ผมเรียนจบเดือน พ.ค.58 พอเข้าเดือน มิ.ย.ก็ได้งานเลย เป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่ง แล้วอย่างที่ผมเคยเขียนไปในหลาย ๆ กระทู้ว่าผมรู้สึกไม่ชอบที่ทำงานเก่ามาก ทั้งด้วยตัวงานที่ไม่ถนัด และนายญี่ปุ่นที่ผมคิดว่าไม่ค่อยดี ไม่ค่อยโอเคเท่าไร ก็เลยทำงานด้วยความทุกข์มาโดยตลอดตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ธ.ค.58 คือกับเพื่อนร่วมงานคนไทยที่นั่นผมโอเคนะ ไม่มีปัญหาเลย จะมีก็แค่กับนายญี่ปุ่น อีกอย่างคือผมเป็นล่ามญี่ปุ่นก็จริง แต่ ณ ขณะนั้น ความสามารถทางภาษาของผมยังถือว่าไม่โอเคนักในสายตาของคนญี่ปุ่น และก็มีหลายครั้งที่ผมเจอประโยคแบบซับซ้อนทั้งภาษาไทยและภาษาญี่ปุ่น แล้วไม่สามารถแปลออกไปได้ ก็เลยโดนนายญี่ปุ่นโมโห อะไรแบบนั้น
สุดท้ายผมก็หนีไปหางานใหม่ ก็เป็นล่ามเหมือนเดิม แต่คราวนี้ทำในโรงพยาบาลซึ่งผมคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่าที่เดิม เพราะปกติผมชอบอ่านพวกการ์ตูนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่มันเกี่ยวกับชีววิทยา ร่างกายคนและสัตว์อะไรพวกนั้น ในวันสุดท้ายที่ผมไปทำงานที่เดิม คนญี่ปุ่นที่เป็นหัวหน้าใหญ่ก็พูดเหมือนพูดเล่น ๆ แต่แฝงความดูถูกไว้ในนั้น เขาพูดประมาณว่า เขารู้ว่าความสามารถผมอยู่ระดับไหน ถ้าไปหาหมอที่นั่นคงไม่กล้าให้ผมแปล (คือเขากับคนญี่ปุ่นอีกคนก็จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลนั้นอยู่แล้ว มีศูนย์บริการผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ) แล้วนายญี่ปุ่นอีกคนก็ดันเสริมมาว่า สงสัยถ้าไป ต้องขอให้เปลี่ยนคนเลย
ผมก็รู้สึกแย่เหมือนกันในตอนแรก ถึงจะพูดเล่นก็เหอะ แล้วช่วงแรก ๆ ที่ผมทำที่โรงพยาบาลนี่ ช่วงที่ยังต้องแปลโดยมีรุ่นพี่ประกบ (เป็นหลักของโรงพยาบาลอยู่แล้วที่ต้องมีรุ่นพี่ประกบในช่วงแรก) ผมก็ทำได้ไม่ค่อยดี แต่ถึงตอนนี้ ซึ่งกำลังจะเข้าเดือนที่ 6 ที่ผมทำที่โรงพยาบาล ผมว่าทักษะภาษาญี่ปุ่นผมมันดีขึ้นมาก ดีแบบก้าวกระโดดกว่าตอนอยู่โรงงาน คือผมอยู่โรงงานมา 7 เดือน ภาษายังไม่พัฒนาเท่ากับอยู่โรงพยาบาลมา 5-6 เดือน (ผมคิดว่ามันเริ่มพัฒนามาตั้งแต่เดือนที่ 4 ด้วยซ้ำ)
จนตอนนี้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะต่อกรกับนายญี่ปุ่นพวกนั้นถ้าหากเขามาหาหมอ เดือน มิ.ย.จะมีนายญี่ปุ่นอีกคนมาหาหมอที่นี่ ซึ่งผมต้องทำงานประกบกับนายคนนี้ตอนอยู่ที่ทำงานเดิม ต้องตามติดเขาไปทุกที่ และเขาก็ขี้โมโห อารมณ์ร้อน ผมโดนเขาโวยใส่ โมโหใส่หลายครั้ง แถมเขายังเคยพูดกับล่ามโรงงานอื่นด้วยว่าผมยังไม่เก่ง ตอนนี้ผมรอให้เขามาหาหมอที่นี่อยู่ อยากลองให้ดูกันสักตั้งว่าตอนนี้ภาษาผมพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เก่งกว่าตอนที่ทำอยู่กับเขารึเปล่า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอรึเปล่า เพราะการแปลมันต้องไปตามคิว ก็ไม่รู้ว่าดวงผมจะได้เจอกับเขารึเปล่า ผมคิดประโยคไว้แล้วว่าถ้าสมมตินายคนใดคนหนึ่งมาหาหมอที่นี่แล้วพอเห็นหน้าผม เกิดไม่อยากให้ผมแปลขึ้นมา ผมจะบอกว่า "ลองให้ทำดูก่อน ไม่ได้แล้วค่อยว่ากันอีกที"
โดนดูถูกตอนจะลาออกจากที่ทำงานเดิม รู้สึกแย่มาก
สุดท้ายผมก็หนีไปหางานใหม่ ก็เป็นล่ามเหมือนเดิม แต่คราวนี้ทำในโรงพยาบาลซึ่งผมคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่าที่เดิม เพราะปกติผมชอบอ่านพวกการ์ตูนวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะที่มันเกี่ยวกับชีววิทยา ร่างกายคนและสัตว์อะไรพวกนั้น ในวันสุดท้ายที่ผมไปทำงานที่เดิม คนญี่ปุ่นที่เป็นหัวหน้าใหญ่ก็พูดเหมือนพูดเล่น ๆ แต่แฝงความดูถูกไว้ในนั้น เขาพูดประมาณว่า เขารู้ว่าความสามารถผมอยู่ระดับไหน ถ้าไปหาหมอที่นั่นคงไม่กล้าให้ผมแปล (คือเขากับคนญี่ปุ่นอีกคนก็จะไปหาหมอที่โรงพยาบาลนั้นอยู่แล้ว มีศูนย์บริการผู้ป่วยชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ) แล้วนายญี่ปุ่นอีกคนก็ดันเสริมมาว่า สงสัยถ้าไป ต้องขอให้เปลี่ยนคนเลย
ผมก็รู้สึกแย่เหมือนกันในตอนแรก ถึงจะพูดเล่นก็เหอะ แล้วช่วงแรก ๆ ที่ผมทำที่โรงพยาบาลนี่ ช่วงที่ยังต้องแปลโดยมีรุ่นพี่ประกบ (เป็นหลักของโรงพยาบาลอยู่แล้วที่ต้องมีรุ่นพี่ประกบในช่วงแรก) ผมก็ทำได้ไม่ค่อยดี แต่ถึงตอนนี้ ซึ่งกำลังจะเข้าเดือนที่ 6 ที่ผมทำที่โรงพยาบาล ผมว่าทักษะภาษาญี่ปุ่นผมมันดีขึ้นมาก ดีแบบก้าวกระโดดกว่าตอนอยู่โรงงาน คือผมอยู่โรงงานมา 7 เดือน ภาษายังไม่พัฒนาเท่ากับอยู่โรงพยาบาลมา 5-6 เดือน (ผมคิดว่ามันเริ่มพัฒนามาตั้งแต่เดือนที่ 4 ด้วยซ้ำ)
จนตอนนี้ผมมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะต่อกรกับนายญี่ปุ่นพวกนั้นถ้าหากเขามาหาหมอ เดือน มิ.ย.จะมีนายญี่ปุ่นอีกคนมาหาหมอที่นี่ ซึ่งผมต้องทำงานประกบกับนายคนนี้ตอนอยู่ที่ทำงานเดิม ต้องตามติดเขาไปทุกที่ และเขาก็ขี้โมโห อารมณ์ร้อน ผมโดนเขาโวยใส่ โมโหใส่หลายครั้ง แถมเขายังเคยพูดกับล่ามโรงงานอื่นด้วยว่าผมยังไม่เก่ง ตอนนี้ผมรอให้เขามาหาหมอที่นี่อยู่ อยากลองให้ดูกันสักตั้งว่าตอนนี้ภาษาผมพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เก่งกว่าตอนที่ทำอยู่กับเขารึเปล่า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอรึเปล่า เพราะการแปลมันต้องไปตามคิว ก็ไม่รู้ว่าดวงผมจะได้เจอกับเขารึเปล่า ผมคิดประโยคไว้แล้วว่าถ้าสมมตินายคนใดคนหนึ่งมาหาหมอที่นี่แล้วพอเห็นหน้าผม เกิดไม่อยากให้ผมแปลขึ้นมา ผมจะบอกว่า "ลองให้ทำดูก่อน ไม่ได้แล้วค่อยว่ากันอีกที"