ภาษีกับแอลกอฮอล์ ตอนที่ 1
ช่วงนี้มีเรื่องราวที่ผมอยากเขียนถึงมากมาย ต่างกับบางช่วงที่ไม่รู้จะเขียนถึงเรื่องอะไรดี บทความนี้ผมยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องภาษีกับเครื่องดื่ม ล่าสุดสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ให้ความเห็นชอบรายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการส่งรายงานให้คณะกรรมการร่วม 3 ฝ่ายที่มี สปท. สนช. และครม. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ในระหว่างนี้สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยได้ทักท้วงและคัดค้านอย่างรุนแรง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดหมายได้อยู่แล้ว ถ้าหน่วยงานของรัฐไม่ออกกฎหมายนี้ คนไทยก็จะถูกห้อมล้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ยิ่งนิสัยของคนไทยที่ติดหวานด้วยแล้ว ผมจึงอยากจะเห็นกฎหมายนี้ออกมาเร็วๆเสียด้วยซ้ำ
นอกจากเรื่องภาษีกับน้ำตาลในเครื่องดื่มแล้ว เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ควรจะเป็นเรื่องต่อไปที่อยากจะฝากให้ทางกมธ. ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมช่วยดูแลและผลักดันเป็นเรื่องต่อไป เคยสังเกตกันไหมครับว่าเรามีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการเมาสุรามากแค่ไหน ผมค้นสถิติล่าสุดจาก www.worldatlas.com พบว่าสถิติการตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน ไทยเราเป็นประเทศที่ติดอันดับที่ 2 ของโลกคือ มีการตายจากอุบัติเหตุบนถนนสูงถึง 38.1คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในขณะที่ประเทศที่มาเป็นอันดับที่ 1 คือ Dominican Republic มีตัวเลขสูงถึง 41.7 ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 25 ทั้งๆที่มาเลเซียเป็นประเทศที่มีอัตราการครอบครองยานพาหนะต่อประชากร 1,000 คนอยู่ที่ 361 ขณะที่ไทยอยู่ที่ 206 เท่านั้น (ข้อมูลจาก WIKIPEDIA.ORG) แปลกดีนะครับ ทั้งๆที่ไทยเราได้สมญานามเป็น Detroit of Asia แต่ปริมาณการครอบครองยานพาหนะน้อยกว่ามาเลเซียเกิน 40% เสียอีก
เป็นเรื่องที่เราคนไทยต้องยอมรับกันนะครับว่า คนไทยเป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ มีสำนึกการอยู่ร่วมกันในสังคมต่ำ ดังนั้นถ้ารัฐไม่ออกกฎระเบียบ หรือกฎหมายรวมทั้งมาตรการต่างๆมาช่วยกำกับดูแล สังคมไทยก็จะยังเป็นแบบนี้อีกนาน เรามาดูคนสิงคโปร์กันหน่อยครับ จากก่อนหน้านี้ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ตราบจนกระทั่งวันที่ 9 สิงหาคม 2508 จึงได้แยกตัวเป็นประเทศเอกราช ในสมัยนั้นคนสิงคโปร์เองก็เป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ และมีสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคมต่ำคล้ายๆกับคนไทยเรา อาจจะแย่กว่าคนไทยในปัจจุบันด้วยซ้ำ ขาก

เรี่ยราดบนถนน แล้วรัฐบาลของสิงคโปร์โดย พณ. ท่านลีกวนยู ก็มาบริหารประเทศ จัดการบ้านเมืองได้อย่างเรียบร้อย ตั้งกฎระเบียบมากมาย ทำให้คนสิงคโปร์ในปัจจุบันเป็นชาติที่มีระเบียบวินัย ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน และเมื่อดู The Asian Green Index ที่เปรียบเทียบนโยบาย และสิ่งแวดล้อมจากเมืองชั้นนำของ ASIA ที่จัดทำโดยกลุ่ม SIEMENS ปรากฎว่า สิงคโปร์เป็นประเทศเดียวที่ได้รับการจัดอันดับขั้น Well Above Average ในขณะที่ฮ่องกง โตเกียว โซล ยังได้แค่ Above Average ขณะที่กรุงเทพเราได้เพียงแค่ Average เท่านั้น ผมย้ำนะครับว่า นี่ขนาดสิงคโปร์เป็นประเทศเกิดใหม่ มีอายุไม่ถึง 51 ปีเสียด้วยซ้ำ นึกถึงทีไร ก็อดอิจฉาคนสิงคโปร์ไม่ได้ ที่มีผู้นำดีๆ ที่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นรัฐบุรษจริงๆ นี่ถ้าเราสลับตัวนายกไทยในอดีตไปบริหารสิงคโปร์ แล้วเราได้ท่านลีกวนยูมา เมืองไทยเราคงเจริญผิดหูผิดตา มีระเบียบเรียบร้อยเป็นแน่ แล้วสิงคโปร์จะเป็นอย่างไร ก็ดูประเทศไทยในปัจจุบันเอาแล้วกันครับ
กลับมาเรื่องแอลกอฮอล์กันครับ ผมสังเกตุว่าเหตุการณ์ฆ่าคนตาย หรือทำร้ายร่างกายที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแฮลกอฮอล์ และของมึนเมาชักถี่ขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดคดีวัยรุ่นหลายคนร่วมกันรุมทำร้าย และฆ่าชายพิการ โดยที่แฟนสาวของวัยรุ่นกลุ่มนั้น ยังพูดเชียร์ ”ฆ่ามันเลย” ซึ่งต่อมาถูกตำรวจจับได้ และให้การสารภาพว่าทำไปด้วยความเมาสุรา แล้วตำรวจก็เอาขนมปังของร้านที่ชายพิการทำงานด้วยมาให้ทาน(เพื่ออะไร?) และกลุ่มวัยรุ่นที่ทำร้ายครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หัวหิน ซึ่งหลายๆท่านคงได้ผ่านตาใน YOUTUBE กันแล้ว หลังจากถูกจับได้ ก็สารภาพว่าทำไปด้วยความเมาสุรา (อีกแล้ว!) ซึ่งครอบครัวชาวอังกฤษให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า จะไม่กลับมาเมืองไทยอีกต่อไปตลอดชีวิต เหตุการณ์และบทสัมภาษณ์นี้คงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไม่มากก็น้อย แหม ! เสียดายเนื้อที่หมดแล้ว เอาไว้ต่อบทความหน้ากันครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ
เหตุการณ์ฆ่าคนตายหรือทำร้ายร่างกายที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแฮลกอฮอล์ และของมึนเมาชักถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงนี้มีเรื่องราวที่ผมอยากเขียนถึงมากมาย ต่างกับบางช่วงที่ไม่รู้จะเขียนถึงเรื่องอะไรดี บทความนี้ผมยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องภาษีกับเครื่องดื่ม ล่าสุดสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ให้ความเห็นชอบรายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการส่งรายงานให้คณะกรรมการร่วม 3 ฝ่ายที่มี สปท. สนช. และครม. เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ในระหว่างนี้สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยได้ทักท้วงและคัดค้านอย่างรุนแรง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดหมายได้อยู่แล้ว ถ้าหน่วยงานของรัฐไม่ออกกฎหมายนี้ คนไทยก็จะถูกห้อมล้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ยิ่งนิสัยของคนไทยที่ติดหวานด้วยแล้ว ผมจึงอยากจะเห็นกฎหมายนี้ออกมาเร็วๆเสียด้วยซ้ำ
นอกจากเรื่องภาษีกับน้ำตาลในเครื่องดื่มแล้ว เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ควรจะเป็นเรื่องต่อไปที่อยากจะฝากให้ทางกมธ. ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมช่วยดูแลและผลักดันเป็นเรื่องต่อไป เคยสังเกตกันไหมครับว่าเรามีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการเมาสุรามากแค่ไหน ผมค้นสถิติล่าสุดจาก www.worldatlas.com พบว่าสถิติการตายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน ไทยเราเป็นประเทศที่ติดอันดับที่ 2 ของโลกคือ มีการตายจากอุบัติเหตุบนถนนสูงถึง 38.1คน ต่อประชากร 1 แสนคน ในขณะที่ประเทศที่มาเป็นอันดับที่ 1 คือ Dominican Republic มีตัวเลขสูงถึง 41.7 ในขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 25 ทั้งๆที่มาเลเซียเป็นประเทศที่มีอัตราการครอบครองยานพาหนะต่อประชากร 1,000 คนอยู่ที่ 361 ขณะที่ไทยอยู่ที่ 206 เท่านั้น (ข้อมูลจาก WIKIPEDIA.ORG) แปลกดีนะครับ ทั้งๆที่ไทยเราได้สมญานามเป็น Detroit of Asia แต่ปริมาณการครอบครองยานพาหนะน้อยกว่ามาเลเซียเกิน 40% เสียอีก
เป็นเรื่องที่เราคนไทยต้องยอมรับกันนะครับว่า คนไทยเป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ มีสำนึกการอยู่ร่วมกันในสังคมต่ำ ดังนั้นถ้ารัฐไม่ออกกฎระเบียบ หรือกฎหมายรวมทั้งมาตรการต่างๆมาช่วยกำกับดูแล สังคมไทยก็จะยังเป็นแบบนี้อีกนาน เรามาดูคนสิงคโปร์กันหน่อยครับ จากก่อนหน้านี้ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ตราบจนกระทั่งวันที่ 9 สิงหาคม 2508 จึงได้แยกตัวเป็นประเทศเอกราช ในสมัยนั้นคนสิงคโปร์เองก็เป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ และมีสำนึกในการอยู่ร่วมกันในสังคมต่ำคล้ายๆกับคนไทยเรา อาจจะแย่กว่าคนไทยในปัจจุบันด้วยซ้ำ ขาก
กลับมาเรื่องแอลกอฮอล์กันครับ ผมสังเกตุว่าเหตุการณ์ฆ่าคนตาย หรือทำร้ายร่างกายที่เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแฮลกอฮอล์ และของมึนเมาชักถี่ขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดคดีวัยรุ่นหลายคนร่วมกันรุมทำร้าย และฆ่าชายพิการ โดยที่แฟนสาวของวัยรุ่นกลุ่มนั้น ยังพูดเชียร์ ”ฆ่ามันเลย” ซึ่งต่อมาถูกตำรวจจับได้ และให้การสารภาพว่าทำไปด้วยความเมาสุรา แล้วตำรวจก็เอาขนมปังของร้านที่ชายพิการทำงานด้วยมาให้ทาน(เพื่ออะไร?) และกลุ่มวัยรุ่นที่ทำร้ายครอบครัวนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หัวหิน ซึ่งหลายๆท่านคงได้ผ่านตาใน YOUTUBE กันแล้ว หลังจากถูกจับได้ ก็สารภาพว่าทำไปด้วยความเมาสุรา (อีกแล้ว!) ซึ่งครอบครัวชาวอังกฤษให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า จะไม่กลับมาเมืองไทยอีกต่อไปตลอดชีวิต เหตุการณ์และบทสัมภาษณ์นี้คงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไม่มากก็น้อย แหม ! เสียดายเนื้อที่หมดแล้ว เอาไว้ต่อบทความหน้ากันครับ
กิติชัย เตชะงามเลิศ