[ชำแหละ] มิติรักผ่านเลนส์ ตอน รุ้งสีเทา EP.3 | รักไม่มีอุปสรรค ไม่ใช่รักแท้

ก่อนอื่นเลยต้อง ขอขอบคุณทุกๆโหวต ทุกๆคอมเมนท์ และทุกๆการแชร์นะ แอบตกใจเล็กๆที่มีคนสนใจแชร์ออกไปเยอะ
ขอบคุณแฟนเพจมิติรักผ่านเลนส์ และอะหยังฟิล์มด้วยนะครับ ที่อุตสาห์สละเวลาเข้ามาอ่าน
และขอบคุณพี่ไผ่ ผู้กำกับด้วยนะครับ แอบเห็นพี่แชร์กระทู้นี้ไปในทวิตเตอร์ส่วนตัว ตอนนี้น้องนอนตายตาหลับละครับ 555

ฝากไว้อีกนิดนะ สำหรับใครที่มีโอกาสได้แชร์กระทู้นี้ออกไป รบกวนติด #ชำแหละรุ้งสีเทา ด้วยนะ จะตามไปอ่าน ไปกดไลค์ให้ทุกๆคนเลยนะ

ถ้าพร้อมแล้ว ไปเผชิญหน้ากับครอบครัวในอีพีสามนี้กั๋นเล๊ยยยย




อีพีนี้เล่าถึงชีวิตของทั้งเหนือและพอร์ชหลังจากเรียนจบ
เหนือกลับมาดูแลปางช้างกับครอบครัว ส่วนพอร์ชก็กลับมาอยู่กรุงเทพและกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

ภาพตัดสลับไปมาให้เห็นถึงสภาพแวดล้อม และการใช้ชีวิตของทั้งสองที่แตกต่างกัน

เหนือเติบโตมาท่ามกลางธรรมชาติ มีสัตว์เป็นเพื่อน เรามองว่าที่เหนือมีความเมตตา อ่อนโยน เพราะเหนือได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้นจากการเลี้ยงช้าง นอกจากนั้นยังทำให้เขาเป็นคนร่าเริง ยิ้มง่าย และมีความรับผิดชอบ ไม่แปลกที่คนประเภทนี้มักเข้ากับคนอื่นๆได้ง่าย



ซึ่งตรงกันข้ามกับพอร์ช เขาเติบโตมาในสังคมเมือง มีชีวิตที่เร่งรีบ ติดอยู่กับเวลา
ฉากที่พอร์ชไปว่ายน้ำและตัดสลับกับเหนือ ยิ่งทำให้โลกของเขาดูเหงา อ้างว้าง โดดเดี่ยว โดยส่วนตัวเราชอบการจัดแสงของฉากนี้ มันส่งmoodมาให้เราสัมผัสถึงความรู้สึกเปล่าเปี่ยวในใจของพอร์ชได้




"แกไม่มีสิทธิ์ต่อรอง"
ทำไมหรอพ่อ? เพราะอะไรหรอ? พอร์ชไม่มีสิทธิตัดสินใจอะไรในชีวิตเองเลยหรอ?

พ่อก็ไม่ได้กำลังหยิบยื่นความหวังดีให้พอร์ช แต่พอกำลังยัดเยียดความหวัง(ที่พ่อเห็นว่า)ดีให้กับพอร์ชแทนนะ

ในทุกครอบครัวมีการอบรม สั่งสอน เลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกัน อันนี้เราเข้าใจ และเคารพในความคิดของทุกครอบครัว
แค่อยากจะฝากถึงคนที่กำลังจะมีครอบครัว หรืออาจจะได้มีโอกาสเลี้ยงดูใครสักคน
หรืออาจจะมีโอกาสได้ให้ชีวิตกับใครสักคน เมื่อคุณให้ชีวิตเขาไปแล้ว อย่าลืมให้อิสระในชีวิต และอิสระทางความคิดกับเขาด้วยนะ
คนที่เติบโตมาบนกรอบของความหวัง ไม่ว่าจะจากหน่วยที่เล็กที่สุดอย่างครอบครัว หรือสังคม หรือคนรอบข้างก็ตาม
เขาเหมือนได้ชีวิตมา แต่คนเหล่านั้นไม่ได้ให้จิตใจกับเขามา มันน่าเศร้านะ

อย่างที่พอร์ชบอกแหละ ความหวังดีของเรา(ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นพ่อแม่) ในบางทีอาจจะทำร้ายคนอื่นก็ได้




ทั้งสภาพแวดล้อม สังคม และการเลี้ยงดูของเหนือ ช่างแตกต่างจากพอร์ชเหลือเกิน

เหนือเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น ชอบการที่พ่อแม่เหนือคิดถึงความรู้สึกของลูกก่อนทุกครั้ง และชอบการเลือกใช้คำพูดมากๆ พ่อแม่เหนือเลือกใช้คำพูดเพื่อปลอบประโลม และส่งเสริมกำลังใจ แทนการต่อว่าด่าทอแล้วจบด้วยวาทกรรมที่ว่า 'เพราะหวังดี'




ชอบฉากนี้ สิ่งแรกคือการใส่บทกางเขนและสาลี่เข้ามา ทำให้เหนือยิ่งดูอบอุ่นและเป็นผู้ใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เหนือมีความเป็นพ่อสูงมาก
อีกสิ่งที่มองเห็นในฉากนี้คือ เหนือยอมรับตัวเองแล้ว จากที่อาจจะสับสนมาระยะหนึ่ง
เพราะติดอยู่กับกรอบความเชื่อ อีโก้ หรือกับดักความคิดของตัวเอง
แต่พอเหนือก้าวข้ามความคิดตัวเอง และหันกลับมามองว่า "แค่คนเรารู้สึกดีต่อกัน ก็สามารถรักกันได้แล้ว"

"เพราะว่าความรักไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ไหน มันก็สวยงามเสมอ"

จริงมั๊ยพอร์ช





ทำไมของฝากถึงเป็นนาฬิกา? ทั้งที่ในอีพีแรกก็ให้ไปแล้วรอบนึง แล้วของเดิมหายไปไหน เออ ลองมาวิเคราะห์กันซิ

สิ่งที่เหมือนกันคือ ของฝากจะมาหลังจากที่พอร์ชกลับจากกรุงเทพฯเหมือนกัน หมายถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน หรือไม่ได้เจอกันนาน
สำหรับเรา ความหมายของนาฬิกาคือ 'เวลา'
การที่พอร์ชเลือกให้ของฝากชิ้นนี้อาจหมายถึง "ให้นาฬิกามาทดแทนช่วงเวลาที่ขาดหาย"
ถ้าเป็นอย่างที่เราคิดนะ มันโรแมนติกมาก

ส่วนแล้วเรือนเก่าไปไหน?
ถ้าเป็นอย่างที่เราว่าตอนแรกก็คงไม่ต้องถาม แต่ถ้าไม่ใช่ คงต้องไปรอลุ้นในอีพีสี่ อาจจะมีภาพเหตุการณ์ที่ทำให้มันหายก็ได้ หุหุ




มีคนเคยถามว่า 'ทำไมผู้ชายที่เคยชอบผู้หญิง ถึงได้หันมาชอบผู้ชายได้?'
ถ้าถามเรานะ ตอบได้เลย ไม่รู้ เพราะเรายังไม่เคยชอบผู้หญิง 555

แต่ถ้าจะให้อธิบายตามประสบการณ์ที่เคยได้คุยมา เรามองว่า 'ผู้ชายเวลาอยู่ใกล้ใคร ก็มักจะชอบคนนั้น' อันนี้ยืนยันก่อนเลยว่า ไม่ใช่กับผู้ชายทุกคน และไม่ใช่กับทุกคนที่อยู่ใกล้ผู้ชายแน่นอน คืองี้

เรามองว่าผู้ชายมักจะ open กับเพื่อนมากกว่าคนอื่นๆ อาจเพราะผู้ชายมีนิสัยพื้นฐานบางอย่าง ที่ผู้ชายด้วยกันเองถึงจะเข้าใจ ก็คล้ายกับทุกๆเพศแหละ
อยากให้ลองนึกภาพตามนะ คนเราเวลาจะชอบกัน ก็มีด้วยกันหลายๆเหตุผล แต่ถ้าเป็นเหตุผลเพราะความใกล้ชิดล่ะ เราจะรู้สึกยากลำบากใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับคนนั้นมั๊ย? เพราะอะไร ก็เพราะความผูกพันธ์ไงล่ะ

เหนือเป็นผู้ชายที่เต็มที่กับทุกคน กับเพื่อน และโดยเฉพาะกับพอร์ช ตรงนี้แหละ ที่มันเลยพัฒนาข้นจนกลายเป็นความรัก

แล้วเขาจะกลับไปชอบผู้หญิงอีกได้มั๊ย?

เราเคยถามคำถามนี้กับเพื่อนคนนึง(ที่เราก็แอบชอบมัน 555) เพื่อนเราบอกว่า
"เราไม่ได้เลือกว่าเราจะรักผู้ชายหรือเราจะรักผู้หญิง แต่เราเลือกว่าเราจะรักใคร โดยที่เราไม่สนใจว่า คนนั้นจะเป็นผู้หญิง หรือเป็นผู้ชาย"


เราเชื่อว่าเหนือก็คิดเช่นนั้น เขาถึงได้กล้ายืนกอดพอร์ชหน้าสนามบิน เพราะเขามองข้ามเรื่องเพศไปแล้ว และมองแค่ว่า คนตรงหน้าเขา..คือคนที่เขารัก ก็คงไม่ผิดอะไร ถ้าเขาจะแสดงความรักออกมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้





อีกฉากที่ชอบคือฉากนี้
ชอบตรงที่ผกก. ยังไม่ทิ้งคาแลกเตอร์นักกฎหมายของพอร์ช และใส่ฉากนี้มาอย่างถูกจังหวะ
และชอบมากๆที่มีการสอดแทรกเรื่องข้อกฎหมายเข้ามาให้ความรู้ ทั้งยังเป็นกรณีที่เกิดขึ้นจริงในจ.เชียงใหม่อีกด้วย เฟอร์แพค




คงมีไม่มีกี่เรื่องในชีวิต ที่พ่อแม่มักคาดหวังกับเรามากๆ มากจนบางทีอาจถึงขั้นบังคับ
นั่นคือการเรียน การงาน และความรัก อย่างเช่นที่พอร์ชเจอ

เราชอบการใส่ฉากนี้ และชอบทัศนติของพ่อมาก ไม่ใช่พ่อไม่เคยคาดหวังกับเหนือ แต่พ่อเชื่อมั่นในลูกตัวเอง คอยเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ แต่พอลูกล้มก็พร้อมจะเข้าไปพยุงทันที เหนือเรียนรู้ความเป็นผู้ให้มาจากพ่อนี่เอง

'ลูกคือค่าเฉลี่ยของพ่อแม่'
อยากให้ลูกเป็นแบบไหน จงปฎิบัติกับเขาเช่นนั้น และเขาจะเรียนรู้ ซึมซับ และนำไปใช้กับสังคม






คำปัน สาววายสายfc ตัวแทนผู้ละลายอคติของสังคม

เราได้รู้จักไอซ์ ตัวแทนสาววายสายปรึกษาไปแล้ว ไอซ์เป็นตัวแทนสาววายที่คอยรับฟังปัญหา และไขหัวใจของเพศที่สาม เพราะเขาไม่มีอคติด้านเพศ
ส่วนคำปัน สาววายสายfc ตัวแทนที่คอยสร้างเสริมมิติความเชื่อเรื่องเพศใหม่ๆให้กับสังคม สาววายสายนี้มักแข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวต่อกรอบเรื่องเพศของสังคมได้ เห็นได้จากตอนที่คุยกับป้า ตัวแทนประชากรโลกเก่า ผู้มาพร้อมกับอคติความเชื่อ พลังระดับทำลายร้าง 555

การที่สังคมไทยมีสาววายสายfcเยอะก็เป็นการดีนะ ถือเป็นกองหนุน หรือบางทีก็เป็นกำลัง(ใจ)หลักให้กับเพศทางเลือกได้
แต่โดยส่วนตัวอยากฝากไว้นิดนึงว่า ทุกคนมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองเน๊อะ คนโลกเก่าเขาก็มีความเชื่อ มีcomfort zone เป็นของตัวเอง อยากให้เข้าใจพวกเขานิดนึง การที่จะไปปลูกฝังความคิดใหม่ให้เขา ยังต้องใช้เวลา

อีกเรื่องคือ เรื่องจิ้น มีเพศที่สามหลายๆคนที่ไม่ชอบเปิดเผยตัวเอง คนกลุ่มนี้มักไม่เรียกคู่ตัวเองว่าผัวหรือเมีย แต่เรียกว่าเป็นแฟนบ้าง คนรักบ้าง เพราะในสังคมของเพศที่สามอย่างเกย์ ก็ไม่ได้แบ่งหน้าที่เป็นรุกหรือรับกันทุกคู่ ไม่เชิงแบ่งหน้าที่ ใช้คำว่า ไม่ได้โฟกัสดีกว่า คือไม่ได้เอาความรุกหรือความรับมาเป็นตัวตัดสินว่าจะรักใครหรือคบใคร พอเขาถูกจิ้นว่าให้เป็นรุกหรือเป็นรับ เขาเลยไม่โอเคน่ะ

เราจิ้นได้ แต่บางทีอยู่ในใจก็ฟินแล้วเน๊อะ อย่างคู่นี้ไงล่ะ ในบทของเรื่องไม่พยายามโฟกัสว่าใครเป็นแบบไหนเลย และเดี๋ยวในอีพีสี่ จะได้ดูกันว่าถ้าแต่งงานกันแล้ว เขาจะเรียกกันว่าอะไร และใครทำหน้าที่อะไรยังไงบ้าง ซึ่งลุ้นให้พูดถึงพรบ.คู่ชีวิตที่เราสนใจด้วย อย่าลืมติดตามนะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่