สวัสดีค่ะ แพทย์หญิงคนเดิม คนเดียวกับที่เคย review "้ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ"
ดู MV นี้หลายรอบ แล้วก็มาคิดว่าเค้าต้องการบอกอะไรเรา
ตีความตามแบบหมอที่ไม่ค่อยจะได้มีโอกาสไปวัดศึกษาพระธรรม
แต่ได้ศึกษาจากผู้ป่วยรอบๆตัว และครอบครัวของพวกเค้า ทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิต
MV นี้มีคุณค่าทางจิตวิญญาณ
อันที่จริงแล้ว MV ต้องการบอกอะไร นอกจากความหลอน
จะเป็นอย่างไรเมื่อใครซักคนหนึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคที่รักษาไม่หาย... เอาจริงๆแล้ว อย่างมากก็แค่ตายค่ะ
แค่ตาย...เพราะมันเป็นสิ่งที่ predictable อยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจ
สิ่งที่แปลกก็คือ เมื่อรู้ว่าต้องตาย เราทุกคนจะกลัว คนรอบตัวเราก็กลัวด้วย
“เวลาเจอผู้ป่วยกลัวความตาย เราต้องเข้าใจเขาให้มากๆ เพราะพวกหมอนี่แหละเป็นพวกที่กลัวความตายมากที่สุด ไม่งั้นเราคงจะไม่ทุ่มเทชีวิตเรียนวิธีการที่จะต่อสู้กับความตายหรอก”... อ.แพทย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้
ความกลัว เป็นสาเหตุหนึ่งของการ "ไม่ยอมรับความตาย"
ทำให้เราเห็นคนแก่วัย 90 ปี นอนไม่รู้สึกตัว มีสายระโยงระยางอยู่ใน ICU, ทำให้เราเห็นคนไข้มะเร็งระยะสุดท้ายกระจายไปทั่วร่าง admit แล้ว admit อีก ด้วยอาการเดิมๆที่เค้าก็รู้ว่ารักษาไม่หายขาด, ทำให้เราเห็นคนไข้ที่อายุขัยถึงกำหนด ถูกลูกหลานอุ้มมารักษาที่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อดู MV นี้ และพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ดิฉันเชื่อว่าจะมีบางคนที่ยอมรับความตายได้มากขึ้น ยอมรับความตายของคนที่เรารักได้มากขึ้น
เราโชคดีนะคะที่เกิดเป็นชาวพุทธ ดิฉันนึกถึงสิ่งที่ อ.เคยสอนว่า
เมื่อคนเรายอมรับความตาย แต่ละคนจะมีระดับในการยอมรับไม่เท่ากัน ระดับที่สูงที่สุด คือ การยอมรับความตายในระดับปัญญา ยอมรับว่าร่างกายของเรามันไม่มีอยู่จริง เพราะในขณะที่เรานั่งหายใจอยู่นี้ เซลล์ของเราก็ยังมีการตายและการเกิดใหม่ตลอดเวลา
เพื่อนของดิฉันเป็นผู้กำกับ MV นี้
เคยมาถามดิฉันเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนว่า "หมอๆ ถามหน่อย หลังจากตายแล้วร่างกายเราจะเป็นยังไง ขอแบบเป็น timelapse"
(ดิฉันเปิดหนังสือตอบรัวๆ ถามว่าเคยเห็นศพเน่ามั๊ย ไม่เคยจ้า! พ่อคู้น ถามยากจัง)
หลังจากนั้น เพื่อนของดิฉันคนนี้ก็ไล่ถ่ายรูปสัตว์ตาย บางครั้งถ่ายมาลง facebook พอถามว่าถ่ายลงทำไม นางตอบว่า "ก็เหมือนที่แกชอบโพสต์รูปของกิน บางทีชั้นก็อยากถามแกว่าแกถ่ายมาลงทำไม" 5555
สาระอยู่ตรงที่ ดิฉันคิดว่านี่เป็นวิธีฝึกอสุภกรรมฐาน ตามแบบของคนรุ่นใหม่
ขอบคุณทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับ MV นี้ ที่ทำสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณออกมาเผยแพร่
หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์สืบไปค่ะ
ตราบลมหายใจสุดท้าย (ปาน ธนพร) ... MV นี้ให้อะไร นอกจากความหลอน?
ดู MV นี้หลายรอบ แล้วก็มาคิดว่าเค้าต้องการบอกอะไรเรา
ตีความตามแบบหมอที่ไม่ค่อยจะได้มีโอกาสไปวัดศึกษาพระธรรม
แต่ได้ศึกษาจากผู้ป่วยรอบๆตัว และครอบครัวของพวกเค้า ทั้งผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง และผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิต
MV นี้มีคุณค่าทางจิตวิญญาณ
อันที่จริงแล้ว MV ต้องการบอกอะไร นอกจากความหลอน
จะเป็นอย่างไรเมื่อใครซักคนหนึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคที่รักษาไม่หาย... เอาจริงๆแล้ว อย่างมากก็แค่ตายค่ะ
แค่ตาย...เพราะมันเป็นสิ่งที่ predictable อยู่แล้ว ไม่น่าแปลกใจ
สิ่งที่แปลกก็คือ เมื่อรู้ว่าต้องตาย เราทุกคนจะกลัว คนรอบตัวเราก็กลัวด้วย
“เวลาเจอผู้ป่วยกลัวความตาย เราต้องเข้าใจเขาให้มากๆ เพราะพวกหมอนี่แหละเป็นพวกที่กลัวความตายมากที่สุด ไม่งั้นเราคงจะไม่ทุ่มเทชีวิตเรียนวิธีการที่จะต่อสู้กับความตายหรอก”... อ.แพทย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้
ความกลัว เป็นสาเหตุหนึ่งของการ "ไม่ยอมรับความตาย"
ทำให้เราเห็นคนแก่วัย 90 ปี นอนไม่รู้สึกตัว มีสายระโยงระยางอยู่ใน ICU, ทำให้เราเห็นคนไข้มะเร็งระยะสุดท้ายกระจายไปทั่วร่าง admit แล้ว admit อีก ด้วยอาการเดิมๆที่เค้าก็รู้ว่ารักษาไม่หายขาด, ทำให้เราเห็นคนไข้ที่อายุขัยถึงกำหนด ถูกลูกหลานอุ้มมารักษาที่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อดู MV นี้ และพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ดิฉันเชื่อว่าจะมีบางคนที่ยอมรับความตายได้มากขึ้น ยอมรับความตายของคนที่เรารักได้มากขึ้น
เราโชคดีนะคะที่เกิดเป็นชาวพุทธ ดิฉันนึกถึงสิ่งที่ อ.เคยสอนว่า
เมื่อคนเรายอมรับความตาย แต่ละคนจะมีระดับในการยอมรับไม่เท่ากัน ระดับที่สูงที่สุด คือ การยอมรับความตายในระดับปัญญา ยอมรับว่าร่างกายของเรามันไม่มีอยู่จริง เพราะในขณะที่เรานั่งหายใจอยู่นี้ เซลล์ของเราก็ยังมีการตายและการเกิดใหม่ตลอดเวลา
เพื่อนของดิฉันเป็นผู้กำกับ MV นี้
เคยมาถามดิฉันเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนว่า "หมอๆ ถามหน่อย หลังจากตายแล้วร่างกายเราจะเป็นยังไง ขอแบบเป็น timelapse"
(ดิฉันเปิดหนังสือตอบรัวๆ ถามว่าเคยเห็นศพเน่ามั๊ย ไม่เคยจ้า! พ่อคู้น ถามยากจัง)
หลังจากนั้น เพื่อนของดิฉันคนนี้ก็ไล่ถ่ายรูปสัตว์ตาย บางครั้งถ่ายมาลง facebook พอถามว่าถ่ายลงทำไม นางตอบว่า "ก็เหมือนที่แกชอบโพสต์รูปของกิน บางทีชั้นก็อยากถามแกว่าแกถ่ายมาลงทำไม" 5555
สาระอยู่ตรงที่ ดิฉันคิดว่านี่เป็นวิธีฝึกอสุภกรรมฐาน ตามแบบของคนรุ่นใหม่
ขอบคุณทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับ MV นี้ ที่ทำสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตวิญญาณออกมาเผยแพร่
หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์สืบไปค่ะ