[CR] [CR]รีวิว เกาะเชจู ซื้อทัวร์พาแม่ไปตากลม (ตาก-ลม)

รีวิว เกาะเชจู ซื้อทัวร์พาแม่ไปตากลม (ตาก-ลม)



เรื่องของเรื่องคือเราอยากจะหาทริปที่จะพาแม่กับพี่สาวไปเที่ยวต่างประเทศกัน อยากได้ที่แบบมีธรรมชาติสวย ๆ ไม่ไกลมาก
และที่สำคัญไม่แพงมาก และในที่สุด เราก็เจอ ทัวร์เกาะเชจู 9,999 บาท เราก็เข้าไปดู ก็ถึงบางอ้อ ราคานั้นต้องวันธรรมดาเท่านั้น
โอเคไม่เป็นไร เราขอติดเสาร์อาทิตย์นิดหน่อย ราคาก็เพิ่มไปนิดนึง ก็จองกันไปล่วงหน้า 2 เดือน  วันที่เราไปคือ 14-17 พ.ค. 59
เรียกโปรแกรมประมาณนี้ว่า 4 วัน 2 คืน
บางคนอาจจะสงสัย 2 คืนยังไง จริง ๆ ก็คือ การเที่ยว 3 วัน 2 คืนนั่นแหละ แต่นับวันที่เดินทางด้วยไง

งั้นมาเริ่มเดินทางไปด้วยกันดีกว่า เรามาถึงที่นัดหมายก่อนเวลาพอสมควร
ก็นั่งรอกันไปเพราะทางทัวร์เขานัดเจอ 4 ทุ่มครึ่ง เคาน์เตอร์เปิด 5 ทุ่ม
พอเราเช็คอินอะไรกันเสร็จเขาก็บอกว่าเราอยู่ Bus ไหน พอไปถึงจะมีคนมารอรับนะ เราก็เช็คอิน ผ่านตม. เข้า Gate ตามปกติ
แต่คือเครื่องออกตี 2 ไง สงสารคุณแม่เลย และคืนนี้ยังไงก็ต้องหลับ เพราะพรุ่งนี้ไปถึงก็เที่ยวเลย

มาถึงแล้ว เกาะเชจู เรานับวันนี้เป็นวันที่ 1 นะ มาถึงก็แดดดีเชียว ไม่เห็นจะหนาวเลย อุตส่าห์เตรียมเสื้อหนา ๆ มานะเนี่ย
แต่ก็ดี จะได้เที่ยวสะดวก ๆ



มาถึงก็หิวเลย ดีนะเหมือนรู้ใจเรา พามากินก่อนเลยค่ะ มื้อแรกเสิร์ฟด้วยจิมดัก วุ้นเส้นผัดกับไก่ น้ำขลุกขลิกค่ะ
เส้นเหนียวนุ่ม ทานกับข้าวอร่อยดีค่ะ



จากนั้น สถานที่ที่ 1 ที่เราจะไปเที่ยวกัน ก็คือ วัดซันบังซา เป็นวัดที่ด้านหลังเป็นภูเขาไฟ และด้านหน้าเป็นทะเล ฮวงจุ้ยดีสุด ๆ ไปเลย
จริงๆ ก็ทั้งเกาะแหละ เพราะมีภูเขาไฟอยู่ตรงกลางเกาะ ทำให้ทั่วทั้งเกาะด้านหลังเป็นภูเขา และด้านหน้าเป็นทะเล
เราก็แวะไปทำบุญด้วยข้าวสาร และเทียนไข เหมือนกับวัดทั่วไปในเกาหลีใต้ค่ะ
แต่ที่เด็ดคือ คนขายค่ะ 555 แบบนี้ก็ต้องทำบุญเยอะๆ หน่อย







แต่ที่เราเห็นเป็นรูปปั้นเยอะ ๆ แบบนี้ ถามไกด์ล่ะ เขาบอกว่า ตามความเชื่อ เขาบอกว่าพระพุทธเจ้ามีพระสงฆ์สาวกจำนวน 500 รูป
ซึ่งแต่ละรูปก็จะมีลักษณะหน้าตาที่แตกต่างกันไปแบบนี้ค่ะ

อากาศเริ่มเปลี่ยนแล้วนะคะ เริ่มมีลมแรง อากาศเริ่มหนาวขึ้นนิดนึง เดี๋ยวทริปนี้เราจะเจอทุกฤดูเลยล่ะ   ลมแรง ๆ อากาศดี ๆ แบบนี้
สถานที่ต่อไปเรียกว่าไม่ต้องหวีผมหรอกค่ะ ผมนี้ปลิวกระจายไปเลย เดินช้า ๆ เล่นเอ็มวีกันไปได้เลยค่ะ
กับสถานที่ที่ 2 คือ ภูเขาซองอัคค่ะ  



เป็นหาดทรายริมทะเล ที่แปลกก็คือ เป็นหาดทรายสีดำ หินสีดำ ที่เกิดจากหินภูเขาไฟนั่นเองค่ะ จุดไฮไลท์ของที่นี้น่าจะเป็นเหล่าอาจุมม่าที่นำหอยเป๋าฮื้อสด ๆ มาตั้งบูทขายสด ๆ ริมทะเลเลย เสียดายเราไม่ได้ชิมค่ะ มัวแต่ชื่นชมบรรยากาศทะเล





แล้วก็ขึ้นไปชิมโอเด้งร้อน ๆ แทนดีกว่าค่ะ โอเด้งที่นี้ เป็นเหมือนลูกชิ้นเสียบไม้ค่ะ มีทั้งปลา กุ้ง หมู ก็เลือกทานกันไป
พร้อมกับน้ำซุปที่เขาจะตักใส่แก้วกระดาษให้ค่ะ จิ้มด้วยซอส รสชาติเค็ม ๆ ก็ถือว่าอร่อย คลายหนาวได้เลยค่ะ (หารูปเจอจะเอามาแปะนะคะ)

หลังจากนั้น เราก็ไปชิมชากันค่ะ แน่นอนว่า หลายท่านอาจบอกว่า เชียงใหม่ก็มีป่าวหว่า แต่เฮ้ยยยย มันก็มีดีที่ของกินไง
มีเค้กชาเขียว มีไอติมชาเขียว มีลาเต้ชาเขียวไง สรุปคือ ทริปนี้หาแต่ของกินจริง ๆ
และสถานที่ที่ 3 ก็คือ พิพิธภัณฑ์ชาโอซุลลอค (O'Sulloc)
ไปถึงไกด์ก็จะบอกว่า มี 2 จุดนะ บริเวณไร่ชา กับ บริเวณอาคารที่เป็นพิพิธภัณฑ์และโซนคาเฟ่  
แน่นอนล่ะ พอเราลงจากรถ ดูเหมือนว่า ดอกไม้ริมทางจะดึงดูดเราได้มากกกว่าไร่ชานิดหน่อย







และหลังจากนั้น เราก็ข้ามถนนไปหาคาเฟ่ชาทันที  ได้ไอติมชาเขียว กับลาเต้ชาเขียวมา
เสียดายที่เค้กโรลชาเขียวหมด เขาบอกว่าอร่อยมาก  ๆ ด้วย





สำหรับใครอาจจะบอกว่า ไร่ชาไม่เห็นมีอะไร อยากให้ลองมองรอบ ๆ อาคารค่ะ
เราชอบต้นไม้ต่างๆ ที่เขาปลูกไว้ คือแบบสูงใหญ่ ร่มรื่นดีมากเลยค่ะ แล้วพิพิธภัณฑ์ชาก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลยค่ะ





หลังจากชิมชากันไปแล้ว เราก็ต้องไปทำตัวแบ๊ว ๆ กันต่อที่สถานที่ที่ 4 นั่นก็คือ HELLO KITTY JEJU ISLAND คิตตี้ ค่ะ



คิตตี้ คือแบ๊วมาก น่ารักมาก ถ้าใครที่ชอบ นี่แทบจะลอยละล่องไปในหมู่คิตตี้เลยก็ว่าได้ แต่เราคือแบบ เดินถ่ายรูปนิดนึงแค่ชั้นล่าง
เลยมีรูปมาไม่เยอะ กับใน Shop ขายของที่พี่สาวจะซื้อไปฝากลูกสาว แต่จริง ๆ เขามี 3 ชั้นเลยนะ
แต่ละโซนก็จัดตกแต่งได้น่ารักมากทีเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งห้องน้ำก็ยังน่ารักมุ้งมิ้งไปด้วยคิตตี้ด้วยนะเธอ









มาถึงมื้อเย็น อะ ๆ มื้อเย็นยังไง ก็มื้อแรก เขานับเป็นมื้อกลางวันไง ระหว่างทางก็กินขนม กินหอย กินโอเด้งกันไปนะคะ
และมื้อเย็นของเรา มาพร้อมกับน้ำขลุกขลิกกับเมนู พุลโกกิ เป็นหมูชิ้นบาง  ๆ กับกะหล่ำปลี และถั่วงอกหัวโต
น้ำซุปหวานนิด ๆ ทานกับข้าว ก็ถือว่าอร่อยดีค่ะ



พอตกเย็น ไม่รู้ว่าหมอกมาจากไหนค่ะ จริง ๆ ก็มีฝนปรอย ๆ ด้วยนะคะ ตั้งแต่อยู่คิตตี้แล้วค่ะ



แล้วคือแบบว่า แถวโรงแรม มีร้านอาหารเยอะจริงไรจริง ก็เลยต้องวิ่งฝ่าฝน มานั่งทานจัมปงกันค่ะ
คือจริง ๆ ตั้งใจจะสั่งจัมปงหรือก๋วยเตี๋ยวมากิน 2 ชามค่ะ แต่ที่ได้คือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำซุปปลาแอนโชวี่ 1 ชาม
และ หัวหมู กับ ไส้กรอกเลือด พร้อมน้ำจิ้ม 1 จาน แล้วคือ พี่สาวกับแม่ ไม่กินไส้กรอกเลือด เสร็จเราคนเดียวสิค่ะ
จริง ๆ ไส้กรอกเลือด หรือเรียกกันว่า ซุนแด รสชาติเหมือนใส้อั่วค่ะ แค่ว่ามันคือเลือดหมูที่ผสมกับข้าวค่ะ อร่อยดี จริง ๆ นะ
ถ้ามีโอกาสต้องลองทานดูนะขุ่นนนน








พอกินอิ่มนอนหลับฝันหวานกับคืนแรกกันไปแล้ว มาต่อกับวันที่ 2  เราจะเที่ยวกับแบบเต็ม ๆ ค่ะ



วันนี้อากาศหนาว และหนาวเข้าไปอีก เพราะว่าลมแรงมาก ๆ ค่ะ ทำให้ที่แรก ทุกคนดูตั้งใจ ๆ ถ่ายรูป ๆ แล้วขึ้นรถกันเลย
นั่นก็คือ(สถานที่ที่ 5) ทุ่งดอกเรป ค่ะ จริง ๆ ช่วงเดือนที่เรามา ก็ลุ้น ๆ เหมือนกันว่าจะเจอไหม แต่นึกภาพทุ่งดอกทานตะวันค่ะ
เขาจะปลูกไล่เวลากัน ทำให้ในช่วงที่ไป ยังมีอยู่ไม่กี่แปลง ที่ยังพอให้เห็น ได้ถ่ายรูปกันอยู่ค่ะ






ไม่ไกลจนเกินไป จริง ๆ คือแค่แป๊บเดียวเองค่ะ เราก็มาถึง(สถานที่ที่ 6) ยอดเขา ซองซาน อิลจุลบง หรือ SUNRISE PEAK  
ภาพยอดป่องภูเขาไฟลอยมาเลยใช่ไหมค่ะ อันนั้นเขาถ่ายจากมุมสูงนะคะ
ไปจริงๆ เห็นได้จากระดับสายตานะคะ ที่นี้ถือว่าเป็นมรดกโลกค่ะ



บรรยากาศหนาว ลมแรง ทุ่งหญ้าสีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้า เรียกว่าถ่ายรูปสวยเลยค่ะ ที่นี้มีทางเลือกให้เรา 2 ทางค่ะ
อยากขึ้นไปดูป่องภูเขาไฟบันได 800 ขั้นเลี้ยวขวา กับ เลี้ยวซ้าย ไปดูอาจุมม่าดำน้ำ ดูทะเลเลี้ยวซ้าย
ไม่ต้องห่วงค่ะ เราเลี้ยวซ้ายคนแรกเลยค่ะ  จริงๆ คือเราห่วงแม่ค่ะ กลัวท่านเดินไม่ไหว อิอิ



พอเดินมาทางซ้ายจริง ๆ ก็มีจุดให้ถ่ายรูปชมวิวเหมือนกันนะคะ เห็นมุมทะเลสวย ๆ (จริง ๆบ้านเราก็สวยกว่านะ)  
แต่ที่แตกต่าง เดินลงบันไดไปค่ะ ถ้าคุณโชคดี คุณจะเห็นอาชีพที่เขาอนุรักษ์ไว้ สำหรับอาจุมม่า หรือเหล่าป้า ๆ เท่านั้น



อาชีพนั้นก็คือ อาชีพดำน้ำเก็บหอย เก็บสาหร่ายค่ะ แต่ที่น่าสนใจก็คือ เหล่าอาจุมม่า มีเพียงชุดสีดำเท่ๆ กับการกลั้นหายใจที่ยาวนาน
และน้ำทะเลอันเย็นเฉียบ คิดภาพต่อเอาเองแล้วกันนะคะ เรากับแม่ กับพี่สาว นี่ยืนรอ ตั้งแต่แกแต่งตัวจนถึงว่ายน้ำออกไปเลยล่ะค่ะ





ขั้นซีนด้วยของกินประจำถิ่นเช่นเคยนะคะ เราก็เดินไปเดินมา เห็นปลาหมึกย่างค่ะ ตรงดิ่งเข้าไปเลย
เป็นปลาหมึกย่าง ราดด้วยซอสบุลโกกิ ปิดท้ายโรยด้วยปลาโอแห้ง  อยากบอกว่าอร่อยมากกกกก แต่ไม่มีเวลาแล้ว
ไม่งั้นจะสั่งกินสัก 4-5 ไม้ ได้กินไปแค่ไม้เดียวเอง ใครไปต้องกินนะคะ กินเผื่อเราด้วย





และที่ต่อไป ที่ที่เราไม่ได้คาดหวังอะไร แต่ทำไมถึงสนุกสนานและสร้างรอยยิ้มได้ขนาดนี้นะ
นั่นก็คือ (สถานที่ที่ 7)  AQUA PLANET พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ



ด้านในเขาแบ่งเป็นหลายโซนค่ะ ก็เดิน ๆ ตามกันไป แต่ที่ไฮไลน์ก็น่าจะเป็นตู้กระจกบานใหญ่มว๊ากกก
และตอนที่เราไป โชคดีได้เจอช่วงปลายๆ  ของการแสดงให้อาหารปลาโดยมนุษย์กบด้วยค่ะ









บะบัยฝูงปลากันไปแล้ว ไปหาอาจุมม่ากันต่อที่ (สถานที่ที่ 8) หมู่บ้านวัฒนธรรม "ซองอึบ"



เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ทำให้พวกเรา ยิ้มกันได้ตลอดเวลาเลยค่ะ เพราะจะมีอาจุมม่า ที่เป็นอาสาสมัคร มาคอยเล่าประวัติ
และเรื่องราวต่าง ๆ บนเกาะเชจูให้ฟัง โดยจะมีพี่ไกด์คอยแปลเป็นไทยให้ค่ะ
ที่นี้คุณแม่ได้ของดีกลับบ้านไปด้วย เพราะลีลาท่าทางของอาจุมม่าแท้ ๆ เลย



มาที่นี้ เขามี โอมิจา เป็นน้ำเบอรี่ป่าผสมกับน้ำผึ้งมาให้ชิมกันด้วย ฟังอาจุมม่าเล่าไปซะลืมถ่ายรูปเลยค่ะ
ยังไม่จบนะคะ เเต่ดึกแล้ว เดี๋ยวมาต่อ พรุ่งนี้ดึก ๆ นะคะ
ชื่อสินค้า:   เกาะเชจู (Jeju) ประเทศเกาหลีใต้
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่