หัวเรือของประเทศไทย ควรหันไปทางไหน by..TFEX

สวัสดีเพื่อนๆครับ
ห่างหายไปนานไม่ได้เข้ามาเลย หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะครับ
ไม่แน่ใจว่าสมาชิกเก่าๆและแก่ๆ ยังอยู่กันมากน้อยแค่ไหนครับ
ที่หายไปเพราะไม่มีอะไรห่วงกับเรื่องการเมืองเท่าไหร่ แต่ยังมีบางเรื่องรอดูว่ารัฐบาลนี้จะทำได้อย่างที่หวังไว้มั้ยแค่นั้น

ผมหันไปสนใจเรื่องการท่องเที่ยวกับครอบครัว และมองหาธุรกิจใหม่ๆพวกStart up แทน
กำลังจะจ้างเค้าทำแอพตัวนึงเป็นแอพที่มีประโยชน์สำหรับเด็ก ประมาณว่าเอาไว้ให้พ่อแม่ใช้ดูแลเด็กได้

ไหนๆก็ผ่านมาห้องการเมืองแล้ว อยากจะพูดซักเรื่องสองเรื่อง เกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศเราครับ
ช่วงนี้มีกระแสต่อต้านเหมืองทองเป็นอย่างมาก  เท่าที่ดูถ้าในมุมข้อกฎหมายแล้วอาจจะสามารถทำได้ต่อ หากแต่ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ควรตระหนักให้มากกว่านั้น ว่า "ประชาชนเรา และ สิ่งแวดล้อมเรา" สำคัญที่สุด  หรือ "เงิน และ สายสัมพันธ์" สำคัญที่สุด

ถ้าพูดถึงเงิน ผมหมายถึง2ทาง คือ 1.เงินที่เข้ารัฐ ซึ่งที่ผ่านมาเงินที่รัฐได้จากการทำเหมืองเมื่อเทียบกับเงินที่ผู้ได้รับสัมปานได้ไปนั้น อาจเรียกได้ว่า"เศษเงิน"เลยทีเดียว  อันนี้สรุปได้เลยว่าไม่น่าจะคุ้มอยู่แล้ว  2.เงินที่เข้ากระเป๋าผู้เกี่ยวข้องกับสัมปทาน อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงรัฐบาลปัจจุบันนี้นะครับ ผมพูดในภาพรวมที่ผ่านมาๆ  คือเคยได้ยินว่า ไม่มีใครได้สัมปทานเหมือง โดยไม่ได้จ่ายใต้โต๊ะ เว้นแต่..มีสายสัมพันธ์ คือหากไม่ได้จ่ายใต้โต๊ะก็ต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกสัมปทาน หรือมีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจและบารมีพอที่จะสั่งผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวได้

อย่างที่บอกข้างต้นว่า เท่าที่ดูถ้าในมุมข้อกฎหมายแล้วอาจจะสามารถทำได้  ซึ่งหากผู้ที่รับผิดชอบได้ตระหนักแล้วว่าประชาชนเราและสิ่งแวดล้อมเราสำคัญที่สุดแล้ว  รัฐบาลโดยท่านนายกต้องยกระดับความสำคัญในเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของ"นโยบาย" กล่าวคือ  ต้องกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศให้ชัด  ว่าอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชน ก็ไม่ต้องทำ

"ไม่ต้องทำ" คำนี้สั้นๆง่ายๆ และไม่ต้องไปตีความกฎหมาย/ข้อบังคับ หรือหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กันให้ยุ่งยากว่าคนที่อยู่รอบๆเหมืองท่านนั้นตายเพราะอะไร เพราะสารพิษจากเหมืองหรือเปล่า  

คำๆนี้จะสำเร็จได้ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องชัดเจน!

จบไปหนึ่งเรื่อง.


ขอต่ออีกเรื่องนะครับ นานๆมาที 555..

เรื่องนี้คาบเกี่ยวระหว่างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือในไตรมาสแรกของปีนี้จะเห็นว่ารัฐบาลระดมสรรพกำลังในการชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุน/มาตั้งโรงงานในบ้านเรา จนเกือบจะนำไปถึงการเช่าที่ดิน 99 ปี (จริงป่าวไม่รู้เรื่องนี้ อิอิ..)

ส่วนตัวผม(ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ อาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็ได้) ไม่สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสากรรมประเภทโรงงานเลยครับ  เว้นแต่จะเป็นอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตขึ้นพื้นฐานที่ประเทศจำเป็นต้องมี และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ซึ่งแน่นอนว่าโรงงานส่วนใหญ่แม้จะขอใบรง., มีISO หรือมาตรฐานอะไรก็แล้วแต่  ล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้ไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากให้มีเลย  เพียงเห็นว่าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว  ไม่ควรไปเชิญชวนใครที่ไหนประเทศอะไรมาตั้งโรงงานอีก..  สิ่งที่สนับสนุน  คือรัฐบาลควรส่งเสริมสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นทุนแก่คนไทย  นั่นคือ "ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นน้ำ"  

คงเดาไม่ยากใช่มั้ยครับว่าสิ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลหันหัวเรือประเทศไปหาก็คือ  "การเกษตร และ การท่องเที่ยว" หลายท่านคงคิดในใจว่า เค้าก็ทำอยู่แล้วนี่..  อันนี้ผมไม่เถียงครับ  แต่ผมคิดว่า ทำได้ยังไม่ดีพอ  ซึ่งถ้าทำได้ดีพอจริงๆ  ทำแค่สองอย่างนี้คนไทยก็รวยกว่าสิงคโปร์แล้วครับ เพราะสิงคโปร์แทบไม่มีต้นทุนอะไรที่เรามีเลย

ตัวอย่างที่ผมคิดว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ เช่น  ไทยเราส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกมานาน  แต่ทำไมเรากำหนดราคาข้าวไม่ได้เลย  ชาวนาจนมากๆเลย ..   เราติดอันดับผู้ส่งออกอันดับต้นๆของโลกอีกหลายอย่างทั้ง น้ำตาล, ยางพารา ฯลฯ  แต่ทำไมชาวสวนอ้อย ชาวสวนยาง  ยังเวียนว่ายตายเกิดกับวิกฤตราคาที่เราไม่เคยกำหนดได้ ..  ทำไมเราไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเกษตรได้ ในขณะที่เรามีเงินไปทำถนนและรถไฟฟ้าปีละหลายแสนล้าน

"เราไม่เคยยืนได้ด้วยขาของตัวเอง"  

ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเป็นเพราะอะไรแน่ ไม่ได้เก่งขนาดนั้น  แต่เท่าที่คิดเอาง่ายๆตามประสาคนธรรมดา  ผมคิดว่า  เรา(รัฐบาล)ยังทำได้ไม่ดีพอ  ยังมียุทธศาสตร์ที่ไม่ดีพอ  ทั้งภายใน(การบริหารจัดการ/วางแผนให้เกษตรกร-พ่อค้าคนกลาง) และภายนอก(การค้าระหว่างประเทศ/บทบาทในเวทีการค้าโลก)

ลองดูสิครับ ถ้าระดมสรรพกำลังถึงขนาดเกือบยอมให้ต่างชาติเช่าที่ดิน99ปี(ไม่มีอะไรจะเสีย)ได้แล้ว  ก็ลองระดมสรรพกำลังจัดระเบียบ/จัดสรร บริหารจัดการด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวให้ดีกว่านี้  ผมว่าคนไทยทั้งชาติก็อยู่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรงงานเพิ่มอีก

ส่วนตัวผมไม่เคยเห็นใครทำงานโรงงานแล้วรวยเลย  เห็นแต่อยู่ยังไงก็ยังงั้นตั้งแต่หนุ่มยันแก่  รายได้ยังสู้ชาวสวนบางคนที่เค้ารู้จักวางแผนการปลูก/ปรับตัวและพัฒนาตนเองไม่ได้เลย  เรื่องนี้คงไม่ต้องหาข้อพิสูจน์  ตามนิตยสาร/ในเน็ตเยอะแยะ บางคนรายได้เดือนเป็นแสน

ลองมองภาพว่าเกษตรกรทุกคนสามารถบริหารได้ดีเหมือนกันหมด โดยอานิสงส์ของนโยบายที่เยี่ยมยอดของรัฐ  คงมีรายได้กันมากกว่านี้แน่นอนครับ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมพยายามพูดถึง

ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวอาจจะไม่มีความเห็นอะไรมากเพราะในปัจจุบันเราทำได้ค่อนข้างดีแล้ว  ที่ว่าเราทำได้ค่อนข้างดี ไม่ใช่คนทำทั้งหมดนะครับ  แต่ธรรมชาติเค้าทำตัวของเค้าเอง  พูดง่ายๆคือมันสวยอยู่แล้ว  นอกเหนือจากนั้นคือวิถีชีวิตและงานสถาปัตยกรรมของคนไทยเรา ซึ่งน่าดึงดูดใจสำหรับชาวต่างชาติ

สิ่งที่ขาด ที่รัฐบาลควรกำหนดทิศทางและนโยบาย  คือ  "การรักษาธรรมชาติที่มันสวยอยู่แล้ว  ให้มันสวยตลอดไป"  จะทำอย่างไรครับ ให้มันสวยตลอดไป
เพราะเท่าที่เห็นทุกวันนี้(ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยว ไปมาเยอะ)  "ที่ไหนมีคนเที่ยวมาก  ที่นั่นเสื่อมโทรม"  มีแต่ขยะ  ต้นไม้ก็ถูกตัด เอาที่ไปทำรีสอร์ท-ร้านอาหารหมด

บอกได้เลยว่า  การรักษานั้นไม่ยากถ้าอยากทำ  แต่หากตอนนี้ไม่ทำจริงจัง ปล่อยให้เสื่อมโทรมหรือถูกทำลายไป   ครั้นจะสร้างขึ้นให้สวยเหมือนเก่า  ไม่ง่ายนะครับ..

คำแนะนำง่ายๆในเรื่องการท่องเที่ยวคือ การอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวต้องเริ่มต้นจากปลูกฝังจิตสำนึกของนักท่องเที่ยว"ไทย"ของเราให้ได้ก่อน  แล้วค่อยไปต่อยอดกับนักท่องเที่ยวจีน ยุโรป อเมริกา .. ล่าสุดผมไปภูทับเบิกไม่มีต่างชาติเลย มีแต่คนไทย  ปรากฎว่าสกปรกมาก ขยะตรึม  โทษใครไม่ได้  ก็ต้องโทษพี่ไทยเรากันเองเนี่ยแหละ  ทับเบิกทุกวันนี้จึงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก  ลองคิดถึงอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าสิครับ    ว่าทับเบิกจะเป็นอย่างไร ..

ใช้เวลาค่อนข้างนานเกือบชั่วโมงเขียนกระทู้นี้ หวังว่าจะส่งผลดีไม่มากก็น้อยต่อนโยบายด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวของประเทศไทยเราบ้างนะครับ เพราะเห็นเค้าว่ามีทีมงานของรัฐบาลคอยมอนิเตอร์อยู่ แต่หากไม่เกิดผลอะไรเลย  เอาไว้ผมชนะเลือกตั้งคราวหน้าก่อนค่อยว่าก้น 555..

สวัสดีครับ
TFEX (ธันวา ไกรฤกษ์)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่