าๆเดิม ส่งไม้รุ่นต่อรุ่น กระเตงเข้ามากัน เวียนมาเรื่อยๆ
ฝ่ายที่มาด้วยวิธีการที่ควรจะเป็น หรืออยากปฏิรูปอะไรขึ้นมา กลับถูกล้มล้าง ตัดบทบาทลง
พร้อมกับถูกสร้างบทให้กลายเป็นผีร้าย จากกลุ่มที่รวมๆ ยกตนเองว่าคนดี..
ข้าราชการชั้นผู้น้อยนั่นไม่เท่าไหร่
พอระดับสูงขึ้นมากนี่บางท่านทำตัวอย่างกับอยู่บนหอคอย
ธรรมเนียมปฏิบัติ เข้าถึงยุ่งยาก หัวแข็ง มองโลกแคบลง มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง
มีระบบพวกพ้อง เส้นสายเดียวกัน ก็ดึงกันขึ้นไป ต้องเก่งงานและเก่งน้ำลาย ด้วยถึงจะได้ดี
ไม่ใช่วงการอื่นจะไม่มีนะครับ แต่ราชการจะเห็นได้ชักเจนกว่า
และเข้าใจว่าน่าจะเป็นต้นแบบ เพาะนิสัยให้คนไทยเราชาชินกับรูปแบบนี้ในสังคม
จะปฏิรูปก็ได้ไม่นาน
พวกระบบเก่าก็ล้มกระดานแล้วก็จัดพวกเดิมๆ เรียงแถวขึ้นมาใหม่
คนอยากได้ลาภ ยศ สักการะ หลายคน จึงหวังทางลัด ด้วยการกอดขาผู้มีอำนาจ ส่งเสริมการใช้วิธีผิดๆ ขึ้นมาบริหาร
ทุกวันนี้ก็ยังเห็นบุคคลหน้าเดิมๆ อายุอานามก็มาก ยังเวียนวนมารับตำแหน่งสำคัญๆ
หรือไม่ก็นามสกุลเก่าๆเดิม ส่งไม้รุ่นต่อรุ่น กระเตงเข้ามากัน เวียนมาเรื่อยๆ
ฝ่ายที่มาด้วยวิธีการที่ควรจะเป็น หรืออยากปฏิรูปอะไรขึ้นมา กลับถูกล้มล้าง ตัดบทบาทลง
พร้อมกับถูกสร้างบทให้กลายเป็นผีร้าย จากกลุ่มที่รวมๆ ยกตนเองว่าคนดี..
ความคิดเห็นที่ 6
ขอบคุณค่ะพี่พระรอง ที่เขียนบทความดีๆ มาให้อ่านกัน
ปกติข้าราชการมีหน้าที่ต้องดูแลให้บริการประชาชน แต่ข้าราชการเรามีระบบแปลกประหลาด ที่เขาว่า เช้าชามเย็นชาม
ประชาชนต้องคลานเข่าเข้าไปหา ระบบเส้นสาย เจ้าขุนมูลนาย แตะต้องไม่ได้ เหมือนเป็นผู้วิเศษเป็นเจ้านายประชาชน
ไปติดต่อราชการทีลางานเตรียมทั้งวันได้เลย
จนใครคนหนึ่งได้ปฏิรูปใหม่หมด ทำให้ข้าราชการหลายคนไม่พอใจ ต้องปรับตัวเองขนานใหญ่ ต้องทำงานหนักขึ้น
ต้องพัฒนาตัวเอง ต้องดูแลประชาชน ภาพลักษณ์ไม่ใช่เทวดาเหมือนก่อน คล้ายทำงานบริษัทเอกชน
ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ แต่มาวันนี้ทุกอย่างกำลังกลับไปวังวนเดิมอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามขอบคุณมากค่ะที่ทำให้เรารู้ว่าระบบข้าราชการที่ดีควรเป็นอย่างไรและมีโอกาสได้สัมผัส แม้แค่ช่วงสั้นๆ
เราจะจำไว้ และเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะมีระบบราชการแบบที่ควรจะเป็น
ปกติข้าราชการมีหน้าที่ต้องดูแลให้บริการประชาชน แต่ข้าราชการเรามีระบบแปลกประหลาด ที่เขาว่า เช้าชามเย็นชาม
ประชาชนต้องคลานเข่าเข้าไปหา ระบบเส้นสาย เจ้าขุนมูลนาย แตะต้องไม่ได้ เหมือนเป็นผู้วิเศษเป็นเจ้านายประชาชน
ไปติดต่อราชการทีลางานเตรียมทั้งวันได้เลย
จนใครคนหนึ่งได้ปฏิรูปใหม่หมด ทำให้ข้าราชการหลายคนไม่พอใจ ต้องปรับตัวเองขนานใหญ่ ต้องทำงานหนักขึ้น
ต้องพัฒนาตัวเอง ต้องดูแลประชาชน ภาพลักษณ์ไม่ใช่เทวดาเหมือนก่อน คล้ายทำงานบริษัทเอกชน
ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ แต่มาวันนี้ทุกอย่างกำลังกลับไปวังวนเดิมอีกแล้ว

อย่างไรก็ตามขอบคุณมากค่ะที่ทำให้เรารู้ว่าระบบข้าราชการที่ดีควรเป็นอย่างไรและมีโอกาสได้สัมผัส แม้แค่ช่วงสั้นๆ
เราจะจำไว้ และเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะมีระบบราชการแบบที่ควรจะเป็น
แสดงความคิดเห็น
(บทความ...นายพระรอง) อำมาตยาธิปไตย ประชาธิปไตยสไตล์ไทยๆ ระบอบที่ไม่ผิดเพียงแค่ขัดกับระบอบประชาธิปไตย
อำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) ศาสตราจารย์ ดร.ลิขิต ธีรเวคิน ได้ให้คำนิยามรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ไว้ว่า คือการปกครองที่มีผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารประเทศในภาครัฐ ในกรณีประเทศไทยคือข้าราชการพลเรือนที่มีความชำนัญการในด้านต่างๆ โดยอำนาจการเมืองไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจการบริหารกลับตกอยู่ในกลุ่มผู้ชำนัญการพิเศษที่เคยดูแลหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ในกรณีประเทศไทยเรียกว่า ราชการ อำมาตยาธิปไตยก็คือระบบการปกครองที่ข้าราชการเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เพราะเป็นผู้กำหนดนโยบายและนำนโยบายไปปฏิบัติ
นั้นคือคำอรรถาธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ที่สังคมไทยยอมรับ ผู้เขียนเองก็เห็นด้วยกับการนิยามความหมายไว้เช่นนี้ แต่เนื่องจากตัวผู้เขียนเป็นผู้ที่ไม่ได้ร่ำเรียนรัฐศาสตร์มาโดยตรง หรือเรียนในสาขาวิชาที่เกี่ยวเนื่องอย่างนิติศาสตร์มาก่อน เพียงแค่เป็นคนชอบอ่านประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง เพื่อตอบคำถามตัวเองในยามที่เกิดข้อสงสัยว่า เพราะอะไร ทำไม จึงเป็นเช่นนั้น
ซึ่งวันนี้ก็ขอเขียน เรียบเรียงเรื่องราวของ อำมาตยาธิปไตย ในมุมมองของตนเองว่า แท้ที่จริงแล้วระบอบการปกครองลักษณะนี้ เป็นเช่นไรกันแน่
ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองระหว่างปี พ.ศ.2475-2516 อำนาจการบริหารตกอยู่ในมือขุนนางข้าราชการตลอดมา เป็นการปกครองซึ่งอำนาจการปกครองและการบริหารขึ้นอยู่กับชนกลุ่มเดียวโดยเฉพาะ มีข้าราชการประจำและข้าราชการทหารเป็นสำคัญ โดยทหารจะได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร การเลือกตั้งจัดขึ้นเป็นเพียงพิธีการเพื่อให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยสากล แต่ที่ไม่ได้มีความสำคัญอันใด เพราะตัวผู้บริหารสูงสุดคือนายกรัฐมนตรีมักจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง คือ ไม่ได้เป็นผู้แทนราษฎรแต่เป็นบุคคลที่ได้รับการสนับสนุนจากข้าราชการหรือกองทัพ
การปกครองเช่นนี้ผู้กุมอำนาจทางการเมืองการบริหารงานทั่วไปอยู่ในมือของข้าราชการประจำ เพราะถือตัวว่าเป็นผู้มีข้อมูล ความรู้ความชำนาญ เหนือกว่าราษฎรทั่วไป ข้าราชการทหารและข้าราชการพลเรือนจึงอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน อำนาจทางการเมืองของไทยในช่วงเวลาดังกล่าว ตกอยู่ในมือของกลุ่มข้าราชการระดับสูงซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นนำโดยไม่ยอมให้ประชาชนหรือกลุ่มการเมืองนอกระบบราชการเข้ามามีส่วนร่วมเลย ทำให้ไม่มีกลุ่มการเมืองมาคอยควบคุมคัดค้านการดำเนินงานทางการเมือง ผลคือทำให้ข้าราชการและชนชั้น นำทางการเมืองไทยเหล่านี้ได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจาก การแสวงหา รักษาและใช้อำนาจทางการเมืองที่อาจกล่าวได้ว่าอำนาจดังกล่าวนั้นได้มาด้วยความไม่ชอบธรรม
ช่วงเวลานั้น อำนาจทางการเมืองตัดสินโดยวิธีการใช้กำลังเป็นเครื่องมือและที่สำคัญคือเมื่อได้รับอำนาจแล้วก็ไม่คิดที่จะถ่ายโอนอำนาจไปให้กับประชาชนตามเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ดังที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้กล่าวไว้เมื่อครั้งสละราชสมบัติว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่เห็นถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ยอมฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”
ข้อเท็จจริงที่ชี้ให้เห็นถึงการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยของไทยอีกประการคือ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นต้น มาจนถึงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 42 ปี นายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่ของไทย มาจากทหาร ข้าราชการพลเรือน และมีที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหารโดยประชาชนไม่ค่อยได้เข้ามามีส่วนร่วมหรือมีบทบาทในทางการเมือง ในยุคอำมาตยาธิปไตยนี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 11 คน และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหารถึง 6 คน อีก 5 คนที่เหลือมาจากสถานการณ์เป็นใจ ได้เป็นเพราะพวกที่มาจากการรัฐประหาร รับมือปัญหาต่างๆในการบริหารไม่ได้จนต้องลาออกไปเอง แต่ที่สุดแล้ว ก็คัดเลือกกันเองเลือกตัวบุคคลขึ้นมาใหม่ในหมู่ข้าราชการและกองทัพอยู่ดี
การรัฐประหารหรือการแก้ไขปัญหาหาทางออกไม่ได้ สองเหตุผลนี้ ทำให้การเมืองไทยที่รัฐบาลแต่ล่ะชุดในช่วงนั้น มักจะเป็นรัฐบาลผสมมีอายุการทำงานที่สั้น เปลี่ยนแปลงตัวผุ้นำตลอดเวลา ทำให้ระบบราชการทหารและพลเรือนยึดกุมบทบาทในการเมืองไทยมาโดยตลอด
การเมืองไทยไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง วนเวียนอยู่ในวงจรของการรัฐประหาร และก่อกบฏเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาลโดยทหารไม่ได้มีการพัฒนารูปแบบประชาธิปไตยให้ก้าวหน้า
นักวิชาการชาวอเมริกันชื่อ เฟรดริกส์ (Fred Riggs) นักวิชาการชาวอเมริกันชื่อ เฟรดริกส์ (Fred Riggs) ผุ้ซึ่งเคยทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเมืองประเทศไทยและฟิลิปินธ์ มองว่าการเมืองไทยช่วง ปี พ.ศ. 2475-2516 เป็นแบบรัฐราชการเนื่องจากมีการสร้างสังคมขึ้นมาสองแบบคือ สังคมแบบดั้งเดิม และสังคมแบบอุปถัมภ์ ในความคิดของ Riggs รัฐราชการ คือ ระบบที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสังคมดั้งเดิมและสังคมสมัยใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับการเมืองไทยในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2475-2516 มีลักษณะเด่น 3 ประการ
1. การเมืองไทยเป็นเวทีที่มีผู้นำเพียงไม่กี่คน
2. การเมืองไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงและวนเวียนอยู่ในกำมือคนกลุ่มเดียว
3. การเมืองมีลักษณะวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า (The Subject Political Culture) ที่บุคคลมีหรือไม่มีความรู้ความเข้าใจต่อระบบการเมืองก็ตาม ไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองในตลอดทุกกระบวนการ และไม่มีความรู้สึกว่าตนเองมีความหมายหรืออิทธิพลต่อระบบการเมือง โดยมีพฤติกรรมยอมรับและเชื่อฟังตามขนบธรรมเนียมที่สืบทอดกันมา ยอมปฏิบัติตามอำนาจรัฐ โดยไม่มีข้อแม้ หรือขอสงสัยในสิทธิเสรีภาพของตน
ซึ่งตัวผู้เขียนก็เห็นว่า ลักษณะเด่นในข้อ 3 ที่ฝรั่งมั่งค่าวิเคราะห์ประเทศไทยนั้น ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน และทำให้ระบอบการปกครองลักษณะนี้ ยังคงมีอำนาจชี้นำสังคมการเมืองอยู่
ถ้าจะกล่าวอย่างเป็นธรรม ระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็ไม่ได้เป็นคำที่ผิดร้ายแรงอะไรเหมือนอย่างที่ฝ่ายการเมืองในปัจจุบันนำคำๆนี้มากล่าวโจมตีอีกฝ่ายในปัจจุบัน เพราะมันเป็นเพียงแนวคิดและวิธีปฏิบัติของคนส่วนหนึ่ง ที่ยังยึดติดกับธรรมเนียมปฏิบัติจากอดีต
ที่ผิดจริงๆ มีแค่อย่างเดียว คือ ผิดกับหลักการของระบอบประชาธิปไตย ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันทางสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่อยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งนั้นทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศประชาธิปไตย ที่ตลกขบขัน ในสายตาอารยะประเทศ หัวเราะเราะเยาะกับข้ออ้างว่า เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนชาติใดในโลก
ข้าราชการเอง คนเก่งๆก็มีอยู่ คนดีๆก็มีมาก เหมือนกับทุกอาชีพทุกวงการ แต่ทุกคนเป็นคนเท่ากัน มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ดังนั้นไม่จำเป็นเลยที่จะต้องสร้างระบบขึ้นมารองรับสถานะของตัวเองให้อยู่สูงกว่าคนอื่นในสังคม ด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย
โลกหมุนแล้ว แต่ไทยไม่ยอมหมุนตาม จึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากประเทศรั้งท้าย ทั้งๆที่ช่วงเวลานั้นไทยเป็นชาติที่มีศักยภาพระดับแถวหน้าของเอเชีย แต่กลับพัฒนาก้าวหน้าได้น้อยกว่าที่ควรเป็น ส่งผลให้ทุกวันนี้ ระยะห่างจากการเป็นประเทศแถวหน้าของเอเชีย ถูกยืดขยายจนไม่มีทีท่าว่าจะตามทัน
ทิ้งท้ายสักนิดว่า ความจริงผมแต่งโคลงสี่สุภาพไว้บทหนึ่ง ตั้งใจจะเอามาประกอบบทความชิ้นนี้ แต่จนใจที่ถ้อยคำนั้นหาคำที่ละมุนละไมมาสื่อความหมายไม่ได้ เลยตัดสินใจไม่ใส่มาให้ท่านที่เข้ามาอ่านได้อ่านกันนะครับ
แต่แค่นี้ก็คงต้องวัดใจกัน ว่าบทความนี้จะอยู่รอดตลอดฝั่งหรือไม่........จะรอดไหมหว่า ไอ้พระรอง
ขอบคุณครับ
นายพระรอง