ตอนนั้นผมยังเด็กอายุราวๆ 7 ขวบ วัยกำลังน่ารัก น่าชัง
เคยเห็นท่านสืบผ่านหน้าจอผ่านจอทีวีขาวดำที่ใช้เสาหนวดกุ้งรับสัญญาณอนาล็อกในสมัยนั้น
มีแต่ลูกน้ำวิ่งไปมาไม่เห็นหน้าตาที่ชัดเจน เท่าที่ผมรู้คนแถวบ้านผม ยกย่องในวีรกรรมของชายท่านนี้
เนื่องจากบ้านผมเป็นคนชนบทจึงขาดความเจริญ ไม่มีถนนหนทาง ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่เปลี่ยนไปทุกอย่าง
ยังใช้ชีวิตวิ่งซนตามประสาเด็กเล็กๆ แต่ขณะที่วิ่งเล่นก็มีรายงานข่าวว่า
ชายที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร ถึงแก่กรรม
ผมนี่กลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้งๆที่ยังเด็กไม่รับรู้เรื่องราวอะไรมากมาย แต่มีความรู้สึกเศร้า
คิดเพียงว่าโลกเสียคนดีๆไปอีกหนึ่งท่านแล้ว
ครั้นเมื่อผมโตขึ้นยังคงคาใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก จึงพยายามค้นคำตอบเรื่องนี้ ตามห้องสมุดของโรงเรียนตามต่างจังหวัด
และแล้วผมก็พบว่าชายคนนี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป เป็นคนรักอุดมการณ์ของตัวเองและยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากๆในสายตาของผม เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำมาตลอดชีวิต ผมรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่าให้จดจำอะไรเลย
เขากล้าต่อสู้กับกลุ่มนายทุนที่มีอิทธิพลมากในสมัยนั้นเพื่อปกป้องพื้นที่ป่าไม้ เขารักอุดมการณ์มากกว่าชีวิตของตัวเอง
การกระทำของเขาต้องการบอกสังคมในสมัยนั้นว่า "ถ้าต้นไม้หนึ่งต้นโดนตัดทิ้ง เขาจะยอมตายดีกว่าเห็นต้นไม้โดนตัดทิ้ง"
ผมไม่ใช่ชายที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร เพราะเขามีคนเดียวในโลก และเขาคือ ฮีโร่พิทักษ์ป่าไม้ในใจผมตลอดมา
ตั้งแต่นั้นผมจึงมีแนวคิดนี้ผุดขึ้นในหัวตลอดมา ผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาชนบทอย่างผม ฐานะไม่รวย เรียนก็ไม่เก่ง
พูดอะไรไปก็ขาดความน่าเชื่อถือ มีแค่อุดมการณ์ปลูกป่าอย่างเดียวใครจะเชื่อ แต่ความจริงของชีวิตโหดกว่านั้น
กลุ่มชาวบ้านยากจนโดนกลุ่มนายทุนกว้านซื้อที่ดินไปหมด แม้ผมจะคัดค้านหัวชนฝา กับผู้ใหญ่บ้าน กลายเป็นตัว
ประหลาดสร้างปัญหาให้คนในหมู่บ้าน จนในที่สุดระหว่างนายทุนและผู้ใหญ่มีการตกลงผลประโยชน์บนหน้ากระดาษกันไปเรียบร้อยแล้ว
ผมจึงรักษาได้แค่พื้นที่เล็กๆ ที่ไว้คุมกะลาหัวตัวเองกับครอบครัวเท่านั้นที่ยังเหลือเป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่ยอมขาย โดยพื้นที่รอบๆบ้านกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม มีการปล่อยควันพิษ ปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำลำคลอง ทั้งๆที่ก่อนเซ็นสัญญาจะไม่ก่อมลพิษทางอากาศ แต่กลับไม่ทำตามสัญญา ผมจึงหมดศรัทธาในตัวเอง และชาวบ้านเหมือนตัวเองไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร
แต่ยังไม่หมดหวัง เพราะผมรู้ว่าสักวันหนึ่งโรงงานเหล่านี้ ต้องมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง
และสถาณการณ์ตอนนี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี จึงอยากเปลี่ยนแนวความคิดให้คนหันมารักป่าไม้มากขึ้น
ผมจึงกล้ายืนยันว่า สภาวะโลกร้อนในขณะนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วนๆแทบทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติแต่อย่างใด แต่เกิดจากการปล่อยก๊าซเสียจากโรงงาน ขุดก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เหมือนแร่ เป็นต้น
ขึ้นมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ผลิตเชื้อเพลิงและทำให้โลกร้อนขึ้นด้วย ความร้อนสะสมเพราะก๊าซเหล่านี้ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ไม่จับตัวเป็นก้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้อีกต่อไป ต้นไม้น้อยลง แม่น้ำแห้งขอด สัตว์ป่าล้มตาย ทุกอย่างขาดความสมดุลทางธรรมชาติ เกิดหลุมยุบ และเป็นไปได้ว่าน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย ผลกระทบตามมาถึง
การใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่สามารถทนอุณหภูมิความร้อนระดับสูงได้เพราะมีรังสี uv เพิ่มมากขึ้น เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
จึงขอชวนเพื่อนๆที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมกันปลูกป่าไม้ คืนธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือชีวิต ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
ร่วมช่วยกันพิทักษ์ป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์เขียวขจีเหมือนในอดีต เพื่อช่วยกันลดสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนี้
และมีแหล่งน้ำสะอาดให้ได้ใช้ อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจดูแลโลกใบนี้มากกว่าที่เป็นอยู่ครับ
คนรุ่นใหม่รู้จักผู้ชายชื่อ สืบ นาคะเสถียร หรือไม่?
เคยเห็นท่านสืบผ่านหน้าจอผ่านจอทีวีขาวดำที่ใช้เสาหนวดกุ้งรับสัญญาณอนาล็อกในสมัยนั้น
มีแต่ลูกน้ำวิ่งไปมาไม่เห็นหน้าตาที่ชัดเจน เท่าที่ผมรู้คนแถวบ้านผม ยกย่องในวีรกรรมของชายท่านนี้
เนื่องจากบ้านผมเป็นคนชนบทจึงขาดความเจริญ ไม่มีถนนหนทาง ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่เปลี่ยนไปทุกอย่าง
ยังใช้ชีวิตวิ่งซนตามประสาเด็กเล็กๆ แต่ขณะที่วิ่งเล่นก็มีรายงานข่าวว่า
ชายที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร ถึงแก่กรรม
ผมนี่กลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ทั้งๆที่ยังเด็กไม่รับรู้เรื่องราวอะไรมากมาย แต่มีความรู้สึกเศร้า
คิดเพียงว่าโลกเสียคนดีๆไปอีกหนึ่งท่านแล้ว
ครั้นเมื่อผมโตขึ้นยังคงคาใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก จึงพยายามค้นคำตอบเรื่องนี้ ตามห้องสมุดของโรงเรียนตามต่างจังหวัด
และแล้วผมก็พบว่าชายคนนี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป เป็นคนรักอุดมการณ์ของตัวเองและยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากๆในสายตาของผม เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำมาตลอดชีวิต ผมรู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่าให้จดจำอะไรเลย
เขากล้าต่อสู้กับกลุ่มนายทุนที่มีอิทธิพลมากในสมัยนั้นเพื่อปกป้องพื้นที่ป่าไม้ เขารักอุดมการณ์มากกว่าชีวิตของตัวเอง
การกระทำของเขาต้องการบอกสังคมในสมัยนั้นว่า "ถ้าต้นไม้หนึ่งต้นโดนตัดทิ้ง เขาจะยอมตายดีกว่าเห็นต้นไม้โดนตัดทิ้ง"
ผมไม่ใช่ชายที่ชื่อ สืบ นาคะเสถียร เพราะเขามีคนเดียวในโลก และเขาคือ ฮีโร่พิทักษ์ป่าไม้ในใจผมตลอดมา
ตั้งแต่นั้นผมจึงมีแนวคิดนี้ผุดขึ้นในหัวตลอดมา ผู้ชายตัวเล็กๆ หน้าตาชนบทอย่างผม ฐานะไม่รวย เรียนก็ไม่เก่ง
พูดอะไรไปก็ขาดความน่าเชื่อถือ มีแค่อุดมการณ์ปลูกป่าอย่างเดียวใครจะเชื่อ แต่ความจริงของชีวิตโหดกว่านั้น
กลุ่มชาวบ้านยากจนโดนกลุ่มนายทุนกว้านซื้อที่ดินไปหมด แม้ผมจะคัดค้านหัวชนฝา กับผู้ใหญ่บ้าน กลายเป็นตัว
ประหลาดสร้างปัญหาให้คนในหมู่บ้าน จนในที่สุดระหว่างนายทุนและผู้ใหญ่มีการตกลงผลประโยชน์บนหน้ากระดาษกันไปเรียบร้อยแล้ว
ผมจึงรักษาได้แค่พื้นที่เล็กๆ ที่ไว้คุมกะลาหัวตัวเองกับครอบครัวเท่านั้นที่ยังเหลือเป็นพื้นที่ป่าไม้ ไม่ยอมขาย โดยพื้นที่รอบๆบ้านกลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรม มีการปล่อยควันพิษ ปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำลำคลอง ทั้งๆที่ก่อนเซ็นสัญญาจะไม่ก่อมลพิษทางอากาศ แต่กลับไม่ทำตามสัญญา ผมจึงหมดศรัทธาในตัวเอง และชาวบ้านเหมือนตัวเองไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร
แต่ยังไม่หมดหวัง เพราะผมรู้ว่าสักวันหนึ่งโรงงานเหล่านี้ ต้องมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้าง
และสถาณการณ์ตอนนี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดี จึงอยากเปลี่ยนแนวความคิดให้คนหันมารักป่าไม้มากขึ้น
ผมจึงกล้ายืนยันว่า สภาวะโลกร้อนในขณะนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ล้วนๆแทบทั้งสิ้น ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้น
หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติแต่อย่างใด แต่เกิดจากการปล่อยก๊าซเสียจากโรงงาน ขุดก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เหมือนแร่ เป็นต้น
ขึ้นมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ผลิตเชื้อเพลิงและทำให้โลกร้อนขึ้นด้วย ความร้อนสะสมเพราะก๊าซเหล่านี้ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้น ไม่จับตัวเป็นก้อนเพื่อรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้อีกต่อไป ต้นไม้น้อยลง แม่น้ำแห้งขอด สัตว์ป่าล้มตาย ทุกอย่างขาดความสมดุลทางธรรมชาติ เกิดหลุมยุบ และเป็นไปได้ว่าน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย ผลกระทบตามมาถึง
การใช้ชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่สามารถทนอุณหภูมิความร้อนระดับสูงได้เพราะมีรังสี uv เพิ่มมากขึ้น เป็นโรคมะเร็งผิวหนัง
จึงขอชวนเพื่อนๆที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมกันปลูกป่าไม้ คืนธรรมชาติ เพราะธรรมชาติคือชีวิต ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้
ร่วมช่วยกันพิทักษ์ป่าไม้ให้อุดมสมบูรณ์เขียวขจีเหมือนในอดีต เพื่อช่วยกันลดสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนี้
และมีแหล่งน้ำสะอาดให้ได้ใช้ อยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจดูแลโลกใบนี้มากกว่าที่เป็นอยู่ครับ