สวัสดีเพื่อนๆครับ
ห่างหายไปนานไม่ได้เข้ามาเลย หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะครับ
ไม่แน่ใจว่าสมาชิกเก่าๆและแก่ๆ ยังอยู่กันมากน้อยแค่ไหนครับ
ที่หายไปเพราะไม่มีอะไรห่วงกับเรื่องการเมืองเท่าไหร่ แต่ยังมีบางเรื่องรอดูว่ารัฐบาลนี้จะทำได้อย่างที่หวังไว้มั้ยแค่นั้น
ผมหันไปสนใจเรื่องการท่องเที่ยวกับครอบครัว และมองหาธุรกิจใหม่ๆพวกStart up แทน
กำลังจะจ้างเค้าทำแอพตัวนึงเป็นแอพที่มีประโยชน์สำหรับเด็ก ประมาณว่าเอาไว้ให้พ่อแม่ใช้ดูแลเด็กได้
ไหนๆก็ผ่านมาห้องการเมืองแล้ว อยากจะพูดซักเรื่องสองเรื่อง เกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศเราครับ
ช่วงนี้มีกระแสต่อต้านเหมืองทองเป็นอย่างมาก เท่าที่ดูถ้าในมุมข้อกฎหมายแล้วอาจจะสามารถทำได้ต่อ หากแต่ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ควรตระหนักให้มากกว่านั้น ว่า "ประชาชนเรา และ สิ่งแวดล้อมเรา" สำคัญที่สุด หรือ "เงิน และ สายสัมพันธ์" สำคัญที่สุด
ถ้าพูดถึงเงิน ผมหมายถึง2ทาง คือ 1.เงินที่เข้ารัฐ ซึ่งที่ผ่านมาเงินที่รัฐได้จากการทำเหมืองเมื่อเทียบกับเงินที่ผู้ได้รับสัมปานได้ไปนั้น อาจเรียกได้ว่า"เศษเงิน"เลยทีเดียว อันนี้สรุปได้เลยว่าไม่น่าจะคุ้มอยู่แล้ว 2.เงินที่เข้ากระเป๋าผู้เกี่ยวข้องกับสัมปทาน อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงรัฐบาลปัจจุบันนี้นะครับ ผมพูดในภาพรวมที่ผ่านมาๆ คือเคยได้ยินว่า ไม่มีใครได้สัมปทานเหมือง โดยไม่ได้จ่ายใต้โต๊ะ เว้นแต่..มีสายสัมพันธ์ คือหากไม่ได้จ่ายใต้โต๊ะก็ต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกสัมปทาน หรือมีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจและบารมีพอที่จะสั่งผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวได้
อย่างที่บอกข้างต้นว่า เท่าที่ดูถ้าในมุมข้อกฎหมายแล้วอาจจะสามารถทำได้ ซึ่งหากผู้ที่รับผิดชอบได้ตระหนักแล้วว่าประชาชนเราและสิ่งแวดล้อมเราสำคัญที่สุดแล้ว รัฐบาลโดยท่านนายกต้องยกระดับความสำคัญในเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของ"นโยบาย" กล่าวคือ ต้องกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศให้ชัด ว่าอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชน ก็ไม่ต้องทำ
"ไม่ต้องทำ" คำนี้สั้นๆง่ายๆ และไม่ต้องไปตีความกฎหมาย/ข้อบังคับ หรือหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กันให้ยุ่งยากว่าคนที่อยู่รอบๆเหมืองท่านนั้นตายเพราะอะไร เพราะสารพิษจากเหมืองหรือเปล่า
คำๆนี้จะสำเร็จได้ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องชัดเจน!
จบไปหนึ่งเรื่อง.
ขอต่ออีกเรื่องนะครับ นานๆมาที 555..
เรื่องนี้คาบเกี่ยวระหว่างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือในไตรมาสแรกของปีนี้จะเห็นว่ารัฐบาลระดมสรรพกำลังในการชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุน/มาตั้งโรงงานในบ้านเรา จนเกือบจะนำไปถึงการเช่าที่ดิน 99 ปี (จริงป่าวไม่รู้เรื่องนี้ อิอิ..)
ส่วนตัวผม(ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ อาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็ได้) ไม่สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสากรรมประเภทโรงงานเลยครับ เว้นแต่จะเป็นอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตขึ้นพื้นฐานที่ประเทศจำเป็นต้องมี และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอนว่าโรงงานส่วนใหญ่แม้จะขอใบรง., มีISO หรือมาตรฐานอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากให้มีเลย เพียงเห็นว่าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรไปเชิญชวนใครที่ไหนประเทศอะไรมาตั้งโรงงานอีก.. สิ่งที่สนับสนุน คือรัฐบาลควรส่งเสริมสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นทุนแก่คนไทย นั่นคือ "ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นน้ำ"
คงเดาไม่ยากใช่มั้ยครับว่าสิ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลหันหัวเรือประเทศไปหาก็คือ "การเกษตร และ การท่องเที่ยว" หลายท่านคงคิดในใจว่า เค้าก็ทำอยู่แล้วนี่.. อันนี้ผมไม่เถียงครับ แต่ผมคิดว่า ทำได้ยังไม่ดีพอ ซึ่งถ้าทำได้ดีพอจริงๆ ทำแค่สองอย่างนี้คนไทยก็รวยกว่าสิงคโปร์แล้วครับ เพราะสิงคโปร์แทบไม่มีต้นทุนอะไรที่เรามีเลย
ตัวอย่างที่ผมคิดว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ เช่น ไทยเราส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกมานาน แต่ทำไมเรากำหนดราคาข้าวไม่ได้เลย ชาวนาจนมากๆเลย .. เราติดอันดับผู้ส่งออกอันดับต้นๆของโลกอีกหลายอย่างทั้ง น้ำตาล, ยางพารา ฯลฯ แต่ทำไมชาวสวนอ้อย ชาวสวนยาง ยังเวียนว่ายตายเกิดกับวิกฤตราคาที่เราไม่เคยกำหนดได้ .. ทำไมเราไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเกษตรได้ ในขณะที่เรามีเงินไปทำถนนและรถไฟฟ้าปีละหลายแสนล้าน
"เราไม่เคยยืนได้ด้วยขาของตัวเอง"
ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเป็นเพราะอะไรแน่ ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่เท่าที่คิดเอาง่ายๆตามประสาคนธรรมดา ผมคิดว่า เรา(รัฐบาล)ยังทำได้ไม่ดีพอ ยังมียุทธศาสตร์ที่ไม่ดีพอ ทั้งภายใน(การบริหารจัดการ/วางแผนให้เกษตรกร-พ่อค้าคนกลาง) และภายนอก(การค้าระหว่างประเทศ/บทบาทในเวทีการค้าโลก)
ลองดูสิครับ ถ้าระดมสรรพกำลังถึงขนาดเกือบยอมให้ต่างชาติเช่าที่ดิน99ปี(ไม่มีอะไรจะเสีย)ได้แล้ว ก็ลองระดมสรรพกำลังจัดระเบียบ/จัดสรร บริหารจัดการด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวให้ดีกว่านี้ ผมว่าคนไทยทั้งชาติก็อยู่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรงงานเพิ่มอีก
ส่วนตัวผมไม่เคยเห็นใครทำงานโรงงานแล้วรวยเลย เห็นแต่อยู่ยังไงก็ยังงั้นตั้งแต่หนุ่มยันแก่ รายได้ยังสู้ชาวสวนบางคนที่เค้ารู้จักวางแผนการปลูก/ปรับตัวและพัฒนาตนเองไม่ได้เลย เรื่องนี้คงไม่ต้องหาข้อพิสูจน์ ตามนิตยสาร/ในเน็ตเยอะแยะ บางคนรายได้เดือนเป็นแสน
ลองมองภาพว่าเกษตรกรทุกคนสามารถบริหารได้ดีเหมือนกันหมด โดยอานิสงส์ของนโยบายที่เยี่ยมยอดของรัฐ คงมีรายได้กันมากกว่านี้แน่นอนครับ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมพยายามพูดถึง
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวอาจจะไม่มีความเห็นอะไรมากเพราะในปัจจุบันเราทำได้ค่อนข้างดีแล้ว ที่ว่าเราทำได้ค่อนข้างดี ไม่ใช่คนทำทั้งหมดนะครับ แต่ธรรมชาติเค้าทำตัวของเค้าเอง พูดง่ายๆคือมันสวยอยู่แล้ว นอกเหนือจากนั้นคือวิถีชีวิตและงานสถาปัตยกรรมของคนไทยเรา ซึ่งน่าดึงดูดใจสำหรับชาวต่างชาติ
สิ่งที่ขาด ที่รัฐบาลควรกำหนดทิศทางและนโยบาย คือ "การรักษาธรรมชาติที่มันสวยอยู่แล้ว ให้มันสวยตลอดไป" จะทำอย่างไรครับ ให้มันสวยตลอดไป
เพราะเท่าที่เห็นทุกวันนี้(ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยว ไปมาเยอะ) "ที่ไหนมีคนเที่ยวมาก ที่นั่นเสื่อมโทรม" มีแต่ขยะ ต้นไม้ก็ถูกตัด เอาที่ไปทำรีสอร์ท-ร้านอาหารหมด
บอกได้เลยว่า การรักษานั้นไม่ยากถ้าอยากทำ แต่หากตอนนี้ไม่ทำจริงจัง ปล่อยให้เสื่อมโทรมหรือถูกทำลายไป ครั้นจะสร้างขึ้นให้สวยเหมือนเก่า ไม่ง่ายนะครับ..
คำแนะนำง่ายๆในเรื่องการท่องเที่ยวคือ การอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวต้องเริ่มต้นจากปลูกฝังจิตสำนึกของนักท่องเที่ยว"ไทย"ของเราให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปต่อยอดกับนักท่องเที่ยวจีน ยุโรป อเมริกา .. ล่าสุดผมไปภูทับเบิกไม่มีต่างชาติเลย มีแต่คนไทย ปรากฎว่าสกปรกมาก ขยะตรึม โทษใครไม่ได้ ก็ต้องโทษพี่ไทยเรากันเองเนี่ยแหละ ทับเบิกทุกวันนี้จึงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก ลองคิดถึงอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าสิครับ ว่าทับเบิกจะเป็นอย่างไร ..
ใช้เวลาค่อนข้างนานเกือบชั่วโมงเขียนกระทู้นี้ หวังว่าจะส่งผลดีไม่มากก็น้อยต่อนโยบายด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวของประเทศไทยเราบ้างนะครับ เพราะเห็นเค้าว่ามีทีมงานของรัฐบาลคอยมอนิเตอร์อยู่ แต่หากไม่เกิดผลอะไรเลย เอาไว้ผมชนะเลือกตั้งคราวหน้าก่อนค่อยว่าก้น 555..
สวัสดีครับ
TFEX (ธันวา ไกรฤกษ์)
หัวเรือของประเทศไทย ควรหันไปทางไหน by..TFEX
ห่างหายไปนานไม่ได้เข้ามาเลย หวังว่าทุกท่านคงสบายดีนะครับ
ไม่แน่ใจว่าสมาชิกเก่าๆและแก่ๆ ยังอยู่กันมากน้อยแค่ไหนครับ
ที่หายไปเพราะไม่มีอะไรห่วงกับเรื่องการเมืองเท่าไหร่ แต่ยังมีบางเรื่องรอดูว่ารัฐบาลนี้จะทำได้อย่างที่หวังไว้มั้ยแค่นั้น
ผมหันไปสนใจเรื่องการท่องเที่ยวกับครอบครัว และมองหาธุรกิจใหม่ๆพวกStart up แทน
กำลังจะจ้างเค้าทำแอพตัวนึงเป็นแอพที่มีประโยชน์สำหรับเด็ก ประมาณว่าเอาไว้ให้พ่อแม่ใช้ดูแลเด็กได้
ไหนๆก็ผ่านมาห้องการเมืองแล้ว อยากจะพูดซักเรื่องสองเรื่อง เกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศเราครับ
ช่วงนี้มีกระแสต่อต้านเหมืองทองเป็นอย่างมาก เท่าที่ดูถ้าในมุมข้อกฎหมายแล้วอาจจะสามารถทำได้ต่อ หากแต่ผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ควรตระหนักให้มากกว่านั้น ว่า "ประชาชนเรา และ สิ่งแวดล้อมเรา" สำคัญที่สุด หรือ "เงิน และ สายสัมพันธ์" สำคัญที่สุด
ถ้าพูดถึงเงิน ผมหมายถึง2ทาง คือ 1.เงินที่เข้ารัฐ ซึ่งที่ผ่านมาเงินที่รัฐได้จากการทำเหมืองเมื่อเทียบกับเงินที่ผู้ได้รับสัมปานได้ไปนั้น อาจเรียกได้ว่า"เศษเงิน"เลยทีเดียว อันนี้สรุปได้เลยว่าไม่น่าจะคุ้มอยู่แล้ว 2.เงินที่เข้ากระเป๋าผู้เกี่ยวข้องกับสัมปทาน อันนี้ผมไม่ได้หมายถึงรัฐบาลปัจจุบันนี้นะครับ ผมพูดในภาพรวมที่ผ่านมาๆ คือเคยได้ยินว่า ไม่มีใครได้สัมปทานเหมือง โดยไม่ได้จ่ายใต้โต๊ะ เว้นแต่..มีสายสัมพันธ์ คือหากไม่ได้จ่ายใต้โต๊ะก็ต้องมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการออกสัมปทาน หรือมีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจและบารมีพอที่จะสั่งผู้ที่เกี่ยวข้องดังกล่าวได้
อย่างที่บอกข้างต้นว่า เท่าที่ดูถ้าในมุมข้อกฎหมายแล้วอาจจะสามารถทำได้ ซึ่งหากผู้ที่รับผิดชอบได้ตระหนักแล้วว่าประชาชนเราและสิ่งแวดล้อมเราสำคัญที่สุดแล้ว รัฐบาลโดยท่านนายกต้องยกระดับความสำคัญในเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของ"นโยบาย" กล่าวคือ ต้องกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศให้ชัด ว่าอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประชาชน ก็ไม่ต้องทำ
"ไม่ต้องทำ" คำนี้สั้นๆง่ายๆ และไม่ต้องไปตีความกฎหมาย/ข้อบังคับ หรือหาข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กันให้ยุ่งยากว่าคนที่อยู่รอบๆเหมืองท่านนั้นตายเพราะอะไร เพราะสารพิษจากเหมืองหรือเปล่า
คำๆนี้จะสำเร็จได้ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมต้องชัดเจน!
จบไปหนึ่งเรื่อง.
ขอต่ออีกเรื่องนะครับ นานๆมาที 555..
เรื่องนี้คาบเกี่ยวระหว่างนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบายด้านเศรษฐกิจ คือในไตรมาสแรกของปีนี้จะเห็นว่ารัฐบาลระดมสรรพกำลังในการชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศ ให้เข้ามาลงทุน/มาตั้งโรงงานในบ้านเรา จนเกือบจะนำไปถึงการเช่าที่ดิน 99 ปี (จริงป่าวไม่รู้เรื่องนี้ อิอิ..)
ส่วนตัวผม(ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ อาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็ได้) ไม่สนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสากรรมประเภทโรงงานเลยครับ เว้นแต่จะเป็นอุตสาหกรรมที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตขึ้นพื้นฐานที่ประเทศจำเป็นต้องมี และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแน่นอนว่าโรงงานส่วนใหญ่แม้จะขอใบรง., มีISO หรือมาตรฐานอะไรก็แล้วแต่ ล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากให้มีเลย เพียงเห็นว่าที่มีอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรไปเชิญชวนใครที่ไหนประเทศอะไรมาตั้งโรงงานอีก.. สิ่งที่สนับสนุน คือรัฐบาลควรส่งเสริมสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นทุนแก่คนไทย นั่นคือ "ผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นน้ำ"
คงเดาไม่ยากใช่มั้ยครับว่าสิ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลหันหัวเรือประเทศไปหาก็คือ "การเกษตร และ การท่องเที่ยว" หลายท่านคงคิดในใจว่า เค้าก็ทำอยู่แล้วนี่.. อันนี้ผมไม่เถียงครับ แต่ผมคิดว่า ทำได้ยังไม่ดีพอ ซึ่งถ้าทำได้ดีพอจริงๆ ทำแค่สองอย่างนี้คนไทยก็รวยกว่าสิงคโปร์แล้วครับ เพราะสิงคโปร์แทบไม่มีต้นทุนอะไรที่เรามีเลย
ตัวอย่างที่ผมคิดว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ เช่น ไทยเราส่งออกข้าวมากที่สุดในโลกมานาน แต่ทำไมเรากำหนดราคาข้าวไม่ได้เลย ชาวนาจนมากๆเลย .. เราติดอันดับผู้ส่งออกอันดับต้นๆของโลกอีกหลายอย่างทั้ง น้ำตาล, ยางพารา ฯลฯ แต่ทำไมชาวสวนอ้อย ชาวสวนยาง ยังเวียนว่ายตายเกิดกับวิกฤตราคาที่เราไม่เคยกำหนดได้ .. ทำไมเราไม่สามารถบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเกษตรได้ ในขณะที่เรามีเงินไปทำถนนและรถไฟฟ้าปีละหลายแสนล้าน
"เราไม่เคยยืนได้ด้วยขาของตัวเอง"
ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าเป็นเพราะอะไรแน่ ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แต่เท่าที่คิดเอาง่ายๆตามประสาคนธรรมดา ผมคิดว่า เรา(รัฐบาล)ยังทำได้ไม่ดีพอ ยังมียุทธศาสตร์ที่ไม่ดีพอ ทั้งภายใน(การบริหารจัดการ/วางแผนให้เกษตรกร-พ่อค้าคนกลาง) และภายนอก(การค้าระหว่างประเทศ/บทบาทในเวทีการค้าโลก)
ลองดูสิครับ ถ้าระดมสรรพกำลังถึงขนาดเกือบยอมให้ต่างชาติเช่าที่ดิน99ปี(ไม่มีอะไรจะเสีย)ได้แล้ว ก็ลองระดมสรรพกำลังจัดระเบียบ/จัดสรร บริหารจัดการด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวให้ดีกว่านี้ ผมว่าคนไทยทั้งชาติก็อยู่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโรงงานเพิ่มอีก
ส่วนตัวผมไม่เคยเห็นใครทำงานโรงงานแล้วรวยเลย เห็นแต่อยู่ยังไงก็ยังงั้นตั้งแต่หนุ่มยันแก่ รายได้ยังสู้ชาวสวนบางคนที่เค้ารู้จักวางแผนการปลูก/ปรับตัวและพัฒนาตนเองไม่ได้เลย เรื่องนี้คงไม่ต้องหาข้อพิสูจน์ ตามนิตยสาร/ในเน็ตเยอะแยะ บางคนรายได้เดือนเป็นแสน
ลองมองภาพว่าเกษตรกรทุกคนสามารถบริหารได้ดีเหมือนกันหมด โดยอานิสงส์ของนโยบายที่เยี่ยมยอดของรัฐ คงมีรายได้กันมากกว่านี้แน่นอนครับ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมพยายามพูดถึง
ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวอาจจะไม่มีความเห็นอะไรมากเพราะในปัจจุบันเราทำได้ค่อนข้างดีแล้ว ที่ว่าเราทำได้ค่อนข้างดี ไม่ใช่คนทำทั้งหมดนะครับ แต่ธรรมชาติเค้าทำตัวของเค้าเอง พูดง่ายๆคือมันสวยอยู่แล้ว นอกเหนือจากนั้นคือวิถีชีวิตและงานสถาปัตยกรรมของคนไทยเรา ซึ่งน่าดึงดูดใจสำหรับชาวต่างชาติ
สิ่งที่ขาด ที่รัฐบาลควรกำหนดทิศทางและนโยบาย คือ "การรักษาธรรมชาติที่มันสวยอยู่แล้ว ให้มันสวยตลอดไป" จะทำอย่างไรครับ ให้มันสวยตลอดไป
เพราะเท่าที่เห็นทุกวันนี้(ผมเป็นคนชอบท่องเที่ยว ไปมาเยอะ) "ที่ไหนมีคนเที่ยวมาก ที่นั่นเสื่อมโทรม" มีแต่ขยะ ต้นไม้ก็ถูกตัด เอาที่ไปทำรีสอร์ท-ร้านอาหารหมด
บอกได้เลยว่า การรักษานั้นไม่ยากถ้าอยากทำ แต่หากตอนนี้ไม่ทำจริงจัง ปล่อยให้เสื่อมโทรมหรือถูกทำลายไป ครั้นจะสร้างขึ้นให้สวยเหมือนเก่า ไม่ง่ายนะครับ..
คำแนะนำง่ายๆในเรื่องการท่องเที่ยวคือ การอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวต้องเริ่มต้นจากปลูกฝังจิตสำนึกของนักท่องเที่ยว"ไทย"ของเราให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปต่อยอดกับนักท่องเที่ยวจีน ยุโรป อเมริกา .. ล่าสุดผมไปภูทับเบิกไม่มีต่างชาติเลย มีแต่คนไทย ปรากฎว่าสกปรกมาก ขยะตรึม โทษใครไม่ได้ ก็ต้องโทษพี่ไทยเรากันเองเนี่ยแหละ ทับเบิกทุกวันนี้จึงเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก ลองคิดถึงอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้าสิครับ ว่าทับเบิกจะเป็นอย่างไร ..
ใช้เวลาค่อนข้างนานเกือบชั่วโมงเขียนกระทู้นี้ หวังว่าจะส่งผลดีไม่มากก็น้อยต่อนโยบายด้านการเกษตรและการท่องเที่ยวของประเทศไทยเราบ้างนะครับ เพราะเห็นเค้าว่ามีทีมงานของรัฐบาลคอยมอนิเตอร์อยู่ แต่หากไม่เกิดผลอะไรเลย เอาไว้ผมชนะเลือกตั้งคราวหน้าก่อนค่อยว่าก้น 555..
สวัสดีครับ
TFEX (ธันวา ไกรฤกษ์)