สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ชาว Pantip ทุกคน
ดิฉันกำลังตกอยู่ในความเครียดอย่างมากที่สุด ไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้ กลายเป็นคนไม่อยากทำอะไร คิดวนเวียนไปมา กับปัญหา
ย้อนหลังไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ดิฉันได้รู้จัก และสร้างครอบครัวกับผู้ชายคนหนึ่ง จนมีลูกสาว 1 คน ด้วยความเป็นพ่อแม่มือใหม่ และไม่มีญาติบริเวณใกล้ ๆ รวมทั้งต้องค้าขาย ดิฉันยอมรับว่าจิตตก เวลาอยู่คนเดียว เพราะเลี้ยงเด็กไม่เป็น ต้องการคนอยู่ใกล้ ๆ ปัญหาเริ่มจากจุดนี้ ดิฉันต้องกลับไปอยู่บ้านแม่ คุยกันกับสามี เพราะอาชีพเราค้าขาย เราสามารถไปเริ่มตรงไหนก็ได้ แต่ด้วยความที่พ่อแม่ดิฉัน ไม่ค่อยชอบหน้าสามีเท่าไหร่ และ สามีก็ไม่ชอบครอบครัวของดิฉัน เพราะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ที่ต้องไปอยู่บ้านผู้หญิง ส่วนแม่ก็ไม่สามารถที่จะมาอยู่กับเราได้ เพราะต้องดูแลบ้าน ปัญหาเกิดค่ะ กระเตงกันไปกระเตงกันมา แม่เลี้ยงบ้าง เรากลับมาเลี้ยงเองบ้าง ไม่ลงตัวกันซักที แม่ก็มักจะบอกว่าเราเลี้ยงเด็กไม่เป็น สามีเลี้ยงเด็กไม่เป็น จะทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้ ฟังทุกวันก็ยิ่งกลัว และเป็นหลานคนแรก พ่อของดิฉัน (ซึ่งตอนนั้นยังมีชีวิตอยุ่) ก็หลงหลาน อยากให้แม่เป็นคนเลี้ยง และให้เราไปทำงาน พอวันหยุดก็มาหาลูกที
ทุกครั้งที่มาเยี่ยมลูก ต้องเสียน้ำตาทุกครั้งเพราะลูกร้องไห้ตาม แต่พอเอากลับมา ก็ต้องเอากลับไปอีก วนเวียนอยู่แบบนี้ จนถึงวันที่ลูกสาวต้องเข้าโรงเรียน ถึงได้พามาเรียนที่ใกล้ ๆ ที่เราค้าขาย ก็เกิดปัญหาลูกร้องไห้ทุกวัน หวาดกลัวกับการไปโรงเรียน แม่ก็ยังคงวนเวียนมาเยียมหลาน พูดเหมือนสงสารหลาน ที่ต้องมาอยู่แบบนี้ สุดท้ายเรียนได้แค่เทอมแรก / เทอม 2 ก็ต้องย้ายโรงเรียนไปเรียนแถวบ้านแม่ และพ่อกับแม่เป็นคนดูแลให้เหมือนเดิม เราเริ่มมีปัญหากับสามี เรื่องงานก็เริ่มมีปัญหา เงินทองที่สร้างมาเริ่มหมด มีหนี้เข้ามาแทนที่ ที่สำคัญหนี้ทุกบัตร คือ ชื่อของดิฉัน
จากค้าขาย 2 คน ดิฉันก็ต้องเริ่มหางานทำ เพื่อความอยู่รอด เริ่มมีสังคม และ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ใช่พลัดพราก แต่คุยกับสามี เธอยืนกรานไม่ยอมที่จะย้ายกลับมาอยู่ชายคาเดียวกับพ่อแม่ดิฉัน เพราะเคยมีปัญหามาก่อนหน้านี้ ความห่างทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ ยอมเสียสละไม่ได้ เพื่อครอบครัว เราเริ่มมีปัญหากันมากขึ้น จนคุยกันไม่รุ้เรื่อง สุดท้ายจบลงด้วยการเลิกกัน และ เซ็นต์ใบหย่า (ด้วยความโง่ คิดเรื่องลูก เรื่องเดียวค่ะ) ไม่ได้คิดถึงหนี้สิน และ ค่าเลี้ยงดูใด ๆ ขอเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันพอ ถ้าเลือกจะตัดสินใจแบบนี้แล้ว
หลังจากเราเลิกกันได้ 1-2 อาทิตย์ ดิฉันโทรไปค่ะ เพื่อจะเคลียร์ของออกมาจากคอนโด ซึ่งมาแต่ตัวจริง ๆ ไม่ได้เอาแม้แต่เสื้อผ้าออกมา หรือ แม้แต่ทรัพย์สินที่สร้างกันมาต่าง ๆ เสียงผู้หญิงรับโทรศัพท์ค่ะ และ ก็พูดจาวกไปวนมา สรุปคือไม่ให้เราคุยกับสามีเรา หลังจากนั้น เราก็ไม่สามารถติดต่อกับเค้าได้เลย เค้าเปลี่ยนเบอร์ และ หายไปจากชีวิตของเรา เราก็ไม่ได้กลับไปที่เดิม เพราะคิดว่าเค้ามีคนใหม่แล้ว และ ก็เข้มแข็งพอที่จะเลี้ยงลูกในบ้านของตัวเอง ตอนนั้น ชีวิตเราย่ำแย่มาก ทั้งหนี้สินที่สร้างร่วมกันมา แต่ต้องรับผิดชอบคนเดียว ถูกพ่อแม่ต่อว่า เพราะอับอายเวลาที่มีคนมาทวง ชีวิตอยู่แบบไม่ปลอดภัย ไม่มีเครดิตให้พ่อแม่เชื่อถือ
ดิฉันได้งานที่ใหม่ค่ะ ที่ดิฉันจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และ คิดว่าเงินเดือนมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกได้ค่ะ แต่ความฝันพังทลาย ดิฉันทำงานฝ่ายการเงิน ต้องมีบุคคลค้ำประกัน ดิฉันบอกเลยค่ะ ไม่รู้จักใครมากนัก มีเพียงพ่อคนเดียว ที่จะค้ำให้ได้ แต่ด้วยภาระหนี้สินเยอะมาก พ่อไม่ไว้ใจ ไม่กล้าเซ็นต์ค้ำประกันให้ เพราะกลัวเราจะนำความเดือดร้อนมาให้ สุดท้ายทำงานแค่พ้นโปร และ ด้วยอายุที่มากขึ้น หางานยากมากค่ะ ท้อ และ หมดหวังกับชีวิตมากค่ะ
ช่วงเวลานี้เอง มีผู้ชาย 1 คน เข้ามาในชีวิต และ เติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างให้ค่ะ ดิฉันเริ่มคบกับชายคนใหม่ ด้วยความคัดค้านของผุ้เป็นพ่อแม่ แต่ตอนนั้น สิ่งที่คิด คือ ความอยู่รอด (มันสิ้นคิดจริง ๆ ค่ะ) ดิฉันเลวค่ะ ทิ้งลูกไว้อยู่กับพ่อแม่ และออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะเปิดตัวไม่ได้ พ่อแม่ไม่ยอมรับ ไม่มีทางออก ไม่มีที่ไป โดนต่อว่าทุกวัน ดิฉันหายไปจากชีวิตลูกประมาณ 1 ปี เคยโทรไป แต่ไม่กล้าคุย ต้องวางสาย โดนประนามต่าง ๆ นา ๆ ดิฉันเหมือนคนใจดำ คนเห็นแก่ตัว แต่บอกเลยช่วงชีวิตตอนนั้น ดิฉันก็ไม่ได้สุขสบายค่ะ
หลังจากดิฉันได้สร้างครอบครัวใหม่ ดิฉันก็มีลูกคนที่ 2 และ ลุกคนนี้แระ ที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่า "แม่" โดย มีสามีอยู่เคียงข้างตลอด และ พ่อแม่สามี ที่ช่วยจัดหาพี่เลี้ยงมาให้ โดยหลัก ๆ คือ เป็นคนเลี้ยงเอง จัดการเองทุกอย่าง และได้เรียนรู้ โดยไม่มีใครคอยคัดค้านอะไร เพราะสิทธิ์ขาดในการเลี้ยงดูและตัดสินใจ อยู่ที่ดิฉันคนเดียว ลุกคนที่ 2 เกิดมาท่ามกลางไม่มีญาติทางฝ่ายดิฉันเลย พ่อแม่ไม่เข้ามายุ่ง และไม่มาเยี่ยมหลาน ถามว่าน้อยใจมั๊ย (เข้าใจมากกว่า) พอมีลูกคนที่ 2 ความคิดก็เริ่มคิดต่าง เริ่มรู้ถึงความรัก ความผูกพัน และ เป็นช่วงเวลาที่พ่อดิฉันป่วยหนัก
ดิฉันแทบไม่เคยรู้เรื่องที่พ่อป่วย และไม่เคยคิดด้วยเพราะพ่อเป็นคนที่แข็งแรงมาก ถ้ามานั่งคิดถึงตรงนี้ พ่อเป็นแค่ความดัน แต่เพราะไม่มีความรู้ และ ความกลัว หมอไหนดี หาสารพัดหมอ ทั้งหมอไทย หมอฝรั่ง ทรงเจ้า ซึ่งบอกเลยตอนที่พ่อป่วย ดิฉันแทบไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร เพราะแม่ รวมถึงน้อง ๆ เค้ามองว่าดิฉันใจดำ ทิ้งลูกไว้ให้พ่อแม่เลี้ยง จนต้องทำงานหนัก มาเงินดูแลและส่งเสียหลาย ต้องเครียดเรื่องดิฉันทุกวัน จนล้มป่วยหนัก ซึ่งดิฉันไม่ได้ว่าตัวเองเก่ง แต่ถ้าตอนนั้น ทุกคนคิดบวกและช่วยกัน เราอาจจะมีวิธีรักษาพ่อได้ดีกว่านี้ เพราะพ่อสามีดิฉัน เค้ารู้จักกับหมอเก่ง ๆ เยอะ มารู้อีกที ก็คือเป็นหนักแล้ว บวกกับฐานะทางบ้านไม่ดี ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยในด้านค่ารักษา แต่ก็ติดเรื่องไม่มีคนเฝ้า พ่อแม่ลูกเยอะ แต่ปัญหาเหมือนขัดแย้งไม่ลงตัวตลอด แม่เองมาเฝ้าไม่ได้ เพราะต้องดูหลานที่เป็นลูกดิฉัน ดิฉันเคยคุยกับเค้าว่าเอามาอยู่กับดิฉันก็ได้ เพราะยังไงตอนนั้นเลี้ยงลุกคนเล็กอยู่ เลี้ยงคนโตไปพร้อมกันก็ได้ แม่คัดค้านหนักมาก ไม่ไว้ใจดิฉัน และ คิดว่าจะไปอยู่บ้านสามีใหม่ได้ไง เอาลุกดิฉันไปให้น้องชายดิฉันเลี้ยง ซึ่งสะใภ้ก็ไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่ โดนกลั่นแกล้ง โดนขู่สารพัด เราเป็นแม่ แต่ทำอะไรไม่ได้ เหมือนหมดสิทธิ์ไปแล้ว ลุกเราโดนล้างสมอง เห็นแม่เป็นคนแปลกหน้า ไม่ไว้ใจเรา
มาถึงจุดนี้ ไม่เคยโทษใครนะคะ บอกเลยด้วยความสัตย์จริง โทษตัวเองค่ะ แต่อดีต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ค่ะ
มาถึงเรื่องป่วยของพ่อ น้องชาย 2 คน ก็ติดทำงานไม่สะดวกมาเฝ้าไข้ พ่อไกล ๆ อีกคนทำงานต่างจังหวัด อีกคนทำงานชานเมือง ส่วนดิฉันเลี้ยงลูกอ่อนตอนนั้นน้องได้ 5 เดือนจะเอามาเลี้ยงใน ICU ก็คงไม่ได้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ ทางเจ้าของไข้ ก็ให้พ่อย้ายไปอยุ่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคม และ ใกล้บ้าน ต้องบอกว่าโรงรอเชือดดี ๆ เลยค่ะ มันเป็นช่วงทรมานที่สุดของชีวิต ทำให้ทุกวันนี้เห็นคุณค่าของการทำประกันสุขภาพมาก ๆ ค่ะ พ่ออยุ่ ICU 5 เดือน ก็เสียชีวิตค่ะ
หลังจากที่พ่อเสียชีวิตทุกอย่างเปลี่ยนไปค่ะ แม่ไม่มีรายได้ / รายได้ทางเดียวของแม่ คือ เงินที่น้องชายคนที่ 2 ให้ทุกเดือน / งานทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อ รวมถึงลูกค้าในมือ (พ่อเป็นคนเก่งค่ะ) อยู่ในมือของน้องชายคนที่ 2 เป็นคนสืบทอด แต่มีข้อแม้ว่า ส่วนหนึ่งต้องให้แม่ไว้ใช้จ่าย เหมือนที่พ่อเคยให้ ตอนนั้นบอกเลย ดิฉันเองก็ไม่มีรายได้ สามีก็ไม่มีรายได้ ใช้ชีวิตกับเงินอาทิตย์ละ 2000 บาท ที่พ่อแม่สามีหยิบยื่นให้ หักค่าสันทนาการต่าง ๆ ของสามีก็คงไม่เหลืออะไรเท่าไหร่ แต่เราก็ผ่านพ้นมาได้ เพราะดิฉันไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย และ อยากมีอยากได้ ที่สำคัญไม่คบเพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวมากกว่า
ทุกอย่างเหมือนจะดี ครอบครัวน้องชายเริ่มมีปัญหา เพราะสะใภ้ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเอาเงินมาให้แม่หมด พยายามหาภาระให้น้องชายดิฉัน ไม่ว่าจะผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และ เลือกโรงเรียนแพง ๆ ให้ลุกเรียน น้องชายบอกเลย ไม่อยากมีปัญหากับภรรยา ยอมทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวสงบสุข และหลังจากวันนั้นที่พ่อเสียชีวิต สะใภ้คนนี้ ก็ไม่เคยเห็นหัวแม่ดิฉัน แม้แต่ลุกดิฉัน กับลูกเค้าจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน เดินผ่านกัน ก็ไม่มีการทักทายหรือยกมือไหว้ แต่ถ้าลูกดิฉัน เจอสะใภ้และไม่ไหว้ เค้าจะรีบฟ้องน้องชายดิฉัน ว่าเด็กไม่มีมารยาท คือ บางครั้งก็โมโหนะ พอได้ยิน และ ตัวเองมีมารยาทมากเลยนะ ไม่เคยเห็นหัวแม่สามีเลย ครั้งหนึ่ง เคยเขียนด่าแม่สามีลง FB ด้วย จนมีเรื่องราว และน้องชายก็ให้เหตุผลคำเดียวว่า ถ้าทะเลาะกันไป อยากให้ครอบครัวน้องชายต้องพังอีกคนหรือไง ก็แค่ต่างคนต่างอยู่ ประหนึ่งสะใภ้คนนี้ทำอะไรได้ทุกอย่างทำไป แต่พอคนในครอบครัวรู้สึกบ้างไม่ได้ เพราะจะทำให้ครอบครัวน้องชายต้องทะเลาะและแตกคอกัน (ข้อนี้ขัดใจมาก) แม่เห็นดีงามด้วย ยอมทุกอย่าง เพราะรักน้องชายคนนี้
แต่ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ และความแปลกก็เดินมาหา หลังจากพ่อเสียชีวิต ดิฉันฝันเห็นพ่อ เอาร่มมาให้ และ ชีวิตช่วงนั้นของดิฉันก้ดีขึ้นผิดไปแบบหน้ามือ เป็นหลังมือ ดิฉันเริ่มทำงานอีกครั้งโดยขายสินค้าออนไลน์ ความขยันล้วน ๆ และ ความต้องการอยากให้ลุกมีอนาคต ดิฉันคงไม่กินเงินเดือนพ่อแม่สามีเท่านี้ไปตลอดชีวิต เริ่มจากเก็บเล็กผสมน้อย ช่วงเวลานี้ ดิฉันก็ไปมาหาสู่ลูกคนโตทุกอาทิตย์นะคะ พาไปเที่ยว พาไปซื้อของที่อยากได้ เทศกาลก็พาไปเที่ยวหลาย ๆ วัน เป็นคนส่งเสียค่าเทอม และ ค่าเลี้ยงดูเล็กน้อย เท่าที่คนเป็นแม่จะทำได้ พร้อมดุแลลูกคนเล็กไปด้วย ดิฉันทำงานหนักมากค่ะ เพราะอยากให้ลุกทั้ง 2 ได้มาอยู่ร่วมกัน สร้างรากฐานชีวิตให้มั่นคง เจอกับอุปสรรคมากมาย แต่จุดหมายดิฉัน คือคำว่า ลูก ทำให้ดิฉันไม่เคยท้อ เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดก็เป็นได้ เพราะเราได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข ความสัมพันธ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น
จน 2 ปี ที่ผ่านมานี้ ความฝันดิฉันเป็นความจริงค่ะ ลูกทั้ง 2 ได้มาอยู่ในความดูแลของดิฉัน โดยพาแม่มาอยู่ด้วย ดิฉันดีใจมากค่ะ ที่ดิฉันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ดิฉันสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้ ชีวิตของฉันกำลังจะมีความสุขมากค่ะ ได้เห็นลุกทั้ง 2 เติบโต และอยุ่ใกล้ ๆ คอยดูแล
และ นี่คือจุดหักเห ความสุขมักอยู่เราไม่นาน
เพราะเราไม่เคยใช้ชีวิตที่อยู่ร่วมกัน การปรับตัวคือสิ่งสำคัญมาก เหมือนลูกที่เราไม่ได้เลี้ยง ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ และเมื่อต้องการสิ่งใด ก็คือความคาดหวัง บางครั้งเราอาจจะให้ลูกได้ไม่ทุกสิ่ง แต่นั่นคือเราพยายามถึงที่สุดแล้ว ดิฉันทำงานได้น้อยลง เพราะมัวแต่วุ่นวายกับกิจกรรมลูก เป็นห่วง เพราะลูกอยู่ในวัยรุ่น ห้ามไม่ได้ พอห้ามมาก กลายเป็นว่าแม่จะออกรับแทนว่า น่าสงสาร ลุกไม่เคยได้ในสิ่งที่ต้องการ ต้องเป็นคนยอมตลอด มีปัญหากับน้อง ก็ต้องยอมน้อง ไปอยุ่กับเพื่อน ก็มีการเปรียบเทียบตลอด แม่มักจะพูดกับดิฉันเสมอ ว่าไม่ชอบไปเปรียบเทียบกับใคร แต่ชอบว่าหลานกระทบดิฉัน ว่าอย่าเพ้อเจ้อ และหัดเจียมตัว เพื่อนคนนั้น คนนี้ เค้าเป็นยังไง เราเป็นยังไง คือ ดิฉันสวนทางกับการสอนมาก ทำไมเราไม่สอนเด็กให้รู้จักคุณค่าของตัวเอง แต่ทำไมพอไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการกลับกลายเป็นการเจียมตัว เอาพี่เปรียบกับน้อง หาว่าเป็นพี่เป็นเด็กมีปมด้อย มีอะไรที่ไม่ครบ เป็นคนไม่ค่อยพูด และชอบเก็บ พอเราพูดอะไรมาก ก็จะกลายเป็นนางมารสำหรับลูก เสมือนว่าเราไม่เข้าใจ และ ชอบเข้าใจเค้าผิด
ดิฉันยอมรับ เมื่อมาอยู่รวมกันจริง ๆ ค่าใช้จ่ายก็ต้องขึ้นตาม ดิฉันก็ต้องทำงานมากขึ้น สามีก็ต้องช่วยกัน งานล้นมือ ทำคนเดียว เพราะถ้าเรียกลูกมาช่วย ก็จะต้องโดนแม่ว่า หาว่าที่เอามาเลี้ยง เพราะใช้งานได้แล้ว ถ้าไม่ช่วยอะไร ก็คงไม่อยากเลี้ยง ปัญหามันไม่ใช่ตรงนี้ จะช่วย ไม่ช่วย ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะปกติ ก็ทำคนเดียวอยู่แล้ว แต่แค่ไม่ทำเลอะไปกว่าเก่าเท่านั้นเอง เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ไหนจะงานออนไลน์ หน้าร้าน ลูกคนเล็ก งานบ้าน และเก็บกวาดที่ร้านอีก ถึงหมอนบางทีหลับคาโทรศัพท์ที่โพสต์งานก็มี
เมื่อคนรักเก่าที่หายไป 10 ปี จะกลับมาทวงสิทธิ์ความเป็นพ่อของลูก
ดิฉันกำลังตกอยู่ในความเครียดอย่างมากที่สุด ไม่สามารถตอบคำถามตัวเองได้ กลายเป็นคนไม่อยากทำอะไร คิดวนเวียนไปมา กับปัญหา
ย้อนหลังไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ดิฉันได้รู้จัก และสร้างครอบครัวกับผู้ชายคนหนึ่ง จนมีลูกสาว 1 คน ด้วยความเป็นพ่อแม่มือใหม่ และไม่มีญาติบริเวณใกล้ ๆ รวมทั้งต้องค้าขาย ดิฉันยอมรับว่าจิตตก เวลาอยู่คนเดียว เพราะเลี้ยงเด็กไม่เป็น ต้องการคนอยู่ใกล้ ๆ ปัญหาเริ่มจากจุดนี้ ดิฉันต้องกลับไปอยู่บ้านแม่ คุยกันกับสามี เพราะอาชีพเราค้าขาย เราสามารถไปเริ่มตรงไหนก็ได้ แต่ด้วยความที่พ่อแม่ดิฉัน ไม่ค่อยชอบหน้าสามีเท่าไหร่ และ สามีก็ไม่ชอบครอบครัวของดิฉัน เพราะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี ที่ต้องไปอยู่บ้านผู้หญิง ส่วนแม่ก็ไม่สามารถที่จะมาอยู่กับเราได้ เพราะต้องดูแลบ้าน ปัญหาเกิดค่ะ กระเตงกันไปกระเตงกันมา แม่เลี้ยงบ้าง เรากลับมาเลี้ยงเองบ้าง ไม่ลงตัวกันซักที แม่ก็มักจะบอกว่าเราเลี้ยงเด็กไม่เป็น สามีเลี้ยงเด็กไม่เป็น จะทำให้เกิดอันตรายต่อเด็กได้ ฟังทุกวันก็ยิ่งกลัว และเป็นหลานคนแรก พ่อของดิฉัน (ซึ่งตอนนั้นยังมีชีวิตอยุ่) ก็หลงหลาน อยากให้แม่เป็นคนเลี้ยง และให้เราไปทำงาน พอวันหยุดก็มาหาลูกที
ทุกครั้งที่มาเยี่ยมลูก ต้องเสียน้ำตาทุกครั้งเพราะลูกร้องไห้ตาม แต่พอเอากลับมา ก็ต้องเอากลับไปอีก วนเวียนอยู่แบบนี้ จนถึงวันที่ลูกสาวต้องเข้าโรงเรียน ถึงได้พามาเรียนที่ใกล้ ๆ ที่เราค้าขาย ก็เกิดปัญหาลูกร้องไห้ทุกวัน หวาดกลัวกับการไปโรงเรียน แม่ก็ยังคงวนเวียนมาเยียมหลาน พูดเหมือนสงสารหลาน ที่ต้องมาอยู่แบบนี้ สุดท้ายเรียนได้แค่เทอมแรก / เทอม 2 ก็ต้องย้ายโรงเรียนไปเรียนแถวบ้านแม่ และพ่อกับแม่เป็นคนดูแลให้เหมือนเดิม เราเริ่มมีปัญหากับสามี เรื่องงานก็เริ่มมีปัญหา เงินทองที่สร้างมาเริ่มหมด มีหนี้เข้ามาแทนที่ ที่สำคัญหนี้ทุกบัตร คือ ชื่อของดิฉัน
จากค้าขาย 2 คน ดิฉันก็ต้องเริ่มหางานทำ เพื่อความอยู่รอด เริ่มมีสังคม และ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่ใช่พลัดพราก แต่คุยกับสามี เธอยืนกรานไม่ยอมที่จะย้ายกลับมาอยู่ชายคาเดียวกับพ่อแม่ดิฉัน เพราะเคยมีปัญหามาก่อนหน้านี้ ความห่างทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ว่าทำไมเรื่องแค่นี้ ยอมเสียสละไม่ได้ เพื่อครอบครัว เราเริ่มมีปัญหากันมากขึ้น จนคุยกันไม่รุ้เรื่อง สุดท้ายจบลงด้วยการเลิกกัน และ เซ็นต์ใบหย่า (ด้วยความโง่ คิดเรื่องลูก เรื่องเดียวค่ะ) ไม่ได้คิดถึงหนี้สิน และ ค่าเลี้ยงดูใด ๆ ขอเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันพอ ถ้าเลือกจะตัดสินใจแบบนี้แล้ว
หลังจากเราเลิกกันได้ 1-2 อาทิตย์ ดิฉันโทรไปค่ะ เพื่อจะเคลียร์ของออกมาจากคอนโด ซึ่งมาแต่ตัวจริง ๆ ไม่ได้เอาแม้แต่เสื้อผ้าออกมา หรือ แม้แต่ทรัพย์สินที่สร้างกันมาต่าง ๆ เสียงผู้หญิงรับโทรศัพท์ค่ะ และ ก็พูดจาวกไปวนมา สรุปคือไม่ให้เราคุยกับสามีเรา หลังจากนั้น เราก็ไม่สามารถติดต่อกับเค้าได้เลย เค้าเปลี่ยนเบอร์ และ หายไปจากชีวิตของเรา เราก็ไม่ได้กลับไปที่เดิม เพราะคิดว่าเค้ามีคนใหม่แล้ว และ ก็เข้มแข็งพอที่จะเลี้ยงลูกในบ้านของตัวเอง ตอนนั้น ชีวิตเราย่ำแย่มาก ทั้งหนี้สินที่สร้างร่วมกันมา แต่ต้องรับผิดชอบคนเดียว ถูกพ่อแม่ต่อว่า เพราะอับอายเวลาที่มีคนมาทวง ชีวิตอยู่แบบไม่ปลอดภัย ไม่มีเครดิตให้พ่อแม่เชื่อถือ
ดิฉันได้งานที่ใหม่ค่ะ ที่ดิฉันจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ และ คิดว่าเงินเดือนมากพอที่จะเลี้ยงดูลูกได้ค่ะ แต่ความฝันพังทลาย ดิฉันทำงานฝ่ายการเงิน ต้องมีบุคคลค้ำประกัน ดิฉันบอกเลยค่ะ ไม่รู้จักใครมากนัก มีเพียงพ่อคนเดียว ที่จะค้ำให้ได้ แต่ด้วยภาระหนี้สินเยอะมาก พ่อไม่ไว้ใจ ไม่กล้าเซ็นต์ค้ำประกันให้ เพราะกลัวเราจะนำความเดือดร้อนมาให้ สุดท้ายทำงานแค่พ้นโปร และ ด้วยอายุที่มากขึ้น หางานยากมากค่ะ ท้อ และ หมดหวังกับชีวิตมากค่ะ
ช่วงเวลานี้เอง มีผู้ชาย 1 คน เข้ามาในชีวิต และ เติมเต็มทุกสิ่งทุกอย่างให้ค่ะ ดิฉันเริ่มคบกับชายคนใหม่ ด้วยความคัดค้านของผุ้เป็นพ่อแม่ แต่ตอนนั้น สิ่งที่คิด คือ ความอยู่รอด (มันสิ้นคิดจริง ๆ ค่ะ) ดิฉันเลวค่ะ ทิ้งลูกไว้อยู่กับพ่อแม่ และออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะเปิดตัวไม่ได้ พ่อแม่ไม่ยอมรับ ไม่มีทางออก ไม่มีที่ไป โดนต่อว่าทุกวัน ดิฉันหายไปจากชีวิตลูกประมาณ 1 ปี เคยโทรไป แต่ไม่กล้าคุย ต้องวางสาย โดนประนามต่าง ๆ นา ๆ ดิฉันเหมือนคนใจดำ คนเห็นแก่ตัว แต่บอกเลยช่วงชีวิตตอนนั้น ดิฉันก็ไม่ได้สุขสบายค่ะ
หลังจากดิฉันได้สร้างครอบครัวใหม่ ดิฉันก็มีลูกคนที่ 2 และ ลุกคนนี้แระ ที่ทำให้ฉันรู้จักคำว่า "แม่" โดย มีสามีอยู่เคียงข้างตลอด และ พ่อแม่สามี ที่ช่วยจัดหาพี่เลี้ยงมาให้ โดยหลัก ๆ คือ เป็นคนเลี้ยงเอง จัดการเองทุกอย่าง และได้เรียนรู้ โดยไม่มีใครคอยคัดค้านอะไร เพราะสิทธิ์ขาดในการเลี้ยงดูและตัดสินใจ อยู่ที่ดิฉันคนเดียว ลุกคนที่ 2 เกิดมาท่ามกลางไม่มีญาติทางฝ่ายดิฉันเลย พ่อแม่ไม่เข้ามายุ่ง และไม่มาเยี่ยมหลาน ถามว่าน้อยใจมั๊ย (เข้าใจมากกว่า) พอมีลูกคนที่ 2 ความคิดก็เริ่มคิดต่าง เริ่มรู้ถึงความรัก ความผูกพัน และ เป็นช่วงเวลาที่พ่อดิฉันป่วยหนัก
ดิฉันแทบไม่เคยรู้เรื่องที่พ่อป่วย และไม่เคยคิดด้วยเพราะพ่อเป็นคนที่แข็งแรงมาก ถ้ามานั่งคิดถึงตรงนี้ พ่อเป็นแค่ความดัน แต่เพราะไม่มีความรู้ และ ความกลัว หมอไหนดี หาสารพัดหมอ ทั้งหมอไทย หมอฝรั่ง ทรงเจ้า ซึ่งบอกเลยตอนที่พ่อป่วย ดิฉันแทบไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร เพราะแม่ รวมถึงน้อง ๆ เค้ามองว่าดิฉันใจดำ ทิ้งลูกไว้ให้พ่อแม่เลี้ยง จนต้องทำงานหนัก มาเงินดูแลและส่งเสียหลาย ต้องเครียดเรื่องดิฉันทุกวัน จนล้มป่วยหนัก ซึ่งดิฉันไม่ได้ว่าตัวเองเก่ง แต่ถ้าตอนนั้น ทุกคนคิดบวกและช่วยกัน เราอาจจะมีวิธีรักษาพ่อได้ดีกว่านี้ เพราะพ่อสามีดิฉัน เค้ารู้จักกับหมอเก่ง ๆ เยอะ มารู้อีกที ก็คือเป็นหนักแล้ว บวกกับฐานะทางบ้านไม่ดี ก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยในด้านค่ารักษา แต่ก็ติดเรื่องไม่มีคนเฝ้า พ่อแม่ลูกเยอะ แต่ปัญหาเหมือนขัดแย้งไม่ลงตัวตลอด แม่เองมาเฝ้าไม่ได้ เพราะต้องดูหลานที่เป็นลูกดิฉัน ดิฉันเคยคุยกับเค้าว่าเอามาอยู่กับดิฉันก็ได้ เพราะยังไงตอนนั้นเลี้ยงลุกคนเล็กอยู่ เลี้ยงคนโตไปพร้อมกันก็ได้ แม่คัดค้านหนักมาก ไม่ไว้ใจดิฉัน และ คิดว่าจะไปอยู่บ้านสามีใหม่ได้ไง เอาลุกดิฉันไปให้น้องชายดิฉันเลี้ยง ซึ่งสะใภ้ก็ไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่ โดนกลั่นแกล้ง โดนขู่สารพัด เราเป็นแม่ แต่ทำอะไรไม่ได้ เหมือนหมดสิทธิ์ไปแล้ว ลุกเราโดนล้างสมอง เห็นแม่เป็นคนแปลกหน้า ไม่ไว้ใจเรา
มาถึงจุดนี้ ไม่เคยโทษใครนะคะ บอกเลยด้วยความสัตย์จริง โทษตัวเองค่ะ แต่อดีต เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ค่ะ
มาถึงเรื่องป่วยของพ่อ น้องชาย 2 คน ก็ติดทำงานไม่สะดวกมาเฝ้าไข้ พ่อไกล ๆ อีกคนทำงานต่างจังหวัด อีกคนทำงานชานเมือง ส่วนดิฉันเลี้ยงลูกอ่อนตอนนั้นน้องได้ 5 เดือนจะเอามาเลี้ยงใน ICU ก็คงไม่ได้ เมื่อตกลงกันไม่ได้ ทางเจ้าของไข้ ก็ให้พ่อย้ายไปอยุ่โรงพยาบาลที่มีประกันสังคม และ ใกล้บ้าน ต้องบอกว่าโรงรอเชือดดี ๆ เลยค่ะ มันเป็นช่วงทรมานที่สุดของชีวิต ทำให้ทุกวันนี้เห็นคุณค่าของการทำประกันสุขภาพมาก ๆ ค่ะ พ่ออยุ่ ICU 5 เดือน ก็เสียชีวิตค่ะ
หลังจากที่พ่อเสียชีวิตทุกอย่างเปลี่ยนไปค่ะ แม่ไม่มีรายได้ / รายได้ทางเดียวของแม่ คือ เงินที่น้องชายคนที่ 2 ให้ทุกเดือน / งานทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อ รวมถึงลูกค้าในมือ (พ่อเป็นคนเก่งค่ะ) อยู่ในมือของน้องชายคนที่ 2 เป็นคนสืบทอด แต่มีข้อแม้ว่า ส่วนหนึ่งต้องให้แม่ไว้ใช้จ่าย เหมือนที่พ่อเคยให้ ตอนนั้นบอกเลย ดิฉันเองก็ไม่มีรายได้ สามีก็ไม่มีรายได้ ใช้ชีวิตกับเงินอาทิตย์ละ 2000 บาท ที่พ่อแม่สามีหยิบยื่นให้ หักค่าสันทนาการต่าง ๆ ของสามีก็คงไม่เหลืออะไรเท่าไหร่ แต่เราก็ผ่านพ้นมาได้ เพราะดิฉันไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย และ อยากมีอยากได้ ที่สำคัญไม่คบเพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่อยู่กับครอบครัวมากกว่า
ทุกอย่างเหมือนจะดี ครอบครัวน้องชายเริ่มมีปัญหา เพราะสะใภ้ไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องเอาเงินมาให้แม่หมด พยายามหาภาระให้น้องชายดิฉัน ไม่ว่าจะผ่อนรถ ผ่อนบ้าน และ เลือกโรงเรียนแพง ๆ ให้ลุกเรียน น้องชายบอกเลย ไม่อยากมีปัญหากับภรรยา ยอมทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวสงบสุข และหลังจากวันนั้นที่พ่อเสียชีวิต สะใภ้คนนี้ ก็ไม่เคยเห็นหัวแม่ดิฉัน แม้แต่ลุกดิฉัน กับลูกเค้าจะเรียนโรงเรียนเดียวกัน เดินผ่านกัน ก็ไม่มีการทักทายหรือยกมือไหว้ แต่ถ้าลูกดิฉัน เจอสะใภ้และไม่ไหว้ เค้าจะรีบฟ้องน้องชายดิฉัน ว่าเด็กไม่มีมารยาท คือ บางครั้งก็โมโหนะ พอได้ยิน และ ตัวเองมีมารยาทมากเลยนะ ไม่เคยเห็นหัวแม่สามีเลย ครั้งหนึ่ง เคยเขียนด่าแม่สามีลง FB ด้วย จนมีเรื่องราว และน้องชายก็ให้เหตุผลคำเดียวว่า ถ้าทะเลาะกันไป อยากให้ครอบครัวน้องชายต้องพังอีกคนหรือไง ก็แค่ต่างคนต่างอยู่ ประหนึ่งสะใภ้คนนี้ทำอะไรได้ทุกอย่างทำไป แต่พอคนในครอบครัวรู้สึกบ้างไม่ได้ เพราะจะทำให้ครอบครัวน้องชายต้องทะเลาะและแตกคอกัน (ข้อนี้ขัดใจมาก) แม่เห็นดีงามด้วย ยอมทุกอย่าง เพราะรักน้องชายคนนี้
แต่ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้ และความแปลกก็เดินมาหา หลังจากพ่อเสียชีวิต ดิฉันฝันเห็นพ่อ เอาร่มมาให้ และ ชีวิตช่วงนั้นของดิฉันก้ดีขึ้นผิดไปแบบหน้ามือ เป็นหลังมือ ดิฉันเริ่มทำงานอีกครั้งโดยขายสินค้าออนไลน์ ความขยันล้วน ๆ และ ความต้องการอยากให้ลุกมีอนาคต ดิฉันคงไม่กินเงินเดือนพ่อแม่สามีเท่านี้ไปตลอดชีวิต เริ่มจากเก็บเล็กผสมน้อย ช่วงเวลานี้ ดิฉันก็ไปมาหาสู่ลูกคนโตทุกอาทิตย์นะคะ พาไปเที่ยว พาไปซื้อของที่อยากได้ เทศกาลก็พาไปเที่ยวหลาย ๆ วัน เป็นคนส่งเสียค่าเทอม และ ค่าเลี้ยงดูเล็กน้อย เท่าที่คนเป็นแม่จะทำได้ พร้อมดุแลลูกคนเล็กไปด้วย ดิฉันทำงานหนักมากค่ะ เพราะอยากให้ลุกทั้ง 2 ได้มาอยู่ร่วมกัน สร้างรากฐานชีวิตให้มั่นคง เจอกับอุปสรรคมากมาย แต่จุดหมายดิฉัน คือคำว่า ลูก ทำให้ดิฉันไม่เคยท้อ เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดก็เป็นได้ เพราะเราได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข ความสัมพันธ์ต่าง ๆ เริ่มดีขึ้น
จน 2 ปี ที่ผ่านมานี้ ความฝันดิฉันเป็นความจริงค่ะ ลูกทั้ง 2 ได้มาอยู่ในความดูแลของดิฉัน โดยพาแม่มาอยู่ด้วย ดิฉันดีใจมากค่ะ ที่ดิฉันไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ดิฉันสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้ ชีวิตของฉันกำลังจะมีความสุขมากค่ะ ได้เห็นลุกทั้ง 2 เติบโต และอยุ่ใกล้ ๆ คอยดูแล
และ นี่คือจุดหักเห ความสุขมักอยู่เราไม่นาน
เพราะเราไม่เคยใช้ชีวิตที่อยู่ร่วมกัน การปรับตัวคือสิ่งสำคัญมาก เหมือนลูกที่เราไม่ได้เลี้ยง ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ และเมื่อต้องการสิ่งใด ก็คือความคาดหวัง บางครั้งเราอาจจะให้ลูกได้ไม่ทุกสิ่ง แต่นั่นคือเราพยายามถึงที่สุดแล้ว ดิฉันทำงานได้น้อยลง เพราะมัวแต่วุ่นวายกับกิจกรรมลูก เป็นห่วง เพราะลูกอยู่ในวัยรุ่น ห้ามไม่ได้ พอห้ามมาก กลายเป็นว่าแม่จะออกรับแทนว่า น่าสงสาร ลุกไม่เคยได้ในสิ่งที่ต้องการ ต้องเป็นคนยอมตลอด มีปัญหากับน้อง ก็ต้องยอมน้อง ไปอยุ่กับเพื่อน ก็มีการเปรียบเทียบตลอด แม่มักจะพูดกับดิฉันเสมอ ว่าไม่ชอบไปเปรียบเทียบกับใคร แต่ชอบว่าหลานกระทบดิฉัน ว่าอย่าเพ้อเจ้อ และหัดเจียมตัว เพื่อนคนนั้น คนนี้ เค้าเป็นยังไง เราเป็นยังไง คือ ดิฉันสวนทางกับการสอนมาก ทำไมเราไม่สอนเด็กให้รู้จักคุณค่าของตัวเอง แต่ทำไมพอไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการกลับกลายเป็นการเจียมตัว เอาพี่เปรียบกับน้อง หาว่าเป็นพี่เป็นเด็กมีปมด้อย มีอะไรที่ไม่ครบ เป็นคนไม่ค่อยพูด และชอบเก็บ พอเราพูดอะไรมาก ก็จะกลายเป็นนางมารสำหรับลูก เสมือนว่าเราไม่เข้าใจ และ ชอบเข้าใจเค้าผิด
ดิฉันยอมรับ เมื่อมาอยู่รวมกันจริง ๆ ค่าใช้จ่ายก็ต้องขึ้นตาม ดิฉันก็ต้องทำงานมากขึ้น สามีก็ต้องช่วยกัน งานล้นมือ ทำคนเดียว เพราะถ้าเรียกลูกมาช่วย ก็จะต้องโดนแม่ว่า หาว่าที่เอามาเลี้ยง เพราะใช้งานได้แล้ว ถ้าไม่ช่วยอะไร ก็คงไม่อยากเลี้ยง ปัญหามันไม่ใช่ตรงนี้ จะช่วย ไม่ช่วย ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะปกติ ก็ทำคนเดียวอยู่แล้ว แต่แค่ไม่ทำเลอะไปกว่าเก่าเท่านั้นเอง เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลา ไหนจะงานออนไลน์ หน้าร้าน ลูกคนเล็ก งานบ้าน และเก็บกวาดที่ร้านอีก ถึงหมอนบางทีหลับคาโทรศัพท์ที่โพสต์งานก็มี