สวัสดีค่ะ ตั้งใจจะบันทึกเรื่องราวส่วนตัวนี้ลงใน facebook แต่คิดอีกที เรามี user ของ pantip นี่หน่า เอาลง pantip ละกัน เผื่อคนเห็นเยอะกว่า จะได้เป็นกำลังใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ หรือคนวัยเก๋า ที่ใกล้จะหมดไฟ กับการสอบบรรจุข้าราชการ
เส้นทางสู่ข้าราชการของใครๆ มันมีที่มาไม่เหมือนกัน บางคนสอบครั้งเดียวติด บางคนเป็นสิบปี สอบไม่ติดสักที
บางคนเห็นคุณค่าของการได้เป็นข้าราชการ บางคนเบื่อหน่ายอยากเปลี่ยนอาชีพสะเหลือเกิน
แต่สำหรับเรา ไม่เคยคิดที่จะเป็นข้าราชการเลย !!!!
ขอแบ่งการเล่าเรื่องเป็น 3 พาท ล่ะกัน จุดเริ่ม จุดพีค และจุดจบ และมีของแถมคือการอธิบายการสอบข้าราชการต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้กับเด็กๆที่กำลังอยากสอบรับราชการ เพื่อเป็นข้าของแผ่นดิน เพื่อทำงานรับใช้ในหลวง และเพื่อทำงานรับใช้ประชาชนชาวไทย
พาท 1 จุดเริ่มต้น
พ่อแม่ทุกคนก็คงอยากให้ลูกรับราชการ เพราะเป็นความมั่นคงสูงสุด ที่จะทำให้พ่อแม่นอนตายตาหลับ ไม่ต้องเป็นห่วงลูก พ่อแม่เราก็เช่นกัน พูดกรอกหูตั้งแต่เด็ก ให้เราเป็นข้าราชการ ซึ่งตอนเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่ามันต้องทำงานเข้าตามเวลา เลิกตามเวลา และทำงานอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งตอนนั้นแอนตี้มาก เพราะเป็นเด็กสายนิเทศ เรียนจบนิเทศศาสตร์ ทำงานนอกสถานที่ ทำงานลุย ทำงานไม่เป็นเวลา จึงไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นข้าราชการ
หลังจากเรียนจบ ด้วยความที่เรียนค่อนข้างเก่ง จึงเลือกงาน อีโก้สุง งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ไปทำงานเป็น Tele sale ตามคำชวนของเพื่อน (ระหว่างรองานที่ชอบ) งานนี้ก็คือขายประกันทางโทรศัพท์ ด้วยความเป็นคนพูดเก่ง จึงขายได้ และสนุกกับงานนี้เป็นเวลา 4 เดือน จนถึงจุดที่ ไม่เอาละ ไม่อยากทำละ จึงเริ่มหางานที่ตัวเอง ชอบ มาตั้งแต่เด็ก นั่นคือ "ครู"
บางคนแอบด่าเราละว่าชอบครู ทำไมไม่เรียนครู ไปเรียนนิเทศศาสตร์ทำไม ขอเล่าย้อนไปนิดนึงว่าตอนเด็กๆชอบดูละครมาก อยากเป็นดารา อยากดัง อยากมีเพื่อนเป็นดารา อยากอะไรก็ได้ที่ได้ออกทีวี และรู้มาว่าถ้าเรียนนิเทศศาสตร์จะได้เจอดารา จะได้ทำงานในวงการ รู้แบบนี้ตั้งแต่ป.6 เลยเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่ป. 6 ว่าจะเรียนนิเทศศาสตร์ให้ได้ และความฝันก็เป็นจริง ได้เรียนนิเทศศาสตร์สมใจ
ซึ่งระหว่างทางของการเจริญเติบโตในช่วง 6 ปี ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เจอกับครูที่เราชื่นชอบ ทำให้มีความฝันใหม่เกิดขึ้นว่าอยากเป็นครู เป็นความฝันลึกๆ ที่ยังไม่อยากทำให้เป็นจริง คิดเอาว่า ไว้แก่ๆ สั่งสมประสบการณ์ได้เยอะๆ แล้วค่อยไปสมัครเป็นครูละกัน คิดแบบนี้จริงๆ
ออกตัวก่อนว่า ทุกความคิดที่อยากเป็น พ่อแม่ไม่เคยรู้เลย เพราะพ่อเรียนจบแค่อนุปริญญา แม่เรียนจบปกศ.สูง ทำให้พ่อและแม่ไม่สามารถชี้แนะแนวทางในการเรียนด้านต่างๆได้ เราจึงคิดเองเออเองทุกอย่าง และช่วงนั้นไม่ได้มีอินเตอร์เน็ตให้ขวยขวายหาความรู้เหมือนทุกวันนี้
เข้าสู่วัยมหาวิทยาลัย ก็เจอกับอาจารย์ที่เราชื่นชอบอีก ทำให้ความฝันของความเป็นครู ผุดขึ้นมาอีก คิดว่าจะต้องเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยให้ได้ จะสอนเหมือนอาจารย์คนนี้ จะทำให้เด็กรักเหมือนอาจารย์คนนี้ ความอยากเป็นครูเริ่มประทุขึ้นมาเรื่อยๆล่ะ
ต่อ เรื่องการทำงาน หลังจากลาออกจาก Tele Sale ก็เลยนึกถึงความฝันที่อยากเป็นครู จึงเจาะจงหาสมัครงานในโรงเรียน และพอดีมีโรงเรียนแถวบ้านรับสมัครคนดูแลคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด ซึ่งไม่ต้องใช้วุฒิครู เราก็รีบไปสมัคร และได้ทำงานที่โรงเรียนนั้น
เมื่อทำไปได้ 1 เดือน พี่ที่ทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด แนะนำว่าให้ไปเรียนต่อป.บัณฑิตวิชาชีพครูสิ จะได้มาสอบเป็นข้าราชการ
เห้ยยยยยยย นี่แหละ จุดเริ่มต้นของความคิดที่ว่า ฉันจะต้องเป็นข้าราชการให้ได้ !!!!! (ขอบคุณพี่ต้อง มากๆ ที่เป็นผู้จุดประกายเส้นทางสู่ดินของหนู)
พาท 2 จุดพีค
จริงๆมันก็ยังไม่พีคนะ เพราะมันมีพีคโคตรหลายรอบ 555555
หลังจากได้รับคำแนะนำให้เรียนป.บัณฑิต เราก็ชวนเพื่อนไปเรียนด้วยกัน 1 ปี จนจบ ได้ใบประกอบวิชาชีพครูมาสมใจ หลังจากนี้ก็คือหาสนามสอบที่เค้ารับเอกที่ตรงกับเรา ซึ่งเราวางเป้าหมายไว้ว่า อายุ 25 จะต้องสอบเป็นข้าราชการให้ได้ (รอดูตอนจบนะว่าสำเร็จภายในอายุ 25 มั้ย)
เรียนป.บัณฑิตจบในปี 2554 เพื่อนที่เราชวนไปเรียนด้วย ก็มาชวนเราไปสอบครูกทม. ตอนนั้นครูกทม.เปิดรับในเอกโสต ซึ่งตรงกับเอกเราพอดี(นิเทศศาสตร์ วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์) แต่เราปฏิเสธเพื่อน ไม่ไปสมัครสอบ เพราะกลัวได้ !!!!!! ตลกมั้ยละ กลัวสอบติด 5555555
เพราะความที่ยังวัยรุ่น เพิ่งเข้าทำงานในโรงเรียนใหม่ๆ ยังสนุกกับการทำงานอยู่ อ้อออออ และสนุกกับการสอนด้วย เพราะโรงเรียนจัดให้เราสอนชมรม และวิชาเลือกเสรี ซึ่งวิชาเลือกเสรี แล้วแต่ครูผู้สอนว่าจะสอนวิชาอะไรให้กับเด็ก เราก็สนุกมากๆกับการสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ จนรู้สึกว่า ไม่อยากไปสอบ อยากทำงานที่นี่ ซึ่งเป็นแค่ครูอัตราจ้าง
พีคที่ 1 เพื่อนสอบติด อันดับที่ 9 ได้เรียกบรรจุรอบแรก โคตรยินดีกับมันเลย และคิดว่า ดีนะที่เราไม่ไปสอบ ถ้าสอบต้องได้แน่ๆ (น่ะ ยังมั่นใจในตัวเองอีกนะ) ยังไม่สำนึกว่าเป็นการรเลือกที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ยังคงทำงานเป็น ครูอัตราจ้าง อย่างสนุกสนานในโรงเรียนรัฐบาลแห่งนี้ เป็นเวลาถึง 2 ปี
และระหว่างทำงานที่นี่ ก็สอบมันทุกครั้ง ที่เค้ามีเปิดสอบ จำได้ว่าน่าจะ 2 ครั้ง ของกทม.และของสพฐ.
พีคที่ 2 คือสอบติดของสพฐ. ได้อันดับ 38 แม่เจ้าโว้ยยยยย บุญมี แต่กรรมบัง จดหมายจากสพฐ.ส่งมาแจ้งว่า การสอบเป็นโมฆะ เพราะวุฒิการศึกษาของเรา กคศ. ยังไม่รับรอง (ซึ่งใครที่จะสอบเป็นครู ต้องเข้าไปเช็คในเว็บ ว่าคณะและเอกที่เราจบมา กคศ. รับรองหรือยัง ถ้ายังต้องทำเรื่องไปที่มหาวิทยาลัยเรา ให้ฝ่ายวิชาการดำเนินเรื่องขอให้เค้าส่งเรื่องไปให้กคศ.รับรอง) สรุปไม่รู้เค้าเรียกถึงหรือไม่ถึงอันดับเรา แต่ที่รู้ๆ การสอบเรา เป็นโมฆะไปแล้ว
หลังจากทำงานรร.รัฐบาลได้ 2 ปี ก็ลาออกมา ด้วยเหตุผลส่วนตัว และรู้สึกเสียดายที่ลาออกมา เพราะถ้าทำงานครบ 3 ปี จะได้สอบภายใน และมีโอกาสได้รับการบรรจุสูงมาก เพราะคู่แข่งน้อย แต่ไม่ยอมอดทนรอ ดันลาออกมาก่อน
และพีคที่ 3 คือ ไม่รู้ว่า เอาสัญญาจ้าง ที่ทำกับโรงเรียนเดิม ไปต่อกับโรงเรียนใหม่ได้ ให้ครบ 3 ปี แล้วก็จะมีสิทธิ์สอบภายในเหมือนกัน เพิ่งมารู้ตอนทำงานที่อื่นผ่านไปแล้ว 4 ปี (ชิหายยยยยยยย ชีวิต)
เดี๋ยวมาต่อ มีอีกหลายพีคคคคคคค
ปล.สำหรับใครที่อยากได้คำแนะนำเรื่องการสอบราชการ เรายินดีแนะนำให้ฟรีนะ (คิดเงินก็บ้าแล้ว) เข้ามาคุยกันได้ที่ www.facebook.com/koonkrufai
กว่าจะได้เป็น "ข้าราชการ"
สวัสดีค่ะ ตั้งใจจะบันทึกเรื่องราวส่วนตัวนี้ลงใน facebook แต่คิดอีกที เรามี user ของ pantip นี่หน่า เอาลง pantip ละกัน เผื่อคนเห็นเยอะกว่า จะได้เป็นกำลังใจให้กับเด็กรุ่นใหม่ หรือคนวัยเก๋า ที่ใกล้จะหมดไฟ กับการสอบบรรจุข้าราชการ
เส้นทางสู่ข้าราชการของใครๆ มันมีที่มาไม่เหมือนกัน บางคนสอบครั้งเดียวติด บางคนเป็นสิบปี สอบไม่ติดสักที
บางคนเห็นคุณค่าของการได้เป็นข้าราชการ บางคนเบื่อหน่ายอยากเปลี่ยนอาชีพสะเหลือเกิน
แต่สำหรับเรา ไม่เคยคิดที่จะเป็นข้าราชการเลย !!!!
ขอแบ่งการเล่าเรื่องเป็น 3 พาท ล่ะกัน จุดเริ่ม จุดพีค และจุดจบ และมีของแถมคือการอธิบายการสอบข้าราชการต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางให้กับเด็กๆที่กำลังอยากสอบรับราชการ เพื่อเป็นข้าของแผ่นดิน เพื่อทำงานรับใช้ในหลวง และเพื่อทำงานรับใช้ประชาชนชาวไทย
พาท 1 จุดเริ่มต้น
พ่อแม่ทุกคนก็คงอยากให้ลูกรับราชการ เพราะเป็นความมั่นคงสูงสุด ที่จะทำให้พ่อแม่นอนตายตาหลับ ไม่ต้องเป็นห่วงลูก พ่อแม่เราก็เช่นกัน พูดกรอกหูตั้งแต่เด็ก ให้เราเป็นข้าราชการ ซึ่งตอนเด็กๆก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แค่ว่ามันต้องทำงานเข้าตามเวลา เลิกตามเวลา และทำงานอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งตอนนั้นแอนตี้มาก เพราะเป็นเด็กสายนิเทศ เรียนจบนิเทศศาสตร์ ทำงานนอกสถานที่ ทำงานลุย ทำงานไม่เป็นเวลา จึงไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นข้าราชการ
หลังจากเรียนจบ ด้วยความที่เรียนค่อนข้างเก่ง จึงเลือกงาน อีโก้สุง งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ไปทำงานเป็น Tele sale ตามคำชวนของเพื่อน (ระหว่างรองานที่ชอบ) งานนี้ก็คือขายประกันทางโทรศัพท์ ด้วยความเป็นคนพูดเก่ง จึงขายได้ และสนุกกับงานนี้เป็นเวลา 4 เดือน จนถึงจุดที่ ไม่เอาละ ไม่อยากทำละ จึงเริ่มหางานที่ตัวเอง ชอบ มาตั้งแต่เด็ก นั่นคือ "ครู"
บางคนแอบด่าเราละว่าชอบครู ทำไมไม่เรียนครู ไปเรียนนิเทศศาสตร์ทำไม ขอเล่าย้อนไปนิดนึงว่าตอนเด็กๆชอบดูละครมาก อยากเป็นดารา อยากดัง อยากมีเพื่อนเป็นดารา อยากอะไรก็ได้ที่ได้ออกทีวี และรู้มาว่าถ้าเรียนนิเทศศาสตร์จะได้เจอดารา จะได้ทำงานในวงการ รู้แบบนี้ตั้งแต่ป.6 เลยเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่ป. 6 ว่าจะเรียนนิเทศศาสตร์ให้ได้ และความฝันก็เป็นจริง ได้เรียนนิเทศศาสตร์สมใจ
ซึ่งระหว่างทางของการเจริญเติบโตในช่วง 6 ปี ก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เจอกับครูที่เราชื่นชอบ ทำให้มีความฝันใหม่เกิดขึ้นว่าอยากเป็นครู เป็นความฝันลึกๆ ที่ยังไม่อยากทำให้เป็นจริง คิดเอาว่า ไว้แก่ๆ สั่งสมประสบการณ์ได้เยอะๆ แล้วค่อยไปสมัครเป็นครูละกัน คิดแบบนี้จริงๆ
ออกตัวก่อนว่า ทุกความคิดที่อยากเป็น พ่อแม่ไม่เคยรู้เลย เพราะพ่อเรียนจบแค่อนุปริญญา แม่เรียนจบปกศ.สูง ทำให้พ่อและแม่ไม่สามารถชี้แนะแนวทางในการเรียนด้านต่างๆได้ เราจึงคิดเองเออเองทุกอย่าง และช่วงนั้นไม่ได้มีอินเตอร์เน็ตให้ขวยขวายหาความรู้เหมือนทุกวันนี้
เข้าสู่วัยมหาวิทยาลัย ก็เจอกับอาจารย์ที่เราชื่นชอบอีก ทำให้ความฝันของความเป็นครู ผุดขึ้นมาอีก คิดว่าจะต้องเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยให้ได้ จะสอนเหมือนอาจารย์คนนี้ จะทำให้เด็กรักเหมือนอาจารย์คนนี้ ความอยากเป็นครูเริ่มประทุขึ้นมาเรื่อยๆล่ะ
ต่อ เรื่องการทำงาน หลังจากลาออกจาก Tele Sale ก็เลยนึกถึงความฝันที่อยากเป็นครู จึงเจาะจงหาสมัครงานในโรงเรียน และพอดีมีโรงเรียนแถวบ้านรับสมัครคนดูแลคอมพิวเตอร์ในห้องสมุด ซึ่งไม่ต้องใช้วุฒิครู เราก็รีบไปสมัคร และได้ทำงานที่โรงเรียนนั้น
เมื่อทำไปได้ 1 เดือน พี่ที่ทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด แนะนำว่าให้ไปเรียนต่อป.บัณฑิตวิชาชีพครูสิ จะได้มาสอบเป็นข้าราชการ
เห้ยยยยยยย นี่แหละ จุดเริ่มต้นของความคิดที่ว่า ฉันจะต้องเป็นข้าราชการให้ได้ !!!!! (ขอบคุณพี่ต้อง มากๆ ที่เป็นผู้จุดประกายเส้นทางสู่ดินของหนู)
พาท 2 จุดพีค
จริงๆมันก็ยังไม่พีคนะ เพราะมันมีพีคโคตรหลายรอบ 555555
หลังจากได้รับคำแนะนำให้เรียนป.บัณฑิต เราก็ชวนเพื่อนไปเรียนด้วยกัน 1 ปี จนจบ ได้ใบประกอบวิชาชีพครูมาสมใจ หลังจากนี้ก็คือหาสนามสอบที่เค้ารับเอกที่ตรงกับเรา ซึ่งเราวางเป้าหมายไว้ว่า อายุ 25 จะต้องสอบเป็นข้าราชการให้ได้ (รอดูตอนจบนะว่าสำเร็จภายในอายุ 25 มั้ย)
เรียนป.บัณฑิตจบในปี 2554 เพื่อนที่เราชวนไปเรียนด้วย ก็มาชวนเราไปสอบครูกทม. ตอนนั้นครูกทม.เปิดรับในเอกโสต ซึ่งตรงกับเอกเราพอดี(นิเทศศาสตร์ วิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์) แต่เราปฏิเสธเพื่อน ไม่ไปสมัครสอบ เพราะกลัวได้ !!!!!! ตลกมั้ยละ กลัวสอบติด 5555555
เพราะความที่ยังวัยรุ่น เพิ่งเข้าทำงานในโรงเรียนใหม่ๆ ยังสนุกกับการทำงานอยู่ อ้อออออ และสนุกกับการสอนด้วย เพราะโรงเรียนจัดให้เราสอนชมรม และวิชาเลือกเสรี ซึ่งวิชาเลือกเสรี แล้วแต่ครูผู้สอนว่าจะสอนวิชาอะไรให้กับเด็ก เราก็สนุกมากๆกับการสอนที่โรงเรียนแห่งนี้ จนรู้สึกว่า ไม่อยากไปสอบ อยากทำงานที่นี่ ซึ่งเป็นแค่ครูอัตราจ้าง
พีคที่ 1 เพื่อนสอบติด อันดับที่ 9 ได้เรียกบรรจุรอบแรก โคตรยินดีกับมันเลย และคิดว่า ดีนะที่เราไม่ไปสอบ ถ้าสอบต้องได้แน่ๆ (น่ะ ยังมั่นใจในตัวเองอีกนะ) ยังไม่สำนึกว่าเป็นการรเลือกที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ยังคงทำงานเป็น ครูอัตราจ้าง อย่างสนุกสนานในโรงเรียนรัฐบาลแห่งนี้ เป็นเวลาถึง 2 ปี
และระหว่างทำงานที่นี่ ก็สอบมันทุกครั้ง ที่เค้ามีเปิดสอบ จำได้ว่าน่าจะ 2 ครั้ง ของกทม.และของสพฐ.
พีคที่ 2 คือสอบติดของสพฐ. ได้อันดับ 38 แม่เจ้าโว้ยยยยย บุญมี แต่กรรมบัง จดหมายจากสพฐ.ส่งมาแจ้งว่า การสอบเป็นโมฆะ เพราะวุฒิการศึกษาของเรา กคศ. ยังไม่รับรอง (ซึ่งใครที่จะสอบเป็นครู ต้องเข้าไปเช็คในเว็บ ว่าคณะและเอกที่เราจบมา กคศ. รับรองหรือยัง ถ้ายังต้องทำเรื่องไปที่มหาวิทยาลัยเรา ให้ฝ่ายวิชาการดำเนินเรื่องขอให้เค้าส่งเรื่องไปให้กคศ.รับรอง) สรุปไม่รู้เค้าเรียกถึงหรือไม่ถึงอันดับเรา แต่ที่รู้ๆ การสอบเรา เป็นโมฆะไปแล้ว
หลังจากทำงานรร.รัฐบาลได้ 2 ปี ก็ลาออกมา ด้วยเหตุผลส่วนตัว และรู้สึกเสียดายที่ลาออกมา เพราะถ้าทำงานครบ 3 ปี จะได้สอบภายใน และมีโอกาสได้รับการบรรจุสูงมาก เพราะคู่แข่งน้อย แต่ไม่ยอมอดทนรอ ดันลาออกมาก่อน
และพีคที่ 3 คือ ไม่รู้ว่า เอาสัญญาจ้าง ที่ทำกับโรงเรียนเดิม ไปต่อกับโรงเรียนใหม่ได้ ให้ครบ 3 ปี แล้วก็จะมีสิทธิ์สอบภายในเหมือนกัน เพิ่งมารู้ตอนทำงานที่อื่นผ่านไปแล้ว 4 ปี (ชิหายยยยยยยย ชีวิต)
เดี๋ยวมาต่อ มีอีกหลายพีคคคคคคค
ปล.สำหรับใครที่อยากได้คำแนะนำเรื่องการสอบราชการ เรายินดีแนะนำให้ฟรีนะ (คิดเงินก็บ้าแล้ว) เข้ามาคุยกันได้ที่ www.facebook.com/koonkrufai