ธรรมะจากพระผู้รู้ โดย พระ ปราโมทย์ ปา โมชฺโช ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 42 ค่ะ
ถาม: ถ้าเราภาวนาโดยกำหนดจิตเข้าไปจับกับความว่างเลยได้หรือไม่ครับ
บางครั้งเป็นทุกข์แล้วทำแบบนี้รู้สึกหนีทุกข์ได้
ไม่ดีนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน มันเป็นวิธีพักผ่อน
การที่อยู่ๆ เรากำหนดจิตเข้าไปจับความว่างจะได้สมถะ
เพราะมันมีจิตอยู่ ๒ ดวงที่ใช้ทำสมถะได้
อันหนึ่งคือจิตที่รู้ช่องว่างหรือที่คุณเรียกว่าความว่าง
อันที่สองคือจิตที่รู้ความไม่มีอะไรเลย
อันแรกเรียกอากาสานัญจายตนะ
อันที่สองที่ว่าไม่มีอะไรนั้นเรียกอากิญจัญญายตนะ
สองอันนี้เป็นสมถะ
ถ้าคุณเป็นทุกข์นะ เป็นทุกข์ให้รู้ไม่ใช่ให้หนี คุณจับหลักให้แม่นนะ
หลักของการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราจริงๆ
ท่านบอกว่าทุกข์ให้รู้ แล้วท่านก็ Identify เลย
นิยามให้เราดูเลยว่าคำว่าทุกข์คืออะไร
ทุกข์ก็คือขันธ์ ๕ คือกายกับใจนี้
เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่รู้กายรู้ใจนะ
เราไม่ได้มีหน้าที่รู้สุญญตา เราไม่ได้มีหน้าที่รู้ความว่าง
เรียนรู้วัฏฏะไปจนพ้นวัฏฏะ ต้องเรียนรู้ทุกข์ถึงจะพ้นทุกข์ ไม่ใช่หนีทุกข์
หนีทุกข์ไม่พ้นทุกข์หรอก หนีทุกข์จะพอกพูนอัตตา
จะรู้สึกว่ากูเก่ง กูหนีได้ และหนีได้ชั่วคราว
เพราะฉะนั้นเราเชื่อพระพุทธเจ้าเถอะ
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้กายรู้ใจ
สติปัฏฐาน ๔ นี้ กายก็คือตัวรูป เวทนานี้เป็นส่วนของจิตใจแล้ว
จิตก็เป็นจิตที่เป็นกุศลอกุศล นี่ก็เป็นเรื่องของจิตใจเรื่องนามธรรม
ส่วนธรรม ธัมมานุปัสสนานี้มีทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งกาย ทั้งใจคละกันอยู่
เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้มีแต่เรื่องรู้กายรู้ใจนะ อย่าไปเอาความว่าง
ความว่างเป็นผลสุดท้ายหรอกที่จะไปถึง
คล้ายๆ เรายังไม่รวยนะ
เราเข้าไปที่บ้านเศรษฐีคนนึงเห็นสมบัติเขาเยอะอะไรอย่างนี้ เราอยู่ไม่ได้หรอก
ต้องมาทำมาหากินให้รวยเราจึงมีสมบัติอันนี้ขึ้นมา
รู้กายรู้ใจนะ อย่าหาความว่าง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
ท่านสอนให้รู้ทุกข์
ท่านตรัสรู้ขึ้นมาท่านถึงประกาศเลยว่า
ถ้าท่านไม่รู้อริยสัจ ๔ มีวงรอบ ๓ รวมแล้วเป็น ๑๒
ท่านจะไม่ปฏิญาณตนเป็นพระพุทธเจ้าเลย
ขนาดพระพุทธเจ้ายังตรัสรู้ด้วยการรู้ทุกข์เลย
เพราะฉะนั้นเราอย่าทำเกินที่ท่านบอกนะ


ธรรมะจากพระผู้รู้ โดย พระ ปราโมทย์ ปา โมชฺโช ค่ะ จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 42 ค่ะ
จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 42 ค่ะ
ถาม: ถ้าเราภาวนาโดยกำหนดจิตเข้าไปจับกับความว่างเลยได้หรือไม่ครับ
บางครั้งเป็นทุกข์แล้วทำแบบนี้รู้สึกหนีทุกข์ได้
ไม่ดีนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน มันเป็นวิธีพักผ่อน
การที่อยู่ๆ เรากำหนดจิตเข้าไปจับความว่างจะได้สมถะ
เพราะมันมีจิตอยู่ ๒ ดวงที่ใช้ทำสมถะได้
อันหนึ่งคือจิตที่รู้ช่องว่างหรือที่คุณเรียกว่าความว่าง
อันที่สองคือจิตที่รู้ความไม่มีอะไรเลย
อันแรกเรียกอากาสานัญจายตนะ
อันที่สองที่ว่าไม่มีอะไรนั้นเรียกอากิญจัญญายตนะ
สองอันนี้เป็นสมถะ
ถ้าคุณเป็นทุกข์นะ เป็นทุกข์ให้รู้ไม่ใช่ให้หนี คุณจับหลักให้แม่นนะ
หลักของการปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราจริงๆ
ท่านบอกว่าทุกข์ให้รู้ แล้วท่านก็ Identify เลย
นิยามให้เราดูเลยว่าคำว่าทุกข์คืออะไร
ทุกข์ก็คือขันธ์ ๕ คือกายกับใจนี้
เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่รู้กายรู้ใจนะ
เราไม่ได้มีหน้าที่รู้สุญญตา เราไม่ได้มีหน้าที่รู้ความว่าง
เรียนรู้วัฏฏะไปจนพ้นวัฏฏะ ต้องเรียนรู้ทุกข์ถึงจะพ้นทุกข์ ไม่ใช่หนีทุกข์
หนีทุกข์ไม่พ้นทุกข์หรอก หนีทุกข์จะพอกพูนอัตตา
จะรู้สึกว่ากูเก่ง กูหนีได้ และหนีได้ชั่วคราว
เพราะฉะนั้นเราเชื่อพระพุทธเจ้าเถอะ
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้กายรู้ใจ
สติปัฏฐาน ๔ นี้ กายก็คือตัวรูป เวทนานี้เป็นส่วนของจิตใจแล้ว
จิตก็เป็นจิตที่เป็นกุศลอกุศล นี่ก็เป็นเรื่องของจิตใจเรื่องนามธรรม
ส่วนธรรม ธัมมานุปัสสนานี้มีทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งกาย ทั้งใจคละกันอยู่
เพราะฉะนั้นการปฏิบัตินี้มีแต่เรื่องรู้กายรู้ใจนะ อย่าไปเอาความว่าง
ความว่างเป็นผลสุดท้ายหรอกที่จะไปถึง
คล้ายๆ เรายังไม่รวยนะ
เราเข้าไปที่บ้านเศรษฐีคนนึงเห็นสมบัติเขาเยอะอะไรอย่างนี้ เราอยู่ไม่ได้หรอก
ต้องมาทำมาหากินให้รวยเราจึงมีสมบัติอันนี้ขึ้นมา
รู้กายรู้ใจนะ อย่าหาความว่าง
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน
ท่านสอนให้รู้ทุกข์
ท่านตรัสรู้ขึ้นมาท่านถึงประกาศเลยว่า
ถ้าท่านไม่รู้อริยสัจ ๔ มีวงรอบ ๓ รวมแล้วเป็น ๑๒
ท่านจะไม่ปฏิญาณตนเป็นพระพุทธเจ้าเลย
ขนาดพระพุทธเจ้ายังตรัสรู้ด้วยการรู้ทุกข์เลย
เพราะฉะนั้นเราอย่าทำเกินที่ท่านบอกนะ