ประสบการณ์การเจอวิญญาณในต่างแดน จากคนที่ไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ จนเป็นคนที่พกพระติดตัว

ขอออกตัวก่อนนะคะ นี่เป็นกระทู้แรกค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัยตรงนี้เลย เจ้าของกระทู้ไม่ได้ช่ำชองเรื่องการเล่ารึการเขียนอะไรประเภทนี้มากนัก แต่ก็ได้ตัดสินใจนำเรื่องราวของตัวเองมาลง pantip เนื่องจาก
      1. อ่านเรื่องประสบการณ์เจอวิญญาณ เจอผีของเพื่อนๆในนี้มาเยอะพอสมควร เลยมีความคิดที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ของตัวเองบ้าง
      2. เขียนไว้เป็นความทรงจำเตือนตัวเองว่า เฮ้ย​!เราเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนนะ ก่อนที่รายละเอียดทั้งหมดนี้จะเลือนหายไปตามกาลเวลา

หมายเหตุ
     1. เจ้าของกระทู้ขอไม่เรียกสิ่งที่เจอว่าผี เนื่องจากในความคิดเห็น ผีคือวิญญาณที่น่ากลัว มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวและตั้งใจมาหลอก แต่ขอเรียกว่าวิญญาณแทนเนื่องจากเห็นว่าวิญญาณเป็นลักษณะของคนที่สูญเสียร่างกายซึ่งเป็นที่อยู่ไป
     2. ขออนุญาตเรียกแทนตัวเองว่า เรา

     เราขอแบ่งเรื่องของเป็น 3 ส่วน 1. ภูมิหลังของเรา 2. ภูมิหลังของเรื่องที่เกิดขึ้น 3. เรื่องที่เกิดขึ้น

ภูมิหลังของเรา
     1. เราไม่เชื่อเรื่องผีเรื่องวิญญาณ เพราะเราเป็นคนชอบสงสัย โดยเฉพาะเรื่องพวกนี้ เรามีคำถามตลอดว่า เห้ย ในเมื่อคนมีศาสนา แล้วศาสนามีนรกและสวรรค์ของตัวเอง แบบนี้คนตายไปก็ต้องมี passport ดิ ในเมื่อหาคำตอบไม่ได้ก็พาลไม่เชื่อเรื่องนี้เลย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเราก็ไม่ได้ทำชั่วโดยไม่เกรงกลัวบาปนะ เราเพียงแต่ใช้ชีวิตแบบทำในสิ่งที่ดี ที่ไม่รบกวนใคร แล้วเราก็จะได้ผลดีที่ทำไปกลับมา
     2. เราเคยเป็นอาสาสมัครตอนเหตุการณ์ซึนามิที่วัดย่านยาว (วัดที่หมอพรทิพย์ประจำอยู่ตอนนั้น) ตั้งแต่เราอยู่ ม.4 เพราะฉะนั้นเราเห็นสภาพศพที่น่ากลัวมากๆมาแล้ว และไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอะไรนอกเหนือไปจากศพที่ไร้วิญญาณ (เช่นเดียวกัน ไม่เชื่อเรื่องผี)
     3. เรามีประสบการณ์กับทั้งศาสนาพุทธ (เนื่องจากที่บ้านเป็นพุทธ ตอนเด็กๆเข้าวัดบ่อย) และศาสนาคริสต์ (เนื่องจากเรียนโรงเรียนคาทอลิก) เราเลยได้เรียนรู้ในเรื่องความศรัทธาและรู้วิธีการแสดงความเคารพของทั้งสองศาสนา
     4. เราเคยเจอประสบการณ์แปลกๆที่หาคำตอบไม่ได้ตอนอยู่โรงเรียนคาทอลิก เนื่องจากเราเป็นเด็กหอใน และตอนนั้นก็มีบางครั้งที่ต้องกลับหอดึกเนื่องจากไปหาหมอฟัน กลับหอมาคนเดียวขึ้นหอชั้น 5 โดยต้องใช้บันไดบนตึกเรียนมืดๆ ซึ่งชั้นที่เป็นหอก็มีห้องดนตรีไทย เคยเจอประสบการณ์แปลกๆหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น อยู่ๆก็ได้ยินเสียงดนตรีไทย หรือ ได้ยินเสียงคนเคาะราวเหล็กใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หรือ เสียงโทรศัพท์หน้าห้องดนตรีไทยดังตอนห้าทุ่ม ทั้งๆที่โทรศัพท์ชั้นนั้นใช้ไม่ได้ (พิมพ์ไปขนลุกไป) แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังคงไม่เชื่อเรื่องผีอยู่ต่อไป

ภูมิหลังของเรื่องที่เกิดขึ้น
     1. เราเรียนจบปริญญาตรีที่ไทย เราไปอเมริกาเพื่อที่จะไปศึกษาต่อ หลังจากที่ใช้ชีวิตในละแวก Chicago ได้ประมาณปีนึง เราก็ต้องย้ายเมืองไปในตัวเมืองๆหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเป็นเมืองข้าวโพดในรัฐ Illinois ในฐานะนักศึกษาปริญญาโทของมหาลัยแห่งหนึ่ง (ที่ต้องระบุว่าปริญญาโท เนื่องจากตารางเรียนของปริญญาโทในคณะนี้ เรียนตั้งแต่ 5โมงเย็น ถึง 4ทุ่ม และไม่ได้มีตารางเรียนเกือบทุกวันเหมือนป.ตรี ซึ่งทำให้เราต้องใช้ชีวิตในบ้านหลังนั้นเกือบตลอดเวลา)  
     2. เราเลยหาบ้านเช่าละแวกมหาลัย ตอนนั้นเป็นช่วงเดือนธันวา (เพิ่งผ่านเบญจเพสของเรามาหยกๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอจะมีส่วนมาจากประเด็นนี้ด้วยมั้ย) ซึ่งเป็นหน้าหนาวของเมกา และ Illinois ปีนั้นก็หนาวมาก เราหาบ้านเช่าจาก website ที่ชื่อ craigslist โพสต์ในนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโพสต์จากเจ้าของสินค้าหรือบริการ หาได้อยู่หลายวันก็ไปเจอ post นึงที่เป็นบ้าน townhouse อยู่ไม่ไกลจากมหาลัย (ขับรถประมาณ 8 นาที) townhouse หลังนั้นสภาพใหม่มี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ มีที่จอดรถ 2 คัน มีห้องครัว มีห้องนั่งเล่น (คือเรากะแบบไหนๆก็จะต้องอยู่ที่นี่อีก 2ปี ก็เลยกะหาที่ที่เราสามารถรู้สึกเหมือนบ้านอยู่ เพราะตอนที่อยู่แถว Chicago อยู่ห้อง studio แล้วรู้สึกอึดอัด) townhouse หลังนั้นราคา $1,000 ฟังไม่ผิดค่ะ มันถูกมาก เมื่อเทียบกับบ้านละแวกเดียวกันแบบเล็กกว่ายังอยู่ที่ $1,200 ยังไม่พอแค่นั้น landlord (เจ้าของบ้านที่ให้เช่า) ก็ใจดีลดราคาให้เพราะเราบอกว่าเรายังหาเพื่อนมาอยู่ด้วยไม่ได้ ราคาเช่าบ้านหลังนี้จึงอยู่ที่ $700 ต่อเดือน เท่านั้นยังไม่พอ เราย้ายมาตอนวันที่ 15 เดือนธันวาคม landlord ใจดีไม่คิดค่าเช่าครึ่งเดือนที่เหลืออีก เราเลยตกลงทำสัญญาเช่า 1ปี ด้วยเงินมัดจำ $1,000+ค่าเช่าเดือนมกรา $700 (ใช่ มันถูกและดีจนน่าสงสัย แต่เราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไง)

เรื่องที่เกิดขึ้น

     เราย้ายเข้าบ้านหลังนั้นตั้งแต่วันที่ 15 ธันวา เราไปถึงที่นั่นตอนบ่ายๆ ก็จัดแจงยกของเข้าบ้าน ทางเข้าบ้านมีอยู่ 3 ทาง คือ ประตูหน้าบ้าน (เดินเข้าทางนั้นจะเจอห้องน้ำ บ้นไดขึ้นชั้นสอง และพื้นที่นั่งเล่น) ประตูที่จอดรถ (เดินเข้าทางนี้จะเจอห้องครัว) และประตูหลังบ้าน (ถัดออกไปจากห้องครัวและโต๊ะกินข้าว) เราย้ายเข้าบ้านหลังนั้นโดยเอาเครื่องของเครื่องใช้ของตัวเองเข้าไปเกือบทุกอย่าง มีเพียงโต๊ะกินข้าวที่เป็นไม้รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสพร้อมเก้าอี้แบบ 4ขา 4ตัว ตู้เย็น และเครื่องซักผ้าที่เป็นของ landlord

     เราย้ายเข้าบ้านไปคืนแรก ก็ยังไม่ได้เก็บข้าวของ เพียงแต่ยกทุกอย่างลงเข้าโรงจอดรถแล้วกองๆไว้ตรงนั้น ยกไปเพียงแต่ที่นอนเพื่อให้นอนได้ เราเลือกนอนห้องนอนห้องเล็กที่อยู่ด้านหลังบ้าน เพราะตอนนั้นด้วยเรื่องไม่รู้ว่าค่าไฟค่าแก๊สจะเท่าไหร่ (แปลกที่ห้องนั้นเป็นเพียงห้องเดียวที่เรารู้สึกร้อน ทั้งๆที่ทั้งบ้านเรารู้สึกเย็น แต่!ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงเป็นเพราะฮีตเตอร์) คืนแรกที่ไปนอนยังจำได้ว่าเรามีความรู้สึกว่าได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆเหมือนมีคนทำอะไรอยู่ตลอดเวลา ตอนเราอยู่ชั้นบน เราก็ได้ยินเสียงข้างล่างโดยเฉพาะบริเวณที่เป็นห้องครัว พออยู่ข้างล่างก็ได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆข้างบน และเป็นอย่างนี้อยู่บ่อยๆเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรเนื่องจากบ้านเป็น townhouse เราก็เลยคิดว่าเป็นเสียงจากบ้านข้างๆ
    
     วันแรกที่เราไปเรียน จำกันได้มั้ย เราเลิกเรียน 4 ทุ่ม กลับมาถึงบ้านเราแบบเอ๊ะ ตอนออกไปลืมปิดไฟเหรอฟร่ะ เพราะไฟมันเปิดอยู่ ครั้งต่อๆมาที่ออกไปข้างนอกเลยแบบเชคไฟทุกดวงว่าปิดแล้ว เพราะกลัวค่าไฟแพง 555 วันที่สองที่กลับมาดึกๆ กลับมาเลี้ยวจะเข้าบ้านปุ๊บก็เห็นแบบเห้ย ลืมปิดอีกแล้วเหรอว่ะ ที่นี้ออกไปครั้งที่สามเริ่มแบบ เชคแล้วเชคอีกว่าปิดแล้วนะ กลับมาก็แบบยังมีไฟเปิดอยู่ ในแต่ละวันที่กลับมาไฟที่เปิดจะไม่ใช่ดวงเดิม บางครั้งก็ตรงห้องนั่งเล่น บางครั้งก็ห้องครัว บางครั้งก็ตรงบันไดชั้นสอง (บ้านไม่มีระบบตั้งเวลาเปิดไฟ) วันที่ peak สุดคือวันที่กลับมาในตอนกลางวันแล้วพัดลมเพดานในห้องนั่งเล่นมันเปิดอยู่ ทั้งๆที่แบบเรามั่นใจมว๊ากกกว่าตอนออกจากบ้านปิดไปแล้วตอนนี้เริ่มสงสัยละว่า landlord เข้ามาบ้านป่ะวะ วันต่อมาเราเลยโทรหานาง ถามนางว่านางได้เข้ามามั้ย นางก็บอกไม่ได้เข้ามา ตอนนั้นเราไม่เชื่อนะ จนกระทั่งไปถามเพื่อนเมกันในชั้นเรียน เพื่อนอธิบายว่า landlord จะเข้ามาเฉยๆโดยไม่บอกเราไม่ได้ เราเลยเชื่อว่านางไม่ได้เข้า

    ตอนนั้นเราก็แบบ อืม น่าจะมีอะไรแปลกๆว่ะ บอกกับตัวเองอย่างนั้น เนื่องจากไฟมันก็เปิดอยู่ทุกครั้งในเวลากลางคืนที่กลับมา ได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆบ่อยๆ  ตอนนั้นเรามีความคิดแบบผุดมาในหัว (แบบมันก่อตัวมาเรื่อยๆ) ว่าสิ่งๆนั้นเป็นวิญญาณที่เป็นผู้ชายผิวขาวฝรั่งวัยกลางคน ตัวสูง หุ่นดี เราก็แบบ เออดีว่ะ รู้สึกปลอดภัย มีคนอยู่บ้าน โจรไม่เข้ามาแน่ๆ แถมวิญญาณก็ดูดี (ตอนนั้นแค่คิดขำๆ ไม่ได้แบบเชื่ออะไรแบบนั้นมาก) จนกระทั่งวันนึง น่าจะอาทิตย์กว่าๆหลังจากที่ย้ายมา คืนนั้นเราได้ยินเสียงเสียงนึงเหมือนของบางอย่างเลื่อน เราก็ด้วยความเป็นคนขี้สงสัย เราก็มองหาต้นตอ คืนนั้นลมพัดแรงมาก เราเลยคิดว่าลมพัดลอดช่องกระจกประตูที่เป็นประตูบานเลื่อนรึป่าว เรามองไปทางนั้น ประตูบานนั้นอยู่หลังโต๊ะกินข้าว ตอนที่เรามองไป เราก็เจอต้นตอของเสียง เสียงนั้นไม่ได้มาจากกระจก แต่เสียงที่เกิดมาพร้อมกับการที่เก้าอี้ไม้ตัวนึงจาก 4 ตัวที่มี เลื่อนออกมาประมาณ 2นิ้ว ใช่ค่ะ ฟังไม่ผิด เก้าอี้ 4 ขาตัวนั้น เลื่อนออกมาเอง ตอนนั้นเราเริ่มมีอาการไม่โอเคละ แต่ก็ยังไม่คิดจริงจังว่าเป็นวิญญาณ

    เราเริ่มเล่าให้เพื่อนๆที่เคยอยู่ด้วยกันแถว Chicago ให้ฟัง วันนึงเรานัดรวมตัวกินข้าวกันที่บ้านเช่าหลังนั้น วันนั้นเราทำอาหารไทยกัน เรากำลังตำส้มตำปลาร้าอยู่ข้างตู้เย็น อีกข้างของเราคือ counter ทำครัว ในขณะที่ตำอย่างเมามันส์ เราได้ยินเสียงผู้ชายมาถอนหายใจอยู่ข้างๆ เราร้องเห้ยออกมา เพื่อนๆที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเลยถามว่าเป็นอะไร ตอนนั้นเราไม่กล้าเล่า แต่เมื่อเพื่อนถามว่ามีอะไรวะ ตะกี้หน้าซีดมากเลย เราไปเล่าให้พวกนางฟังว่าได้ยินอะไรมา เพื่อนคนนึงในนั้นเลยตัดสินใจละว่าใช่แน่ๆ ก่อนกลับนางเลยให้พระเก็บไว้ เราก็รับมาเพื่อความสบายใจ

    ตอนนั้น เราบอกตรงๆว่าเราเริ่มกลัว เราเจอไฟ เจอเสียงทุกวัน เราไม่มีความคิดเรื่องย้ายบ้านเนื่องจากเราไม่อยากเสียเงินค่าประกันและกลัวจะถูก landlord ฟ้องร้อง ตอนนั้นสิ่งที่เราทำจึงเป็นการหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เราหาคำตอบไม่ได้สิ่งนั้น เราส่งภาพบ้านในมุมต่างๆมาให้เพื่อนที่ไทย เนื่องจากเพื่อนเราบอกว่ามีคนรู้จักที่สามารถบอกได้ว่าสถานที่นั้นมีสิ่งที่มองไม่เห็นอะไรอยู่มั้ยเพียงจากการดูรูปถ่าย ขณะที่เรากำลังรอคำตอบจากเพื่อนอยู่นั้น เราก็ได้ไปคุยกับพี่คนไทยที่รู้จักคนนึงว่าเราเจออะไรแปลกๆ พี่คนนั้นก็ขอเลขที่บ้านไป เค้าบอกจากเลขที่บ้านเค้าบอกได้ว่ามีคนที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ ยังอยู่ที่นี่ เค้าเป็นผู้ชาย (ตอนนั้นเราก็แบบ อืม คงมีจริงๆแหละ แต่ก็ไม่ได้กลัว) จนกระทั่ง เราได้คำตอบจากเพื่อนที่ไทย ก่อนจะเล่า นางถามเราก่อนว่าจะโอเคที่จะรู้มั้ย เราก็แบบโอเคสิวะ อยากหาคำตอบมาตั้งนาน นางเลยเล่าว่าสิ่งที่คนๆนั้นเห็นคือเป็นผู้ชายฝรั่งผิวขาว อายุประมาณ 30 กว่า ถูกฆาตรกรรมในบ้านเพราะเรื่องชู้สาว เอาจริงๆตอนนั้นเราเริ่มกลัวนะ แต่กลัวจะถูกฟ้องมากกว่า เราเลยแบบถามนางว่าวิญญาณต้องการอะไร ทำไมเราต้องเห็น เราจะอยู่ต่อได้มั้ย แลัวเราต้องช่วยเหลือเค้ายังไง

     เพื่อนเราก็อธิบายมาว่า เค้ายังอยู่ที่นั่นเพราะยังไม่หมดอายุขัย เค้าตายไปโดยที่ไม่รู้ตัว ที่เค้ามาให้เห็นคือเค้าอยากให้รู้ว่ามีเค้าอยู่ในบ้านนี้นะ เพื่อนบอกมาอีกด้วยว่าเค้าหิว (เราก็แบบคิดว่า นี่สินะที่ได้ยินเสียงก๊อกๆแก๊กๆในครัวบ่อยๆ) บอกพี่คนนั้นเห็นรอยเท้าตรงใต้โต๊ะตรงห้องนั่งเล่น บอกว่าถ้าเลิกพรมออกจะเห็นรอยเท้าเค้าแน่ๆ มาตรงคำตอบที่ว่า เราจะช่วยอะไรได้บ้างนางก็ให้เราไปหาของให้เค้ากิน เพื่อนบอกว่าวิญญาณชอบเราเนื่องจากเราอยู่ที่นี่แบบเงียบดี เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ที่นี่ได้ เพียงแต่มันมีสิ่งของสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นของเค้า เค้าเก็บไว้บนที่สูงๆ ให้เอาออกไปจากบ้าน ตอนนั้นเรานึกไม่ออกจริงๆว่าสิ่งๆนั้นคืออะไร เพื่อนบอกอีกด้วยว่าเครื่องใช้ทุกอย่างที่เป็นของๆเค้า ถ้าจะให้ดีก็ให้เอาออกไปด้วย แต่เราไม่ได้อยากเอาโต๊ะตัวนั้นออก เนื่องจากเป็นโต๊ะที่ดี ถ้าซื้อใหม่ก็แพงและก็จะได้ไม่ดีแบบนี้แน่ๆ เลยแบบ เก็บไว้ค่ะ ท้ายที่สุดเพื่อนบอกว่า ไม่ได้มีแต่ผู้ใหญ่นะ แต่มีเด็กด้วยอีก 1 คน ตอนนั้นเราไม่สนใจอะไรเกี่ยวกับเด็กมาก เพราะไม่เคยรู้สึกอะไรเกี่ยวกับเด็กเลย เราจึงปล่อยประเด็นนี้ไป

     เราปวดกะบาลอยู่สองวันเห็นจะได้ คิดไม่ตกว่าจะซื้ออะไร จะปักธูปเชิญมั้ย จะต้องท่องบดสวด รึอะไร จะพูดไทยรึอังกฤษ แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจว่าวันนี้แหละจะไปซื้ออะไรมาให้กินละนะ เราไปซื้อ footlong ของ subway มาให้ พร้อมปักธูป และเชิญเค้ามากินทั้งภาษาไทยและอังกฤษ สักพักนึงเรามีความรู้สึกว่า เค้าไม่ชอบกลิ่นธูป เราเลยเอาธูปออกและปล่อยไว้ตรงโต๊ะนั้นก่อนออกจากบ้าน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่