สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
การสร้างครอบครัวแบบพ่อแม่ลูกนี่ภาระหนักมากนะ ค่าใช้จ่ายบาน หน้าที่รับผิดชอบก็มากกว่าชีวิตโสดหลายเท่านัก ถ้าเหงาก็แค่มีแฟนพอ แต่ไม่ต้องสร้างครอบครัวให้ปวดหัวเรื่องเงินและหน้าที่ต่างๆ คนที่เขาอยู่จุดนั้นแล้วเขาไม่สนุกกับมัน เขาเลยเตือน และสมัยนี้ก็มีคนโสดที่มองเห็นแล้วว่าชีวิตแบบนั้นมันไม่สนุก ไม่ใช่สิ่งพึงปรารถนาของเขา เลยมีคนเลือกที่จะใช้ชีวิตโสดเยอะขึ้น
ปล. คำว่าชีวิตโสดนี่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องเหี่ยวแห้งตายไร้เซ็กซ์นะ
ปล. คำว่าชีวิตโสดนี่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องเหี่ยวแห้งตายไร้เซ็กซ์นะ
ความคิดเห็นที่ 6
ส่วนหนึ่งเพราะ คนอายุประมาณ 30 คือรุ่น เจเนอร์ชั่นที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยเฉพาะผญ. พ่อแม่เลี้ยงมาสบาย ไม่เคยต้องลำบากที่จะต้องพึ่งพาใครประกอบกับ เครื่องอำนวยความสะดวก อาหารการกินหาง่าย ออกไปก็มี 7 11 แล้ว มันเลยรู้สึกว่าไม่ต้องพึ่งพาใคร ดูในตัวความเห็นบนๆ ทัศนะคติเรื่องครอบครัวของผญ.ก้ไม่ดี คือมองเห็นแต่ปัญหา
ขณะที่คนสมัยก่อนมองว่ามีก่อนแล้วแก้ปัญหาไปทีละขั้น ในทางจิตวิทยาเรียกว่า Self efficacy ความเชื่อในความสามารถของตน แม้นเราจะเจอเรื่องที่มันดุหนักแย่ความเชื่อที่ว่าเราจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ มันจะทำให้เรามองเห็นหนทางที่จะทำให้สำเร็จ เราจะวางแผนแตกเป้าหมายออกเป็นจุดย่อยๆ ความเชื่อนี้มันติดตัวมากับมนุษย์ตั้งแต่สมัยที่อพยพออกจากแอฟริกา ความเชื่อที่ว่าเราจะต้องอยู่ต่อไปเราจะต้องหาหนทางที่จะอยู่รอดทำให้เราเกิดความคิดสร้างสันต์ ทำให้เราเป็นมนุษย์ทุกวันนี้ แต่ผญ.สมัยใหม่เกิดมาในสภาวะแวดล้อมที่สบายมากเกินไป มันไม่มีวิกฤตที่จะทำให้ลดอัตตาตนเองแล้วเข้ามาร่วมมือกัน ทีนี้พอมันสบายมากๆจะทำให้คนมันเปราะ กระจอกและอยากได้รับการปรนเปอรยิ่งๆขึ้นไป คือทัศนะคติมันต่างกัน คนหนึ่งบอกมีปัญหาแน่เลย อีกคนมีก็ปัญหาก็แก้ไป อย่างเช่น ผญ.สมัยก่อน หาบของ แบกของหนักๆ ไปขายทำมาหากิน แต่สมัยนี้แค่ผช.ไม่ลุกให้นั่งที่รถไฟฟ้า เอามาประจานกันเลย แต่สังคมไทยผญ.มีความกะล่อนทำให้พูดได้โดยไม่น่าเกลียด เช่น สุภาพบุรุษ หรือ ผช.เป็นเพศที่แข็งแรงกว่า ผญ.เป็นเพศแม่ อะไรงี้ แต่พอเรื่องงานอยากจะได้ตำแหน่ง ได้เงินมากๆ มาพุดเรื่องความเท่าเทียม คือสังคมไทยสองมาตราฐานมันมาจากผญ. แล้วเอาคำพุดมาพุดให้เรื่องทุเรศๆ กลายเป็นเรื่องเบาๆ
อีกอย่างผญ. เรียนมากขึ้น แต่ทัศนะคติที่ต้องการผช.มาเป็นสามีมันยังเหมือนเดิมเมื่อ 300 ปีที่แล้ว คือ ต้องหาคนที่เก่งกว่าเป็นผู้นำ ดูแลผญ.ได้ แต่ผช.มันมีตัวแข่งขันมากขึ้นจากผญ. ตัวเลือกที่ผญ.จะเลือกได้ก็มีน้อย ซึ่งมันผิดเมื่อจะเข้าสู่สมัยใหม่ค่านิยมก็ต้องใหม่ด้วย ไม่ใช่ทำงานได้ สินสอดก้จะเอา เลี้ยงก็ต้องเลี้ยง
อีกอันที่สังเกตุคือ เวลาผญ.พูดว่าถ้ามีไม่ดีจะมีทำไม ดีนี่แบบไหน ผญ.ต้องการมากเกินไป อ่านๆดูได้จากกระทู้ บางอันมันขัดกันเอง
หน้าตาดี รวย เป็นผู้นำ คุยเก่ง สูง สุขุม (คุยเก่งกับสุขุมไปกันได้ด้วย) ทำให้เรายิ้มได้ เป็นเพื่อน พี่ พ่อแม่ คือมันมากเกินไปสำหรับ มนุษย์ขี้เหม็นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
สังเกตุว่า ผญ.ช่วง 20 ต้นๆ จะเล่นตัวสเปคเยอะ แต่พอแก่ 30 ขึ้นก็จะเป็นอีกอย่าง ตอนเด็กเอาะๆ ชอบผช.หล่อ คุยเก่งน่ารัก แต่พออายุมากขึ้นกลับชอบผช.ที่ดูแลผญงได้ หน้าที่การงานดี ซึ่งมันขัดกันกับความต้องการ ผช. เพราะผช.ส่วนใหญ่ที่หน้าที่การงานดี ก็ชอบ อายุประมาณ น.ศ.ยังเรียนอยู่ ยังเอาะๆ แต่ผญ.ดันไม่ชอบหาว่าตาแก่ เรื่องของเรื่องคือผญ.ทำตัวเอง ถ้าตอน น.ศ.มีผช.ทำงานแล้วมาชอบ เป็นผู้ใหญ่ ดูแลได้ก็จบแล้ว ไม่มีเรื่อง ไม่มีปัญหา
อีกอันการแต่งงานในสังคมไทยมันไม่ได้จบแค่ ครอบครัวใครครอบครัวมัน มันมีญาติพี่น้อง คนอื่นๆ เช่นที่ผญ.ชอบพูดว่า รักเราก้ต้องรัก พ่อแม่เราด้วย มันก็ยิ่งลำบากที่จะปรับตัว แต่แปลกที่พอเวลาครอบครัวฝ่ายชายมีปัญหาผญ.มักไม่ช่วยเหลือ แต่พอฝ่ายตัวเองมีปัญหา ผญ.จะแจ้นเอาปัญหามาให้ผช.ช่วยทันที
ขณะที่คนสมัยก่อนมองว่ามีก่อนแล้วแก้ปัญหาไปทีละขั้น ในทางจิตวิทยาเรียกว่า Self efficacy ความเชื่อในความสามารถของตน แม้นเราจะเจอเรื่องที่มันดุหนักแย่ความเชื่อที่ว่าเราจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ มันจะทำให้เรามองเห็นหนทางที่จะทำให้สำเร็จ เราจะวางแผนแตกเป้าหมายออกเป็นจุดย่อยๆ ความเชื่อนี้มันติดตัวมากับมนุษย์ตั้งแต่สมัยที่อพยพออกจากแอฟริกา ความเชื่อที่ว่าเราจะต้องอยู่ต่อไปเราจะต้องหาหนทางที่จะอยู่รอดทำให้เราเกิดความคิดสร้างสันต์ ทำให้เราเป็นมนุษย์ทุกวันนี้ แต่ผญ.สมัยใหม่เกิดมาในสภาวะแวดล้อมที่สบายมากเกินไป มันไม่มีวิกฤตที่จะทำให้ลดอัตตาตนเองแล้วเข้ามาร่วมมือกัน ทีนี้พอมันสบายมากๆจะทำให้คนมันเปราะ กระจอกและอยากได้รับการปรนเปอรยิ่งๆขึ้นไป คือทัศนะคติมันต่างกัน คนหนึ่งบอกมีปัญหาแน่เลย อีกคนมีก็ปัญหาก็แก้ไป อย่างเช่น ผญ.สมัยก่อน หาบของ แบกของหนักๆ ไปขายทำมาหากิน แต่สมัยนี้แค่ผช.ไม่ลุกให้นั่งที่รถไฟฟ้า เอามาประจานกันเลย แต่สังคมไทยผญ.มีความกะล่อนทำให้พูดได้โดยไม่น่าเกลียด เช่น สุภาพบุรุษ หรือ ผช.เป็นเพศที่แข็งแรงกว่า ผญ.เป็นเพศแม่ อะไรงี้ แต่พอเรื่องงานอยากจะได้ตำแหน่ง ได้เงินมากๆ มาพุดเรื่องความเท่าเทียม คือสังคมไทยสองมาตราฐานมันมาจากผญ. แล้วเอาคำพุดมาพุดให้เรื่องทุเรศๆ กลายเป็นเรื่องเบาๆ
อีกอย่างผญ. เรียนมากขึ้น แต่ทัศนะคติที่ต้องการผช.มาเป็นสามีมันยังเหมือนเดิมเมื่อ 300 ปีที่แล้ว คือ ต้องหาคนที่เก่งกว่าเป็นผู้นำ ดูแลผญ.ได้ แต่ผช.มันมีตัวแข่งขันมากขึ้นจากผญ. ตัวเลือกที่ผญ.จะเลือกได้ก็มีน้อย ซึ่งมันผิดเมื่อจะเข้าสู่สมัยใหม่ค่านิยมก็ต้องใหม่ด้วย ไม่ใช่ทำงานได้ สินสอดก้จะเอา เลี้ยงก็ต้องเลี้ยง
อีกอันที่สังเกตุคือ เวลาผญ.พูดว่าถ้ามีไม่ดีจะมีทำไม ดีนี่แบบไหน ผญ.ต้องการมากเกินไป อ่านๆดูได้จากกระทู้ บางอันมันขัดกันเอง
หน้าตาดี รวย เป็นผู้นำ คุยเก่ง สูง สุขุม (คุยเก่งกับสุขุมไปกันได้ด้วย) ทำให้เรายิ้มได้ เป็นเพื่อน พี่ พ่อแม่ คือมันมากเกินไปสำหรับ มนุษย์ขี้เหม็นไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
สังเกตุว่า ผญ.ช่วง 20 ต้นๆ จะเล่นตัวสเปคเยอะ แต่พอแก่ 30 ขึ้นก็จะเป็นอีกอย่าง ตอนเด็กเอาะๆ ชอบผช.หล่อ คุยเก่งน่ารัก แต่พออายุมากขึ้นกลับชอบผช.ที่ดูแลผญงได้ หน้าที่การงานดี ซึ่งมันขัดกันกับความต้องการ ผช. เพราะผช.ส่วนใหญ่ที่หน้าที่การงานดี ก็ชอบ อายุประมาณ น.ศ.ยังเรียนอยู่ ยังเอาะๆ แต่ผญ.ดันไม่ชอบหาว่าตาแก่ เรื่องของเรื่องคือผญ.ทำตัวเอง ถ้าตอน น.ศ.มีผช.ทำงานแล้วมาชอบ เป็นผู้ใหญ่ ดูแลได้ก็จบแล้ว ไม่มีเรื่อง ไม่มีปัญหา
อีกอันการแต่งงานในสังคมไทยมันไม่ได้จบแค่ ครอบครัวใครครอบครัวมัน มันมีญาติพี่น้อง คนอื่นๆ เช่นที่ผญ.ชอบพูดว่า รักเราก้ต้องรัก พ่อแม่เราด้วย มันก็ยิ่งลำบากที่จะปรับตัว แต่แปลกที่พอเวลาครอบครัวฝ่ายชายมีปัญหาผญ.มักไม่ช่วยเหลือ แต่พอฝ่ายตัวเองมีปัญหา ผญ.จะแจ้นเอาปัญหามาให้ผช.ช่วยทันที
ความคิดเห็นที่ 12
เพื่อนที่แต่งงาน มีลูก เคยบอกว่ามันเป็นเรื่องของคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า แล้วแต่จะตัดสินใจ
แต่อยากให้มองอีกมุม ว่า การแต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องแค่คนสองคน
การแต่งงานคือเรื่องของครอบครัวสองครอบครัว คุณพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องราวของทั้งสองครอบครัวไหม?
การอยู่ร่วมกับคนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากอีกครอบครัวที่อาจเหมือนหรือต่างกับเรา ต้องมีการปรับตัว
แล้วคุณคิดว่า คุณกับคู่จะปรับตัวเข้าหากันด้วยความเข้าใจ ไปตลอดไหม?
การทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน งอนกัน เป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ คุณพร้อมที่จะให้อภัยและปรับทัศนคติตลอดเวลาไหม?
เมื่อมีชีวิตคู่ นอกจากการปรับตัว ก็มาเรื่องสองครอบครัว คุณพร้อมจะรับมือกับเรื่องราวในครอบครัวทั้งสองไหม?
นอกจากครอบครัว ถ้ามีลูก นี่คือการทดสอบความสามารถด้านชีวิตคู่ คุณพร้อมจะแบ่งเวลาดูแลลูกกันไหม?
เวลามีเรื่องลูก การทะเลาะกันจะหนักกว่าตอนไม่มีอีก ถ้าความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการเลี้ยงดู การใส่ใจ การแบ่งเวลา
ยิ่งตอนท้องของผู้หญิง จะมีเรื่องจุกจิกจิปาถะ อีก คุณพร้อมจะรับมือไปพร้อมกันไหม?
สุดท้ายปัญหาทางการเงินของชีวิตคู่ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องค่อยๆคิด
ถ้าคุณพร้อมจะแต่งงาน คุณต้องพร้อมรับมือปัญหาข้างต้น ซึ่งรายละเอียดแต่ละครอบครัว
ก็ตามแต่บริบทของครอบครัวนั้นๆ เมื่อคุณพร้อม คู่ของคุณพร้อมไหม ถ้าพร้อมและอยากจะปรับจูนกัน ก็มีชีวิตแต่งงาน
ส่วนชีวิตโสด แค่คุณรักตัวเอง รู้จักตัวเอง รักครอบครัว คุณก็จะหาความสุขได้ไม่ยากเลย
ความเหงา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะก่อนหน้าจะมีคู่ เราก็อยู่คนเดียว เกิดมาคนเดียว
ถึงจะมีคู่ก็ไม่ได้การันตีว่า เขาจะตายหลังเรา หรือเขาจะแก่ตายไปพร้อมๆกับเรา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า
เขาจะอยู่ช่วยคุณคิดนานกี่วัน กี่ชั่วโมง กี่วินาที ยังไงก็ต้องจากกันอยู่ดี แล้วก็กลับมาเหงาอีกอยู่ดี
คงประมาณนี้ค่ะ
แต่อยากให้มองอีกมุม ว่า การแต่งงาน มันไม่ใช่เรื่องแค่คนสองคน
การแต่งงานคือเรื่องของครอบครัวสองครอบครัว คุณพร้อมที่จะรับมือกับเรื่องราวของทั้งสองครอบครัวไหม?
การอยู่ร่วมกับคนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากอีกครอบครัวที่อาจเหมือนหรือต่างกับเรา ต้องมีการปรับตัว
แล้วคุณคิดว่า คุณกับคู่จะปรับตัวเข้าหากันด้วยความเข้าใจ ไปตลอดไหม?
การทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน งอนกัน เป็นเรื่องปกติของชีวิตคู่ คุณพร้อมที่จะให้อภัยและปรับทัศนคติตลอดเวลาไหม?
เมื่อมีชีวิตคู่ นอกจากการปรับตัว ก็มาเรื่องสองครอบครัว คุณพร้อมจะรับมือกับเรื่องราวในครอบครัวทั้งสองไหม?
นอกจากครอบครัว ถ้ามีลูก นี่คือการทดสอบความสามารถด้านชีวิตคู่ คุณพร้อมจะแบ่งเวลาดูแลลูกกันไหม?
เวลามีเรื่องลูก การทะเลาะกันจะหนักกว่าตอนไม่มีอีก ถ้าความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการเลี้ยงดู การใส่ใจ การแบ่งเวลา
ยิ่งตอนท้องของผู้หญิง จะมีเรื่องจุกจิกจิปาถะ อีก คุณพร้อมจะรับมือไปพร้อมกันไหม?
สุดท้ายปัญหาทางการเงินของชีวิตคู่ ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องค่อยๆคิด
ถ้าคุณพร้อมจะแต่งงาน คุณต้องพร้อมรับมือปัญหาข้างต้น ซึ่งรายละเอียดแต่ละครอบครัว
ก็ตามแต่บริบทของครอบครัวนั้นๆ เมื่อคุณพร้อม คู่ของคุณพร้อมไหม ถ้าพร้อมและอยากจะปรับจูนกัน ก็มีชีวิตแต่งงาน
ส่วนชีวิตโสด แค่คุณรักตัวเอง รู้จักตัวเอง รักครอบครัว คุณก็จะหาความสุขได้ไม่ยากเลย
ความเหงา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะก่อนหน้าจะมีคู่ เราก็อยู่คนเดียว เกิดมาคนเดียว
ถึงจะมีคู่ก็ไม่ได้การันตีว่า เขาจะตายหลังเรา หรือเขาจะแก่ตายไปพร้อมๆกับเรา คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า
เขาจะอยู่ช่วยคุณคิดนานกี่วัน กี่ชั่วโมง กี่วินาที ยังไงก็ต้องจากกันอยู่ดี แล้วก็กลับมาเหงาอีกอยู่ดี
คงประมาณนี้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 4
ผมก็อยู่เพิ่งคนเดียว คิดว่าอยู่คนเดียวดีแล้วเพราะไม่ต้องมีปัญหาภาระ นอกจากจะสามารถเจอเนื้อคู่ที่เข้ากันได้และไม่ทะเลาะกัน
ซึ่งนั่นต้องการความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจทั้งสองฝ่าย
สมัยนี้หาคู่ที่เป็นแบบนี้ได้ยากครับ สภาพสังคมที่สอนให้ทุกคนรักตัวเอง เติบโตในครอบครัวที่ให้ทุกอย่างตั้งแต่เล็ก
ทำให้เอาแต่ใจ และคิดถึงตัวเองมากกว่า เลยเกิดเป็นปัญหาครับ
ซึ่งนั่นต้องการความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจทั้งสองฝ่าย
สมัยนี้หาคู่ที่เป็นแบบนี้ได้ยากครับ สภาพสังคมที่สอนให้ทุกคนรักตัวเอง เติบโตในครอบครัวที่ให้ทุกอย่างตั้งแต่เล็ก
ทำให้เอาแต่ใจ และคิดถึงตัวเองมากกว่า เลยเกิดเป็นปัญหาครับ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมคนที่แต่งงานแล้วส่วนใหญ่บอกคนโสดวัย 30+ อย่างเราว่าอยู่เป็นโสดดีกว่า อย่าอยากมีแฟนแต่งงานเลย เพราะอะไรคะ