ทำไมต้องพัฒนาตัวเอง???
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดและเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้า
ให้กับหน้าที่การงานและชีวิต คนบางคนเริ่มต้นในโลกของอาชีพ ตั้งแต่ที่ยังไม่มีความรู้และประสบการณ์เท่าใดนัก
เมื่อเวลาผ่านไปความรู้และประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันบางคนเริ่มทำงานในโลกอาชีพพร้อมๆกับคนอื่น ประสบการณ์เพิ่มขึ้น
แต่ความรู้เท่าเดิม และยังมีบางคนที่ความรู้และประสบการณ์ ยังน้อยเท่าเดิม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน
ส่งผลให้มีความรู้และประสบการณ์น้อยกว่าความก้าวหน้านั้นด้วยซ้ำไป
มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองได้จริงหรือ???
จริงๆแล้วสามารถพัฒนาตนเองได้ ก็เพราะว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่ยืดหยุ่นได้ หากใช้เป็นก็จะเกิดคุณประโยชน์มากมาย
แต่หากใช้ไม่เป็นก็อาจก่อให้เกิดโทษมหันต์ ซึ่งธรรมชาติได้สร้างสมดุลให้แก่ตัวเอง โดยการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตนั้น คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอำนาจที่สุดหากบุคคลใดสามารถสร้างความผสมผสานระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งที่มีชีวิตด้วยกัน
และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตได้อย่างเหมาะสมที่สุด บุคคลนั้นก็จะกลายเป็นผู้ชนะนิรันดร์
วิธีการพัฒนาตนเอง???
บุคคลที่เป็นที่ยอมรับของคนในโลกยุคปัจจุบันนี้ ระหว่าง“คนเก่ง” และ “คนดี” ใครจะเป็นที่ยอมรับมากกว่ากัน????....
แน่นอนหละค่ะ.....ในสังคมนี้ “คนเก่ง” ก็ย่อมเป็นผู้ที่ถูกยอมรับและถูกเลือกอยู่แล้ว
ตรงกันข้าม “คนดี” นอกจากจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมแล้ว...แถมยังจะไม่มีพื้นที่ยืนอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้น โลกในยุคปัจจุบัน ทุกคนจึงพากันมุ่งพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อยกระดับหรืออัพเกรดตัวเองขึ้นมา
จนลืมสนใจและมองข้ามการพัฒนานิสัยของตนเอง จนในที่สุดก็ทำให้คนดีค่อยๆถูกสังคมกลืนหายไป หายไป และหายไป
เป็นเหตุให้สังคมเกิดปัญหาขึ้นมามากมาย เพราะมีแต่คนเก่งแต่ขาดคุณธรรมจึงนำความรู้ความสามารถไปใช้ในทางที่ผิด
ส่วนคนเก่งและคนดีนั้น โอ๊ย!! ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ขุดแล้วขุดอีก ขุดไปอีกลึกเท่าไหร่ก็หาได้อยากยิ่งค่ะ
หลักการพัฒนาตนเองพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
มนุษย์มีงานสำคัญที่ต้องทำให้ครบถ้วน 3 งาน คือ
1. งานอาชีพ>>>ทำเพื่อให้ได้ปัจจัย 4 เครื่องอุปโภคบริโภคมาใช้ในการดำรงชีพเพื่อสร้างความดีงานอาชีพจะอยู่ในรูป
ของงานรักษาองค์กร เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง
2. งานพัฒนานิสัย>>>เป็นการศึกษาธรรมะทั้งจากการอ่านหรือการสอบถามจากพระภิกษุหรือผู้รู้แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ
ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องหรือนิสัยที่ไม่ดีของตนเองเพื่อให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ลดการกระทบกระทั่ง
มีหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
3. งานพัฒนาจิตใจ >>>โดยอาศัยการปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา เพื่อรักษาใจให้สงบ ละเอียดสุขุม ได้รู้เห็นชีวิตตามความเป็นจริง
เมื่อใจได้รับการพัฒนาจะมีศักยภาพในการนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
แต่หลักการพัฒนาตนเองพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีทั้ง 3 งานดังกล่าวข้างต้นอย่างครบถ้วน โดยมีงานอาชีพหรือกิจวัตร
กิจกรรม ในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจ อาศัยร่างกายมนุษย์และปัจจัย 4 รวมถึงสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง ตั้งแต่ผู้คนรอบข้าง
และสรรพสิ่งต่างๆ เป็นอุปกรณ์ในการฝึก
ลำดับขั้นในการฝึกพัฒนาคุณธรรมจะเริ่มจากสิ่งใกล้ตัวออกไปสู่สิ่งไกลตัว หรือจากเรื่องง่ายๆ ไปสู่เรื่องยาก
ดังจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยขั้นตอนการฝึกพัฒนาคุณธรรม 8 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 1 ฝึกวินัยในตนเอง เช่น การตรงต่อเวลา มีกิจวัตรประจำวันสม่ำเสมอ ไม่บกพร่อง เป็นต้น
ขั้นที่ 2 ฝึกดูแลตนเอง เช่น ความสะอาดของร่างกายสุขภาพอนามัย อิริยาบถที่เหมาะสมในการทำงาน เป็นต้น
ขั้นที่ 3 ฝึกดูแลสมบัติส่วนตัว เช่น จัดพับเก็บสิ่งของของตนให้เรียบร้อย แยกแยะส่วนเกินและของจำเป็นได้ เป็นต้น
ขั้นที่ 4 ฝึกดูแลสมบัติส่วนรวม เช่น ความสะอาดของสาธารณสมบัติ ศาสนสมบัติ รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากหมู่คณะอย่างเต็มที่ เป็นต้น
ขั้นที่ 5 ฝึกมารยาทและศาสนพิธี เช่น มารยาทและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมต่อโอกาสสถานที่และสังคมต่างๆ เป็นต้น
ขั้นที่ 6 ฝึกรักษาและปฏิบัติตามวินัยของส่วนรวม เช่น ทำงานเป็นทีม อยู่ในกฎระเบียบและกฎหมาย รู้จักปรับตัวเข้าหาส่วนรวม เป็นต้น
ขั้นที่ 7 ศึกษาธรรมะ ทั้งภาคปริยัติ(ทฤษฎี) และภาคปฏิบัติ นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
ขั้นที่ 8 เป้าหมายมั่นคงชัดเจน เมื่อผ่านการฝึกทั้ง 7 ขั้นแล้ว กำลังใจและเป้าหมายในการสร้างความดีจะชัดเจนมั่นคง
บทฝึกทั้ง 8 ขั้นนี้เป็นขั้นตอนการฝึกคุณธรรมหรือนิสัยที่ดีให้เกิดขึ้นในจิตใจ แสดงให้เห็นถึงความเข้มข้นในการฝึกจากเรื่องหยาบ
ไปสู่เรื่องละเอียด จากเรื่องใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัวส่งผลให้คุณธรรมค่อยๆซึมซาบเข้าไปในจิตใจอย่างแน่นแฟ้น จนเป็นนิสัยที่ดีติดตัวไป
หากว่าเราทำและสามารถปฏิบัติกิจกรรมนี้ได้เป็นประจำและสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้แหละจะเป็นเครื่องหล่อหลอมนิสัยใจคอของคนเราให้มี
แบบแผนในการปฏิบัติตัว จนกลายมาเป็นอุปนิสัยประจำอย่างถาวรไปโดยปริยาย ทุกวันนี้สวยและเก่งยังต้องบอกว่าธรรมดา
แต่ถ้ามีนิสัยที่ดีด้วยแล้วใครๆ เขาก็อยากคบหา.........สวย+เก่ง+นิสัยดี แบบนี้เขาถึงเรียกว่า “เลอค่า” ค่ะ
พัฒนาตัวเองให้ "เลอค่า" ตามหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดและเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้า
ให้กับหน้าที่การงานและชีวิต คนบางคนเริ่มต้นในโลกของอาชีพ ตั้งแต่ที่ยังไม่มีความรู้และประสบการณ์เท่าใดนัก
เมื่อเวลาผ่านไปความรู้และประสบการณ์ก็เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันบางคนเริ่มทำงานในโลกอาชีพพร้อมๆกับคนอื่น ประสบการณ์เพิ่มขึ้น
แต่ความรู้เท่าเดิม และยังมีบางคนที่ความรู้และประสบการณ์ ยังน้อยเท่าเดิม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน
ส่งผลให้มีความรู้และประสบการณ์น้อยกว่าความก้าวหน้านั้นด้วยซ้ำไป
แต่หากใช้ไม่เป็นก็อาจก่อให้เกิดโทษมหันต์ ซึ่งธรรมชาติได้สร้างสมดุลให้แก่ตัวเอง โดยการให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตนั้น คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอำนาจที่สุดหากบุคคลใดสามารถสร้างความผสมผสานระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งที่มีชีวิตด้วยกัน
และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตได้อย่างเหมาะสมที่สุด บุคคลนั้นก็จะกลายเป็นผู้ชนะนิรันดร์
แน่นอนหละค่ะ.....ในสังคมนี้ “คนเก่ง” ก็ย่อมเป็นผู้ที่ถูกยอมรับและถูกเลือกอยู่แล้ว
ตรงกันข้าม “คนดี” นอกจากจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมแล้ว...แถมยังจะไม่มีพื้นที่ยืนอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้น โลกในยุคปัจจุบัน ทุกคนจึงพากันมุ่งพัฒนาความรู้ความสามารถเพื่อยกระดับหรืออัพเกรดตัวเองขึ้นมา
จนลืมสนใจและมองข้ามการพัฒนานิสัยของตนเอง จนในที่สุดก็ทำให้คนดีค่อยๆถูกสังคมกลืนหายไป หายไป และหายไป
เป็นเหตุให้สังคมเกิดปัญหาขึ้นมามากมาย เพราะมีแต่คนเก่งแต่ขาดคุณธรรมจึงนำความรู้ความสามารถไปใช้ในทางที่ผิด
ส่วนคนเก่งและคนดีนั้น โอ๊ย!! ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ขุดแล้วขุดอีก ขุดไปอีกลึกเท่าไหร่ก็หาได้อยากยิ่งค่ะ
1. งานอาชีพ>>>ทำเพื่อให้ได้ปัจจัย 4 เครื่องอุปโภคบริโภคมาใช้ในการดำรงชีพเพื่อสร้างความดีงานอาชีพจะอยู่ในรูป
ของงานรักษาองค์กร เพื่อให้องค์กรดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง
2. งานพัฒนานิสัย>>>เป็นการศึกษาธรรมะทั้งจากการอ่านหรือการสอบถามจากพระภิกษุหรือผู้รู้แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ
ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องหรือนิสัยที่ไม่ดีของตนเองเพื่อให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ลดการกระทบกระทั่ง
มีหลักในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
3. งานพัฒนาจิตใจ >>>โดยอาศัยการปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา เพื่อรักษาใจให้สงบ ละเอียดสุขุม ได้รู้เห็นชีวิตตามความเป็นจริง
เมื่อใจได้รับการพัฒนาจะมีศักยภาพในการนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่
กิจกรรม ในชีวิตประจำวันเป็นเครื่องหล่อหลอมจิตใจ อาศัยร่างกายมนุษย์และปัจจัย 4 รวมถึงสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง ตั้งแต่ผู้คนรอบข้าง
และสรรพสิ่งต่างๆ เป็นอุปกรณ์ในการฝึก
ดังจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยขั้นตอนการฝึกพัฒนาคุณธรรม 8 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้
ขั้นที่ 2 ฝึกดูแลตนเอง เช่น ความสะอาดของร่างกายสุขภาพอนามัย อิริยาบถที่เหมาะสมในการทำงาน เป็นต้น
ขั้นที่ 3 ฝึกดูแลสมบัติส่วนตัว เช่น จัดพับเก็บสิ่งของของตนให้เรียบร้อย แยกแยะส่วนเกินและของจำเป็นได้ เป็นต้น
ขั้นที่ 4 ฝึกดูแลสมบัติส่วนรวม เช่น ความสะอาดของสาธารณสมบัติ ศาสนสมบัติ รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากหมู่คณะอย่างเต็มที่ เป็นต้น
ขั้นที่ 5 ฝึกมารยาทและศาสนพิธี เช่น มารยาทและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสมต่อโอกาสสถานที่และสังคมต่างๆ เป็นต้น
ขั้นที่ 6 ฝึกรักษาและปฏิบัติตามวินัยของส่วนรวม เช่น ทำงานเป็นทีม อยู่ในกฎระเบียบและกฎหมาย รู้จักปรับตัวเข้าหาส่วนรวม เป็นต้น
ขั้นที่ 7 ศึกษาธรรมะ ทั้งภาคปริยัติ(ทฤษฎี) และภาคปฏิบัติ นำธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม
ขั้นที่ 8 เป้าหมายมั่นคงชัดเจน เมื่อผ่านการฝึกทั้ง 7 ขั้นแล้ว กำลังใจและเป้าหมายในการสร้างความดีจะชัดเจนมั่นคง
ไปสู่เรื่องละเอียด จากเรื่องใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัวส่งผลให้คุณธรรมค่อยๆซึมซาบเข้าไปในจิตใจอย่างแน่นแฟ้น จนเป็นนิสัยที่ดีติดตัวไป
แบบแผนในการปฏิบัติตัว จนกลายมาเป็นอุปนิสัยประจำอย่างถาวรไปโดยปริยาย ทุกวันนี้สวยและเก่งยังต้องบอกว่าธรรมดา
แต่ถ้ามีนิสัยที่ดีด้วยแล้วใครๆ เขาก็อยากคบหา.........สวย+เก่ง+นิสัยดี แบบนี้เขาถึงเรียกว่า “เลอค่า” ค่ะ