เราเชื่อว่าแต่ละคนคงมีประเทศในฝันที่ตัวเองอยากไปกันทั้งนั้น เราเองก็มีประเทศในฝันที่อยากไปเสมือนกานนั้นคือ
"อินโดนีเซีย" ทุกคนคงแปลกใจว่าทำไมถึงเป็น อินโดนีเซีย มีอีกตั้งหลายประเทศที่น่าไป เช่น ญี่ปุ่น (ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมของคนไทย) หรืออาจจะเป็นเกาหลี (ไปเพื่อตามรอยซีรีย์ อิอิ) แต่สำหรับเรากลับเป็น อินโดนีเซีย เพราะสมัยเราเด็กๆ เราเคยไปเห็นรูปภาพในนิตยสารเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของอินโดนีเซียนั้งคือ
"บูโรพุธโธ" และตั้งแต่ตอนนั้นเราก็บอกกะตะเองว่าสักวันเราจาไปเห็นด้วยตาตัวเองและวันนี้ฝันเราก็เป็นจริง เย้ เย้ เอาละเรามาเริ่มออกเดินทาง กะ 5 วัน 4 คืน กันเลย!! ออ ลืมไปทริปนี้เราออกเดินทางคนเดียวและไปรวมตัวกะพวกพี่ๆ ที่เขาจัดทริปกันที่นั้นเลย (เอะ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเราจะเดินทางออกไปท่องโลกกว้างคนเดียวได้หรา ><)
เริ่มต้นวันแรก วันแห่งการออกเดินทางไปท่องโลกกว้าง (ขอกระซิบบอกนิดนึง ขาไปเราไม่ได้บินตรงไป ย็อกยาฯ เลย)
เราไปถึงสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 6.00 (ออกแนวตื่นเต้น จาได้ออกไปท่องโลกกว้าง) เครื่องบินเที่ยวนี้ 8.35 พอไปถึงก็เช็คอินน์ โหลดสัมภาระขึ้นเครื่อง และแล้วก็ถึงเวลา เครื่องขึ้นแว้วว ออกแนวตื่นเต้น ฝุด ฝุด เราไปถึงสนามบิน KL ประมาณ 11.40 (เวลาที่มาเลเซีย เร็วกว่า ปท.ไทย 1 ชม.) และเราก็รอต่อเครื่องไป ย็อกยาฯ ซึ่งเราบินไฟล์ 15.15 และเราไปถึง ย็อกยาฯ ประมาณ 17.30 และเราก็ออกเดินทางโดยรถที่เช่าไว้เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ที่พัก (ตรงทางออกสนามบินมีแท็กซี่มากมาย ไม่ต้องกลัว)
สปาเก็ตตี้ทานที่สนามบิน ระหว่างรอไฟล์บิน (แอบแพง 230 บาทอะ แต่อร่อยเว่อ อิอิ)
เครื่องบินลำนี้ไงที่พาเราบินจาก KL มา ย็อกยาฯ
มาถึงพระอาทิตย์ก็ตกดินแว้วว ที่นี้พระอาทิตย์ตกเร็วมาก (เวลาที่อินโดนีเซียเท่ากะที่ไทยเราเลย)
วันที่สอง วันแห่งการออกล่าฝัน
สถานที่แรกที่ไป คือ
WISATA ALAM PUNTHUK SETUMBU BOROBUDUR NIRWANA SUNRISE
วันนี้เรานัดกันตั้งแต่ตีสามเพื่อนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่
WISATA ALAM PUNTHUK SETUMBU BOROBUDUR NIRWANA SUNRISE พอไปถึงเราต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อยนะค่ะ ซึ่งคนพื้นที่บอกว่าประมาณ 300 เมตร (แต่เดินจริงๆ แอบคิดในใจ 300 เมตร จริงหรอ) แต่พอขึ้นไปถึงหายเหนื่อยเลยค่าวิวข้างบนสวยมากกก (แต่แอบเสียดายฟ้าปิด ไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ แต่ทะเลหมอกอย่างสวย ถ้าใครชอบทะเลหมอกคง ฟิน)
ร้องไห้หนักมากฟ้าปิด
มองจากตรงนี้จาเห็นมหาสถูปบูโรพุทโธ (ถ้าฟ้าเปิดคงสวยกว่านี้)
สถานที่ที่สองที่ไป คือ
ไปชมความงามของมหาสถูปบูโรพุทโธ ซึ่งการที่เราเข้าไปชมความงามนั้นต้องมีการเสียค่าเข้าด้วยนะค่ะ ถ้าเป็นคนพื้นเมืองก็จะราคานึง แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติก็จะอีกราคานึง (เหมือนไทยไม่มีผิดเลย)
สถานที่สุดท้ายที่ไปของวันนี้ คือ
ปรัมนัน (Candi Prambanan) นั่งรถนานมาก นานจนหลับไปหลายตื่นกว่าจะถึงอ่ะ สถานที่แห่งนี้ยังอยู่เคยเกิดการพังลงมาจึงมีการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม
ถ้าก่อสร้างเสร็จจะเป็นแบบนี้
>จบลงแล้วนะค่ะสำหรับทริปล่าฝันในวันแรก ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย แต่สิ่งที่ได้กลับมามีฟามสุขมาก ทุกสถานที่ที่ไปคือ มานสวยมาก<
วันที่สาม หนีร้อนไปโดนน้ำที่ น้ำตกมาดาคารีปูรา
วันนี้เรานัดกันตอนเที่ยงคืนครึ่งค่า (โชคดีมากโรงแรมที่พักอยู่ติดสถานีรถไฟ แค่ข้ามถนนมาก็ถึง ไม่งั้นตายแน่) เนื่องจากต้องทำการนั่งรถไฟไปลงที่ "สุราบายา" ซึ่งระยะทางประมาณ 391 Km. แต่เชื่อไหมว่าใช้เวลาวิ่งแค่ 5 ชั่วโมง ก็ถึง ซึ่งขอบอกเร็วมาก และรถไฟที่นี้มาตรงเวลามาก
และพอเรามาถึง สุราบายา เราก็มาขึ้นรถที่เราเช่าไว้ เพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยวน้ำตกมาดาคารีปูรา ซึ่งระยะทางก็แอบไกลพอสมควร นั่งรถกันประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ และเราก็มาถึง ซึ่งพอมาถึงเราต้องนั่งรถมอไซต์ต่อเข้าไปนะเพราะระยะทางไกลพอสมควร และพอไปถึงเราก็ต้องเดินเข้าไปอีกนิดนึงกว่าจะถึงน้ำตก แต่วิวระหว่างทางนั้นไม่ร้อนเลยออกแนวเย็นสบาย และทางเดินก็เดินไม่ลำบาก เป็นทางราบตลอดก็ว่าได้ (ลืมบอกไปต้องมีการเสียค่าผ่านทางนะค่ะ ค่ามอไซต์ และค่าเข้าไปเล่นน้ำตก และถ้าไม่อยากเปียกมากให้เตรียมเสื้อกันฝนไปนะ แต่เราว่าไม่ใส่สนุกกว่าอ่ะ)
หนีร้องในไปเล่นน้ำตกมาดาคารีปูรา (อยากบอกว่าสดชื่นมากงะ ฟิน สุดๆ)
พอเราเล่นน้ำตกกันจนอิ่มหนำสำราญใจกานแว้ว ออกมาตัวเปียกโชกกันเลย เราก็นั่งรถไปยังที่พัก เพื่อไปรอชมวิว
ภูเขาไฟโบรโม่ แต่สิ่งที่เห็นคือ หมอกลงหนามากไม่เห็นอะไรเลย (แอบคิดในใจถ้าพรุ่งนี้ขึ้นไปชม ภูเขาไฟโบรโม่ และฟ้าปิดแบบนี้ หมอกลงจัดแบบนี้ คงร้องไห้หนักมาก)
วันที่สี่ Mount Bromo รอเราอยู่แค่เอื้อม
สถานที่แรกที่ไป คือ
ภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งเรานัดกันตั้งแต่ตีสอง โดยรถที่พาเราไปนั้นคือ รถจิ๊บ ซึ่งเส้นทางก็แสนจะคดเคี้ยว (ต้องบอกว่าคนขับต้องชำนาญเส้นทางมากงะ เพราะทางคดเคี้ยวมาก ที่สำคัญอากาศหนาวนะค่ะ เตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อม และอย่าลืมเตรียมผ้าปิดจมูกไปด้วยน้า ฝุ่นเยอาะมากกก)
รถจิ๊บคันนี้ไงพาเราไปชมความงามของ ภูเขาไฟโบรโม่
ฟ้าปิดอีกแว้วค่า ไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ (ร้องไห้หนักมาก)
ภูเขาไฟโบรโม่
แอบกระซิบบอกนิดนึง เราต้องรีบไปถึงกันแต่เช้านะค่ะ เพราะเราต้องไปรีบจับจองพื้นที่ในการถ่ายรูป ยิ่งถ้าเราได้มุมดีๆ รูปเราจะสวยมาก ซึ่งสถานที่แห่งนี้กำลังเป้นที่นิยมไปท่องเที่ยงของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ คนจึงมากมายเป็นพิเศษ (เมื่อไปถึงเราควรรีบไปจองรถจิ๊บและนัดเวลาเพื่อให้เขามารับเรา ซึ่งเราควรนัดเขาประมาณตีสอง เพื่อเขามาเรต เพราะใช่เวลาขึ้นก็นานพอสมควร พอไปถึงต้องเดินขึ้นไปอีกนินึง มีทางชันบ้าง แต่เนื่องจากอากาศหนาวอาจทำให้เดินช้ากว่าปกติ และมุมของภูเขาไฟโบรโม่ กะ พระอาทิตย์ขึ้น อยู่คนละมุมน้า ใครชอบแบบนั้นก็จับจอง พท.กัน)
สถานที่ี่สองที่ไป คือ
นั่งรถจิ๊บไปลงวัดหน้าฮินดู เพื่อเดินขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟ
ซึ่งการขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟนั้น เราจะเดินขึ้นไปก็ได้ หรือเราจะขี่ม้าขึ้นไปก็ได้ (ไป-กลับ ประมาณ 270 บาท ระยะทางประมาณ 2 Km. ซึ่งทางขึ้นไปชันนิดหน่อยนะค่ะ และม้าก็ส่งเราไม่ถึงปล่องไฟ เราต้องตะเกียตตะกายขึ้นไปเองอีกหน่อย)
นั่งรถม้าขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟ
กำลังปะทุเลยอ่ะ โชคดีมากที่ได้เห็น (แอบกลัวหน่อยๆ กลัวระเบิด 555)
ทางเดินขึ้น
พอเที่ยวเสร็จเราก็นั่งรถกลับที่พักเพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก และนั่งรถกลับไปที่สุราบายา เราเลือกที่จะพักที่นั้นเพราะมันใกล้สนามบิน จะได้ไม่ต้องรีบออกเดินทางไปสนามบิน
วันที่ห้า วันแห่การจากลา วันนี้เราได้นอนตื่นสายกันค่ะ เพราะบินตอนประมาณ 11.00 แต่ต้องไปถึงสนามบินประมาณ 10.00 ซึ่งมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 16.00 ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมงหน่อยๆ
และแล้วทริปการเดินทางนี้ก็จบลงแล้วนะค่ะ 5 วัน 4 คืน ขอบอกว่าสนุกมาก ไปคนเดียวนะค่ะ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ มิตรภาพ จากเพื่อนร่วมทริปทุกคน ใครที่กลัวการเดินทางคนเดียวขอบอกเลยว่าไม่ต้องกลัว เราลองออกไปแตะขอบฟ้ากัน และจะรู้ว่าข้างนอกมีอะไรให้เราได้สัมผัสอีกมาก
คชจ. เราเสียค่าทริปนี้ 9,800 บาท (ไม่รวมค่าอาหาร, ค่าขี่ม้า, ค่าเครื่องบิน)
ค่าเครื่องบินประมาณ 5,000 (ไป-กลับ) และเราซื้อน้ำหนักเพิ่ม
ส่วนค่ากินจะขอบอกว่าไม่แพงเลย ค่าครองชีพที่นั้นถูกมากถ้าเรากินแบบร้านทั่วๆ ไปมื้อนึงไม่เกิน 50 บาท
กับข้าว 4 อย่าง ข้าว 2 จาน ตกคนละ 60 บาท อร่อยดีน้า เหมือนมากินอาหารพื้นเมืองของเขาอ่ะ
อาหารจานเดียว ราคาก็ประมาณ เกือบๆ ร้อย เพราะทานในร้านหรูหน่อย อิอิ
[CR] "บูโรพุธโธ" ทริปในฝันของใครหลายๆ คน
เริ่มต้นวันแรก วันแห่งการออกเดินทางไปท่องโลกกว้าง (ขอกระซิบบอกนิดนึง ขาไปเราไม่ได้บินตรงไป ย็อกยาฯ เลย)
เราไปถึงสนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 6.00 (ออกแนวตื่นเต้น จาได้ออกไปท่องโลกกว้าง) เครื่องบินเที่ยวนี้ 8.35 พอไปถึงก็เช็คอินน์ โหลดสัมภาระขึ้นเครื่อง และแล้วก็ถึงเวลา เครื่องขึ้นแว้วว ออกแนวตื่นเต้น ฝุด ฝุด เราไปถึงสนามบิน KL ประมาณ 11.40 (เวลาที่มาเลเซีย เร็วกว่า ปท.ไทย 1 ชม.) และเราก็รอต่อเครื่องไป ย็อกยาฯ ซึ่งเราบินไฟล์ 15.15 และเราไปถึง ย็อกยาฯ ประมาณ 17.30 และเราก็ออกเดินทางโดยรถที่เช่าไว้เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ที่พัก (ตรงทางออกสนามบินมีแท็กซี่มากมาย ไม่ต้องกลัว)
วันที่สอง วันแห่งการออกล่าฝัน
สถานที่แรกที่ไป คือ WISATA ALAM PUNTHUK SETUMBU BOROBUDUR NIRWANA SUNRISE
วันนี้เรานัดกันตั้งแต่ตีสามเพื่อนั่งรถไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ WISATA ALAM PUNTHUK SETUMBU BOROBUDUR NIRWANA SUNRISE พอไปถึงเราต้องเดินขึ้นไปอีกหน่อยนะค่ะ ซึ่งคนพื้นที่บอกว่าประมาณ 300 เมตร (แต่เดินจริงๆ แอบคิดในใจ 300 เมตร จริงหรอ) แต่พอขึ้นไปถึงหายเหนื่อยเลยค่าวิวข้างบนสวยมากกก (แต่แอบเสียดายฟ้าปิด ไม่เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมๆ แต่ทะเลหมอกอย่างสวย ถ้าใครชอบทะเลหมอกคง ฟิน)
สถานที่ที่สองที่ไป คือ ไปชมความงามของมหาสถูปบูโรพุทโธ ซึ่งการที่เราเข้าไปชมความงามนั้นต้องมีการเสียค่าเข้าด้วยนะค่ะ ถ้าเป็นคนพื้นเมืองก็จะราคานึง แต่ถ้าเป็นคนต่างชาติก็จะอีกราคานึง (เหมือนไทยไม่มีผิดเลย)
สถานที่สุดท้ายที่ไปของวันนี้ คือ ปรัมนัน (Candi Prambanan) นั่งรถนานมาก นานจนหลับไปหลายตื่นกว่าจะถึงอ่ะ สถานที่แห่งนี้ยังอยู่เคยเกิดการพังลงมาจึงมีการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม
>จบลงแล้วนะค่ะสำหรับทริปล่าฝันในวันแรก ทั้งร้อน ทั้งเหนื่อย แต่สิ่งที่ได้กลับมามีฟามสุขมาก ทุกสถานที่ที่ไปคือ มานสวยมาก<
วันที่สาม หนีร้อนไปโดนน้ำที่ น้ำตกมาดาคารีปูรา
วันนี้เรานัดกันตอนเที่ยงคืนครึ่งค่า (โชคดีมากโรงแรมที่พักอยู่ติดสถานีรถไฟ แค่ข้ามถนนมาก็ถึง ไม่งั้นตายแน่) เนื่องจากต้องทำการนั่งรถไฟไปลงที่ "สุราบายา" ซึ่งระยะทางประมาณ 391 Km. แต่เชื่อไหมว่าใช้เวลาวิ่งแค่ 5 ชั่วโมง ก็ถึง ซึ่งขอบอกเร็วมาก และรถไฟที่นี้มาตรงเวลามาก
และพอเรามาถึง สุราบายา เราก็มาขึ้นรถที่เราเช่าไว้ เพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยวน้ำตกมาดาคารีปูรา ซึ่งระยะทางก็แอบไกลพอสมควร นั่งรถกันประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ และเราก็มาถึง ซึ่งพอมาถึงเราต้องนั่งรถมอไซต์ต่อเข้าไปนะเพราะระยะทางไกลพอสมควร และพอไปถึงเราก็ต้องเดินเข้าไปอีกนิดนึงกว่าจะถึงน้ำตก แต่วิวระหว่างทางนั้นไม่ร้อนเลยออกแนวเย็นสบาย และทางเดินก็เดินไม่ลำบาก เป็นทางราบตลอดก็ว่าได้ (ลืมบอกไปต้องมีการเสียค่าผ่านทางนะค่ะ ค่ามอไซต์ และค่าเข้าไปเล่นน้ำตก และถ้าไม่อยากเปียกมากให้เตรียมเสื้อกันฝนไปนะ แต่เราว่าไม่ใส่สนุกกว่าอ่ะ)
พอเราเล่นน้ำตกกันจนอิ่มหนำสำราญใจกานแว้ว ออกมาตัวเปียกโชกกันเลย เราก็นั่งรถไปยังที่พัก เพื่อไปรอชมวิว ภูเขาไฟโบรโม่ แต่สิ่งที่เห็นคือ หมอกลงหนามากไม่เห็นอะไรเลย (แอบคิดในใจถ้าพรุ่งนี้ขึ้นไปชม ภูเขาไฟโบรโม่ และฟ้าปิดแบบนี้ หมอกลงจัดแบบนี้ คงร้องไห้หนักมาก)
วันที่สี่ Mount Bromo รอเราอยู่แค่เอื้อม
สถานที่แรกที่ไป คือ ภูเขาไฟโบรโม่ ซึ่งเรานัดกันตั้งแต่ตีสอง โดยรถที่พาเราไปนั้นคือ รถจิ๊บ ซึ่งเส้นทางก็แสนจะคดเคี้ยว (ต้องบอกว่าคนขับต้องชำนาญเส้นทางมากงะ เพราะทางคดเคี้ยวมาก ที่สำคัญอากาศหนาวนะค่ะ เตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อม และอย่าลืมเตรียมผ้าปิดจมูกไปด้วยน้า ฝุ่นเยอาะมากกก)
แอบกระซิบบอกนิดนึง เราต้องรีบไปถึงกันแต่เช้านะค่ะ เพราะเราต้องไปรีบจับจองพื้นที่ในการถ่ายรูป ยิ่งถ้าเราได้มุมดีๆ รูปเราจะสวยมาก ซึ่งสถานที่แห่งนี้กำลังเป้นที่นิยมไปท่องเที่ยงของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ คนจึงมากมายเป็นพิเศษ (เมื่อไปถึงเราควรรีบไปจองรถจิ๊บและนัดเวลาเพื่อให้เขามารับเรา ซึ่งเราควรนัดเขาประมาณตีสอง เพื่อเขามาเรต เพราะใช่เวลาขึ้นก็นานพอสมควร พอไปถึงต้องเดินขึ้นไปอีกนินึง มีทางชันบ้าง แต่เนื่องจากอากาศหนาวอาจทำให้เดินช้ากว่าปกติ และมุมของภูเขาไฟโบรโม่ กะ พระอาทิตย์ขึ้น อยู่คนละมุมน้า ใครชอบแบบนั้นก็จับจอง พท.กัน)
สถานที่ี่สองที่ไป คือ นั่งรถจิ๊บไปลงวัดหน้าฮินดู เพื่อเดินขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟ
ซึ่งการขึ้นไปชมปล่องภูเขาไฟนั้น เราจะเดินขึ้นไปก็ได้ หรือเราจะขี่ม้าขึ้นไปก็ได้ (ไป-กลับ ประมาณ 270 บาท ระยะทางประมาณ 2 Km. ซึ่งทางขึ้นไปชันนิดหน่อยนะค่ะ และม้าก็ส่งเราไม่ถึงปล่องไฟ เราต้องตะเกียตตะกายขึ้นไปเองอีกหน่อย)
พอเที่ยวเสร็จเราก็นั่งรถกลับที่พักเพื่อเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก และนั่งรถกลับไปที่สุราบายา เราเลือกที่จะพักที่นั้นเพราะมันใกล้สนามบิน จะได้ไม่ต้องรีบออกเดินทางไปสนามบิน
วันที่ห้า วันแห่การจากลา วันนี้เราได้นอนตื่นสายกันค่ะ เพราะบินตอนประมาณ 11.00 แต่ต้องไปถึงสนามบินประมาณ 10.00 ซึ่งมาถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ 16.00 ใช้เวลาบินประมาณ 4 ชั่วโมงหน่อยๆ
และแล้วทริปการเดินทางนี้ก็จบลงแล้วนะค่ะ 5 วัน 4 คืน ขอบอกว่าสนุกมาก ไปคนเดียวนะค่ะ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ มิตรภาพ จากเพื่อนร่วมทริปทุกคน ใครที่กลัวการเดินทางคนเดียวขอบอกเลยว่าไม่ต้องกลัว เราลองออกไปแตะขอบฟ้ากัน และจะรู้ว่าข้างนอกมีอะไรให้เราได้สัมผัสอีกมาก
คชจ. เราเสียค่าทริปนี้ 9,800 บาท (ไม่รวมค่าอาหาร, ค่าขี่ม้า, ค่าเครื่องบิน)
ค่าเครื่องบินประมาณ 5,000 (ไป-กลับ) และเราซื้อน้ำหนักเพิ่ม
ส่วนค่ากินจะขอบอกว่าไม่แพงเลย ค่าครองชีพที่นั้นถูกมากถ้าเรากินแบบร้านทั่วๆ ไปมื้อนึงไม่เกิน 50 บาท
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น