Part 1 ถึงย่างกุ้ง
http://pantip.com/topic/35106177
Part 2 หงสาวดี
http://pantip.com/topic/35106343
04.30 น. ถึงสถานีขนส่งมัณฑะเลย์ค่ะ
พอรถจอดปุ๊บจะมีมวลมหาประชาชนยืนรอทึ้งเราที่ประตูรถเลยค่ะ ทั้งโรงแรม เกสต์เฮาส์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เราเพิ่งตื่นมึนมาก เลยรีบเดินไปที่ออฟฟิสของบริษัทรถทัวร์ที่นั่งมา เพื่อรอเจ้าหน้าที่ให้ช่วยคุยกับมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้หน่อย เพราะกลัวโดนฟันราคาแพง คนสวยของเราก็จัดการให้ ได้ราคามอเตอร์ไซค์ไปหอนาฬิกา 2,000 จ๊าด
และก่อนออกจากสถานีขนส่ง เราจองรถสำหรับไปพุกามไว้ก่อนด้วย

ได้ตั๋วมาแล้ว จากบริษัท Shwe Man Thu ราคารถจากมัณฑะเลย์ – พุกาม (Bagan) 8,500 จ๊าด รอบ 22.00 น. ถึงพุกาม 4.00 น.
หลังจากได้ตั๋วพี่มอเตอร์ไซค์ก็พาไปหาที่พักแถวหอนาฬิกาค่ะ มาถึงที่แรก Royal Guesthouse ที่หลายคนรีวิวว่าโอเค เต็มค่ะ
เลยไปอีกที่ต้องทะลุตลาดชายโจเข้าไปข้างใน ชื่อ AD.1 Hotel ราคา 12 USD ห้องน้ำในตัว มี Wifi โอเคเลย

จัดแจงจ่ายตังค์ เข้าห้อง อาบน้ำ นอนพักสักหน่อย นั่งรถเพลียมาก ตื่นอีกทีเที่ยง 55
เริ่มหิวค่ะ ควักเสบียงที่เตรียมมาจากเมืองไทยมากินซะหน่อย อิ่มแล้วก็ได้เวลาออกไปเที่ยวกันต่อค่ะ
ในซอยเดียวกับที่พัก เดินไปสุดซอยจะมีวัดเล็กๆอยู่ ไม่รู้ชื่อวัดอะไร เดินเข้าไปดูซะหน่อย

ระหว่างทางเดินเข้าวัดมีการทำของใช้ของพระสงฆ์อยู่ตามข้างทาง Hand made ทั้งนั้นเลยค่ะ น่าสนใจ

ในวัดจะมีเจดีย์นี้
หลังจากนั้นก็เดินออกจากวัด ตรงตามทางมาเรื่อยๆ จะเจอตลาดชายโจค่ะ คล้ายตลาดสดบ้านเรา มีทั้งผักผลไม้ , เสื้อผ้า , ขนม ฯลฯ
เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เริ่มร้อนค่ะ เจอร้านขนมร้านนึง ขอลองสักหน่อย

เลือกที่นั่งได้เลยตามสบายยย

เป็นน้ำกระทิ ใส่มะพร้าวขูด , วุ้นหลายรสชาติ, ขนมปัง และน้ำแข็ง ราคา 300 จ๊าด กินแล้วชื่นใจจริงๆ ค่ะ
ส่วนน้ำเปล่าก็นี่เลยบริการตัวเอง

เค้าเอาน้ำแข็งวางไว้บนผ้าขาวบาง ให้น้ำละลายลงมาที่แก้ว น้ำก็เย็นชื่นใจมากๆค่ะ เก๋ดี
กินเสร็จก็เดินออกจากตลาดไปหอนาฬิกา แล้วเดินต่อไปที่ถนน 84 x 29 เพื่อขึ้นรถสาย 8 ไปสะพานไม้อูเบ็ง
ก่อนออกมาจากที่พัก เราให้พนักงานเขียนภาษาพม่าให้ เพื่อไว้ถามชาวบ้านค่ะ
เมื่อถึงถนน 84X29 ยืนรอตรงหัวมุมถนนเลย รอไม่นานรถสาย 8 ก็มาแล้ว ราคา 200 จ๊าด ขึ้นไปโลด
มองทางซ้ายไว้ดีๆ จะได้ลงถูก ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงทางเข้าสะพานไม้อูเบ็ง ประตูไม่ใหญ่หน้าตาแบบนี้
เข้าประตูทางเข้าจะเจอตลาดก่อนเลย เดินทะลุตลาดไปเรื่อยๆค่ะ
ผ่านทางรถไฟ
ผ่านชุมชนใหญ่ค่ะ บางคนจะเหมามอไซค์มาจากในเมือง กว่าจะเดินเข้าไปถึงสะพานไกลอยู่ แต่เราเน้นชิวค่ะ เดินต่อไป 55

ผ่านวัด ผ่านโรงเรียน
ก่อนถึงสะพาน จะเจอวัดใหญ่วัดนึง เราก็เข้าไปดูกันหน่อยค่ะ
ทะลุวัดออกมาอีกประตูนึง ก็จะเจอสะพานไม้อูเบ็ง!!
จุดหมายของเราวันนี้ค่ะ
สะพานไม้อูเบ็ง เป็นสะพานที่ทำจากไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สร้างจากไม้สักที่ได้จากพระราชวังเก่ารื้อมา เห็นว่าเหลือใช้แล้ว จึงนำมาสร้างสะพานข้ามทะเลสาบตองตะมาน คนที่มัณฑะเลย์ ใช้เดินข้ามไป-มาหาสู่ระหว่างสองฝั่งทะเลสาบนี้ค่ะ

บนสะพานมีปลาทอด ปูทอดสีส้มๆ หลายร้าน
รออะไรล่ะคะ ซื้อมาชิมสักหน่อย

สีส้มเกิ๊น
มีขอทานบางจุด
หมอดูมีอยู่ทุกที่ทั่วโลก
บนสะพานไม้อูเบ็ง เราจะเห็นผู้คนที่ใช้ชีวิตผ่านสะพานนี้ ทั้งสัญจรไปมา ขนของ ทำงานหากิน มีครอบครัวพากันมาเที่ยว หนุ่มสาวจีบกัน ฯลฯ แค่นั่งเฉยๆก็สนุกกับการได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนบนสะพานแล้วค่ะ
เราเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งนึงเพื่อไปเที่ยววัดเจ๊าตอจีก่อน เพราะเดี๋ยวเย็นจะได้มาถ่ายรูปสะพานอันงดงาม
หน้าวัดเจอน้องคนนี้กำลังคุ้ยขยะ เลยแบ่งขนมที่พกมาจากไทยให้ เราขอน้องถ่ายรูปแต่เหมือนน้องจะยังไม่ไว้ใจเราเท่าไหร่ T_T
จากสะพานไม้อูเบ็งต้องเดินตามทางผ่านชุมชนเล็กๆเข้าไปกว่าจะถึงวัดค่ะ
ถามทางจากชาวบ้านเอา
ถึงแล้วค่ะ วัดเจ๊าตอจี มองจากข้างนอกก็สวยแล้ว

ภายในวัดเย็นมากและเงียบสงบมากค่ะ เรานั่งพักในวัดอยู่ประมาณครึ่งชม. มีชาวบ้านมาไหว้พระเรื่อยๆ

ตรงนี้อยู่ข้างกำแพงวัด ไม่รู้คืออะไร ถ้ามีคนมาดูแลเก็บขยะหน่อยจะสวยกว่านี้มากเลย
พักจนหายเหนื่อย เลยออกมาเดินดูชุมชนรอบๆวัดหน่อยดีกว่า เจอแก๊งเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ เด็กๆก็มาเล่นกับเราด้วย น่ารักมากเลยค่ะ
เล่นได้ไม่นานฝนก็ทำท่าจะตก ลมเริ่มแรง เอาล่ะสิ วิ่งสิคะ พอไปถึงสะพาน บร๊ะจ้าววว แทบช็อค!! เจอภาพนี้

ลมปะทะหน้าแรงมาก ฝนลงเม็ดแล้ว 2 กิโลเมตร!!!! เอ้าวิ่ง!!!
เราวิ่งไปได้แค่ครึ่งสะพาน ก็ต้านแรงลมไม่ไหวค่ะ จะปลิวตกสะพานต้องหาเสาเกาะ ยืนไม่ได้แล้ว มีเณร 2 รูปอยู่ตรงนั้นแล้ว เลยขออยู่ด้วยนะจ๊ะเณรจ๋า อีกเสานึงมีพระอีก 2 รูป
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รีบยัด Passport กระเป๋าตังค์ กล้อง รองเท้าผ้าใบ และหนังสือใส่ถุงพลาสติก มือข้างนึงกอดเสา มือข้างนึงกอดกระเป๋า
แล้วลูกเห็บเม็ดประมาณปลายนิ้วก้อยก็ถล่มลงมา เจ็บมากเหมือนโดนยิงบีบีกันใส่รัวๆเลย
เณร 2 รูปติดอบู่บนสะพานด้วย ร้องไห้จ้าเลย เราเลยถอดเสื้อคลุมให้เณรคลุมหัว เพราะลูกเห็บน่าจะทำให้เณรเจ็บมาก ตอนนี้เราเหลือแต่เสื้อกล้ามจ้ะ ทั้งหนาว ทั้งเจ็บเลย T_T
พายุลูกเห็บกระหน่ำอยู่ประมาณ 15-20 นาทีได้ ก็เริ่มสงบลง แต่สำหรับเรา เวลามันช่างยาวนานมาก
พอเริ่มเดินได้ เณรก็คืนเสื้อและขอบคุณเราเป็นภาษาพม่า(เราเดาเอาว่าเค้าคงพูดว่าขอบคุณ55)
จริงๆตอนนั้นเจ็บจนแขนกับหลังชาไปหมด แต่รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ลืมเจ็บไปเลย
สภาพหลังพายุ

ร้านค้าพังหมดเลย

ฟ้าหลังฝนสวยเสมอ
ที่ฝั่งต้นไม้หักหมดเลย บางบ้านโดนใหญ่โค่นลงมาทับพังเลย
กว่าเราจะเดินออกมาที่ถนนใหญ่ก็ประมาณสองทุ่มแล้ว คุณลุงชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ารถสองแถวหมดแล้ว ลุงแกเลยเรียกรถคันนึง เป็นรถขนผัก ขอให้เรานั่งข้างหลังไปลงหอนาฬิกา คนขับรถโอเค แถมไม่เอาตังค์ด้วย ใจดีมาก
พอถึงที่พักก็จัดการเอาของออกจากถุงมาตาก เปียกนิดหน่อย
คืนนี้หลับสบายเลย เพราะเหนื่อยมากๆ
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
สาวเปลี่ยวเที่ยวพม่า ผจญภัยในดินแดนแห่งศรัทธา (ย่างกุ้ง - หงสาวดี - มัณฑะเลย์ - พุกาม) Part 3 มัณฑะเลย์
Part 2 หงสาวดี http://pantip.com/topic/35106343
04.30 น. ถึงสถานีขนส่งมัณฑะเลย์ค่ะ
พอรถจอดปุ๊บจะมีมวลมหาประชาชนยืนรอทึ้งเราที่ประตูรถเลยค่ะ ทั้งโรงแรม เกสต์เฮาส์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง เราเพิ่งตื่นมึนมาก เลยรีบเดินไปที่ออฟฟิสของบริษัทรถทัวร์ที่นั่งมา เพื่อรอเจ้าหน้าที่ให้ช่วยคุยกับมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้หน่อย เพราะกลัวโดนฟันราคาแพง คนสวยของเราก็จัดการให้ ได้ราคามอเตอร์ไซค์ไปหอนาฬิกา 2,000 จ๊าด
และก่อนออกจากสถานีขนส่ง เราจองรถสำหรับไปพุกามไว้ก่อนด้วย
ได้ตั๋วมาแล้ว จากบริษัท Shwe Man Thu ราคารถจากมัณฑะเลย์ – พุกาม (Bagan) 8,500 จ๊าด รอบ 22.00 น. ถึงพุกาม 4.00 น.
หลังจากได้ตั๋วพี่มอเตอร์ไซค์ก็พาไปหาที่พักแถวหอนาฬิกาค่ะ มาถึงที่แรก Royal Guesthouse ที่หลายคนรีวิวว่าโอเค เต็มค่ะ
เลยไปอีกที่ต้องทะลุตลาดชายโจเข้าไปข้างใน ชื่อ AD.1 Hotel ราคา 12 USD ห้องน้ำในตัว มี Wifi โอเคเลย
จัดแจงจ่ายตังค์ เข้าห้อง อาบน้ำ นอนพักสักหน่อย นั่งรถเพลียมาก ตื่นอีกทีเที่ยง 55
เริ่มหิวค่ะ ควักเสบียงที่เตรียมมาจากเมืองไทยมากินซะหน่อย อิ่มแล้วก็ได้เวลาออกไปเที่ยวกันต่อค่ะ
ในซอยเดียวกับที่พัก เดินไปสุดซอยจะมีวัดเล็กๆอยู่ ไม่รู้ชื่อวัดอะไร เดินเข้าไปดูซะหน่อย
ระหว่างทางเดินเข้าวัดมีการทำของใช้ของพระสงฆ์อยู่ตามข้างทาง Hand made ทั้งนั้นเลยค่ะ น่าสนใจ
ในวัดจะมีเจดีย์นี้
หลังจากนั้นก็เดินออกจากวัด ตรงตามทางมาเรื่อยๆ จะเจอตลาดชายโจค่ะ คล้ายตลาดสดบ้านเรา มีทั้งผักผลไม้ , เสื้อผ้า , ขนม ฯลฯ
เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เริ่มร้อนค่ะ เจอร้านขนมร้านนึง ขอลองสักหน่อย
เลือกที่นั่งได้เลยตามสบายยย
เป็นน้ำกระทิ ใส่มะพร้าวขูด , วุ้นหลายรสชาติ, ขนมปัง และน้ำแข็ง ราคา 300 จ๊าด กินแล้วชื่นใจจริงๆ ค่ะ
ส่วนน้ำเปล่าก็นี่เลยบริการตัวเอง
เค้าเอาน้ำแข็งวางไว้บนผ้าขาวบาง ให้น้ำละลายลงมาที่แก้ว น้ำก็เย็นชื่นใจมากๆค่ะ เก๋ดี
กินเสร็จก็เดินออกจากตลาดไปหอนาฬิกา แล้วเดินต่อไปที่ถนน 84 x 29 เพื่อขึ้นรถสาย 8 ไปสะพานไม้อูเบ็ง
ก่อนออกมาจากที่พัก เราให้พนักงานเขียนภาษาพม่าให้ เพื่อไว้ถามชาวบ้านค่ะ
เมื่อถึงถนน 84X29 ยืนรอตรงหัวมุมถนนเลย รอไม่นานรถสาย 8 ก็มาแล้ว ราคา 200 จ๊าด ขึ้นไปโลด
มองทางซ้ายไว้ดีๆ จะได้ลงถูก ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีก็ถึงทางเข้าสะพานไม้อูเบ็ง ประตูไม่ใหญ่หน้าตาแบบนี้
เข้าประตูทางเข้าจะเจอตลาดก่อนเลย เดินทะลุตลาดไปเรื่อยๆค่ะ
ผ่านทางรถไฟ
ผ่านชุมชนใหญ่ค่ะ บางคนจะเหมามอไซค์มาจากในเมือง กว่าจะเดินเข้าไปถึงสะพานไกลอยู่ แต่เราเน้นชิวค่ะ เดินต่อไป 55
ผ่านวัด ผ่านโรงเรียน
ก่อนถึงสะพาน จะเจอวัดใหญ่วัดนึง เราก็เข้าไปดูกันหน่อยค่ะ
ทะลุวัดออกมาอีกประตูนึง ก็จะเจอสะพานไม้อูเบ็ง!!
จุดหมายของเราวันนี้ค่ะ
สะพานไม้อูเบ็ง เป็นสะพานที่ทำจากไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร สร้างจากไม้สักที่ได้จากพระราชวังเก่ารื้อมา เห็นว่าเหลือใช้แล้ว จึงนำมาสร้างสะพานข้ามทะเลสาบตองตะมาน คนที่มัณฑะเลย์ ใช้เดินข้ามไป-มาหาสู่ระหว่างสองฝั่งทะเลสาบนี้ค่ะ
บนสะพานมีปลาทอด ปูทอดสีส้มๆ หลายร้าน
รออะไรล่ะคะ ซื้อมาชิมสักหน่อย
สีส้มเกิ๊น
มีขอทานบางจุด
หมอดูมีอยู่ทุกที่ทั่วโลก
บนสะพานไม้อูเบ็ง เราจะเห็นผู้คนที่ใช้ชีวิตผ่านสะพานนี้ ทั้งสัญจรไปมา ขนของ ทำงานหากิน มีครอบครัวพากันมาเที่ยว หนุ่มสาวจีบกัน ฯลฯ แค่นั่งเฉยๆก็สนุกกับการได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนบนสะพานแล้วค่ะ
เราเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งนึงเพื่อไปเที่ยววัดเจ๊าตอจีก่อน เพราะเดี๋ยวเย็นจะได้มาถ่ายรูปสะพานอันงดงาม
หน้าวัดเจอน้องคนนี้กำลังคุ้ยขยะ เลยแบ่งขนมที่พกมาจากไทยให้ เราขอน้องถ่ายรูปแต่เหมือนน้องจะยังไม่ไว้ใจเราเท่าไหร่ T_T
จากสะพานไม้อูเบ็งต้องเดินตามทางผ่านชุมชนเล็กๆเข้าไปกว่าจะถึงวัดค่ะ
ถามทางจากชาวบ้านเอา
ถึงแล้วค่ะ วัดเจ๊าตอจี มองจากข้างนอกก็สวยแล้ว
ภายในวัดเย็นมากและเงียบสงบมากค่ะ เรานั่งพักในวัดอยู่ประมาณครึ่งชม. มีชาวบ้านมาไหว้พระเรื่อยๆ
ตรงนี้อยู่ข้างกำแพงวัด ไม่รู้คืออะไร ถ้ามีคนมาดูแลเก็บขยะหน่อยจะสวยกว่านี้มากเลย
พักจนหายเหนื่อย เลยออกมาเดินดูชุมชนรอบๆวัดหน่อยดีกว่า เจอแก๊งเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่ เด็กๆก็มาเล่นกับเราด้วย น่ารักมากเลยค่ะ
เล่นได้ไม่นานฝนก็ทำท่าจะตก ลมเริ่มแรง เอาล่ะสิ วิ่งสิคะ พอไปถึงสะพาน บร๊ะจ้าววว แทบช็อค!! เจอภาพนี้
ลมปะทะหน้าแรงมาก ฝนลงเม็ดแล้ว 2 กิโลเมตร!!!! เอ้าวิ่ง!!!
เราวิ่งไปได้แค่ครึ่งสะพาน ก็ต้านแรงลมไม่ไหวค่ะ จะปลิวตกสะพานต้องหาเสาเกาะ ยืนไม่ได้แล้ว มีเณร 2 รูปอยู่ตรงนั้นแล้ว เลยขออยู่ด้วยนะจ๊ะเณรจ๋า อีกเสานึงมีพระอีก 2 รูป
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รีบยัด Passport กระเป๋าตังค์ กล้อง รองเท้าผ้าใบ และหนังสือใส่ถุงพลาสติก มือข้างนึงกอดเสา มือข้างนึงกอดกระเป๋า
แล้วลูกเห็บเม็ดประมาณปลายนิ้วก้อยก็ถล่มลงมา เจ็บมากเหมือนโดนยิงบีบีกันใส่รัวๆเลย
เณร 2 รูปติดอบู่บนสะพานด้วย ร้องไห้จ้าเลย เราเลยถอดเสื้อคลุมให้เณรคลุมหัว เพราะลูกเห็บน่าจะทำให้เณรเจ็บมาก ตอนนี้เราเหลือแต่เสื้อกล้ามจ้ะ ทั้งหนาว ทั้งเจ็บเลย T_T
พายุลูกเห็บกระหน่ำอยู่ประมาณ 15-20 นาทีได้ ก็เริ่มสงบลง แต่สำหรับเรา เวลามันช่างยาวนานมาก
พอเริ่มเดินได้ เณรก็คืนเสื้อและขอบคุณเราเป็นภาษาพม่า(เราเดาเอาว่าเค้าคงพูดว่าขอบคุณ55)
จริงๆตอนนั้นเจ็บจนแขนกับหลังชาไปหมด แต่รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ ลืมเจ็บไปเลย
สภาพหลังพายุ
ร้านค้าพังหมดเลย
ฟ้าหลังฝนสวยเสมอ
ที่ฝั่งต้นไม้หักหมดเลย บางบ้านโดนใหญ่โค่นลงมาทับพังเลย
กว่าเราจะเดินออกมาที่ถนนใหญ่ก็ประมาณสองทุ่มแล้ว คุณลุงชาวบ้านแถวนั้นบอกว่ารถสองแถวหมดแล้ว ลุงแกเลยเรียกรถคันนึง เป็นรถขนผัก ขอให้เรานั่งข้างหลังไปลงหอนาฬิกา คนขับรถโอเค แถมไม่เอาตังค์ด้วย ใจดีมาก
พอถึงที่พักก็จัดการเอาของออกจากถุงมาตาก เปียกนิดหน่อย
คืนนี้หลับสบายเลย เพราะเหนื่อยมากๆ
เดี๋ยวมาต่อค่ะ