พระโสดาบัน ต้องอาบัติ ยังต้องรับกรรมจาก อาบัตินั้นอยู่หรือเปล่า

เพราะขนาด พระอรหันต์ ยังอาบัติได้เลย

อรหันตสโมหปัญหา ที่ ๘

ราชา สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีพระราชโองการถามอรรถปัญหาอื่นสืบไปว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชาญาณ อรหา สโมโห วิคตโมโห พระอรหันต์เจ้าประกอบด้วยโมหะ หรือมีโมหะปราศไปแล้ว

พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร ธรรมดาว่าพระอรหันต์แล้วปราศจากโมหะ ขอถวายพระพร

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีจึงมีพระราชโองการถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชาญาณ พระอรหันต์เจ้าท่านต้องอาบัติบ้างหรือไม่

พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร พระอรหันต์เจ้าท่านยังต้องอาบัติอยู่

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการถามว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา พระอรหันต์ต้องอาบัตินั้น ต้องในวัตถุใดบ้าง พระผู้เป็นเจ้า

พระนาคเสนมีเถรวาจาว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร พระอรหันต์เจ้านั้นท่านต้องอาบัติด้วยสร้างกุฎีวัตถุ ๑ ด้วยสำคัญเวลาผิด เวลากินเข้าใจเสียว่าเป็นกาลวัตถุ ๑ ด้วยสำคัญเหตุผิด ห้ามภัตแล้วเข้าใจว่ายังไม่ได้ห้ามวัตถุ ๑ ด้วยสำคัญสิ่งของผิดสิ่งของไม่เป็นเดนเข้าใจว่าเป็นเดนวัตถุ ๑ ขอถวายพระพร

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นกษัตริย์จึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชาญาณ วัตถุที่พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ เมื่อว่าโดยอาการที่ต้องอาบัติ ก็คงเป็นอันว่าพระอรหันต์เจ้านั้น ต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ อย่าง คือต้องด้วยไม่เอื้อเฟื้ออย่าง ๑ ต้องด้วยไม่รู้อย่าง ๑ โยมไม่เห็นด้วย ธรรมดาพระอรหันต์นั้นท่านจะไม่เอื้อเฟื้อฝ่าฝืนขืนกระทำทีเดียวหรือ พระผู้เป็นเจ้า

พระนาคเสนจึงเถรวาจาว่า น หิ มหาราช ขอถวายพระพร พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายจะไม่มีความเอื้อเฟื้อฝ่าผืนต้องอาบัตินั้นหามิได้

พระเจ้ามิลินท์จึงมีพระราชโองการว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชาถ้ากระนั้นพระอรหันต์เจ้าจะต้องอาบัติด้วยเหตุใดเล่า โยมนี้สงสัยนักหนา นิมนต์พระผู้เป็นเจ้า
วิสัชนายกเหตุขึ้นแสดงให้โยมเข้าใจในกาลบัดนี้

พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร ลักษณะแห่งโทษมี ๒ ประการ เป็นปัณณัตติวัชชะประการ ๑ โลกวัชชะประการ ๑ อันว่าอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ สมเด็จพระทศพลญาณโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาว่าเป็นโลกวัชชะ เป็นโทษทั่วไปแก่สรรพสัตว์โลกทั้งปวง ปัณณัตติวัชชนะนั้น สมเด็จพระสัพพัญญูเข้าตรัสบัญญัติสิกขาบทแก่พระภิกษุฝ่ายเดียว ไม่เกี่ยวด้วยคฤหัสถ์ คือวิกาลโภชนสิกขาบท พระภิกษุบริโภคล่วงเวลามีโทษ ส่วนคฤหัสถ์หาโทษไม่ เว้นแต่ผู้ที่ได้มอบตัวเป็นอุบาสกอุบาสิกาสมาทานอุโบสถศีลประการ ๑ อันว่าภูตคามคือต้นไม้ โดยที่สุดกำหนดต่ำลงมาติณชาติต้นหญ้านั้นก็ดี ท่านว่าเทวดาสิงหมด จึงบัญญัติสิกขาบทห้ามไม่ได้ภิกษุตัดต้นไม้ถากหญ้า ถ้าฆราวาสทำหาโทษมิได้ประการ ๑ การเล่นน้ำว่ายน้ำเล่น ก็มีโทษแก่ภิกษุเท่านั้น ส่วนคฤหัสถ์ว่ายเล่นได้ไม่มีโทษท่านมิได้ห้ามประการ ๑ ทั้ง ๓ ประการที่กล่าวมานี้จัดเป็นปัณณัตติวัชชะ นี่แหละลักษณะโทษมี ๒ สถานดังนี้

ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร อันว่าโลกวัชชโทษ คืออกุศลกรรมบถ ๑๐ จะได้มีในสันดานแห่งพระอรหันต์หามิได้ ท่านมิได้ประพฤติล่วงเลย ส่วนปัณณัตติวัชชะ ถ้าข้อใดท่านยังไม่รู้ท่านกประพฤติล่วง มหาราช ขอถวายพระพร พระอรหันต์จะรู้ทั่วไปทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนพระสัพพัญญูเจ้านั้นหามิได้ เช่นชื่อและโคตรตระกูลเป็นต้นของหญิงชายทั้งหลายที่บรรดามีในพื้นปฐพีภูมิดลนี้ ท่านก็รู้ไม่ได้ทั่วทุกคนทุกบ้านทุกช่อง ที่ท่านรู้แน่นอนโดยถ่องแท้ทั่วทุกองค์ ก็แต่วิมุตติเท่านั้น นอกจากนั้นสุดแต่วิสัยของท่าน เป็นพระฉฬภิญญาหรือเตวิชชา หรืออุภโตภาควิมุตติเป็นต้น ก็รู้เฉพาะแต่ในวิสัยของตนๆ จะรู้ยิ่งขึ้นกว่าวิสัยของตนไปเป็นอันหามิได้เลย ไม่เหมือนสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้านั้นสารพัดที่จะรู้ทั่วไปทุกสิ่งทุกอย่าง พระอรหันต์ท่านรู้ไม่ถึง กระทำด้วยสำคัญผิดจากพุทธบัญญัติเหมือนบริโภคอาหารล่วงเวลาฉะนี้ ขอถวายพระพร

พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า สาธุ ผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้โยมสิ้นสงสัย โยมจะรับเอาถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าไว้ในกาลบัดนี้
http://84000.org/tipitaka/milin/milin.php?i=162
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่