เช้าวันที่ 29 เมษายน 2559 เวลา 8.00น.เราเปิดบ้านมา เห็นว่ารถของตัวเอง เคลื่อนที่ ผิดตำแหน่งไปจากเดิม ประมาณ 3 เมตร ทั้งๆที่ใส่เกียร์ P ดึงเบรกมือ เดินไปดูปรากฎว่าโดนชนท้ายบุบ เสียหายพอสมควร แต่ก็ไม่ทราบว่าคู่กรณีเป็นใคร เลยให้สามีขี่จักรยานวนดูในซอยหมู่บ้าน (หมู่บ้านทาว์นเฮ้าส์ ) ปรากฎว่าเจอรถคันนึงจอดอยู่ในบ้านเรียบร้อย (บ้านเรากับบ้านคู่กรณีห่างกันประมาณ 50 เมตร ) สภาพรถเสียหายด้านหน้าฝั่งคนขับ สามีเลยเข้าไปถาม แต่พ่อเค้าออกมาคุย แล้วพูดว่า "A(นามสมมุติ)ยังหลับอยู่ สงสัยมันจะเมา เดี๋ยวจะเรียกให้ " ผ่านไป 10 นาที (ระหว่างนี้เราโทรหาประกัน) เจ้าของรถคันดังกล่าวยังไม่มา เราเลยไปตามอีกรอบ พ่อเค้าบอกว่า A ยังไม่ตื่น เดี๋ยวปลุกให้ เราเลยบอกว่า " หนูไม่แน่ใจว่า A ขับรถชนรึป่าว ก็เลยจะมาถามเค้า ว่าใช่เค้ารึป่าว" พ่อเค้าตอบกลับว่าน่าจะใช่แหละ (เราแบบ โหหหหหหห!!! นี่คือนิสัยปกติของเธอหรา ถึงขนาดคนในครอบครัวยังมั่นหน้ากล้าพูดขนาดนี้ เธอก่อเรื่องอะไรไว้มากมายเลยหรา ) (เราคิดนะว่าโชคดีมากๆๆๆๆ ที่ตอนเกิดเหตุไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น ถ้าเกิดชนคนขึ้นมาด้วยความแรงขนาดนั้น จะรอดมั้ย มันจะลงมาดูผู้บาดเจ็บมั้ย แม่มเอ้ยยย!! ถ้าวันนั้นเราพาลูกไปเที่ยวเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ยังไม่ลงจากรถจะเป็นยังไง )
ผ่านไป 20 นาทีได้ คู่กรณีก็มา เค้ายอมรับว่าเค้าชน โดยบอกว่า "เออ เมื่อคืนเราขับเร็วด้วยแหละ จะเลี้ยวขวาเข้าบ้าน แต่เบรกไม่ทัน " โอเค ในเมื่อยอมรับก็เรียกเคลมตัวเอง ซึ่งเป็น วิริยะประเภท 1 ทั้งคู่ สักพักเคลมมา ก็ถ่ายรูป ถามเหตุการณ์ คู่กรณีแจ้งว่า เกิดเหตุเมื่อคืนตีหนึ่งกว่าได้ ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ดูนฬิกา ได้ขับรถมาชนจริง แต่ไม่ได้ลงมาดู และก็ไม่ได้โทรเรียกเคลมเพราะว่าดึกแล้ว จะเรียกผู้เสียหายก็เกรงใจ เคลมถามกลับไปอีกว่า ชนหนักขนาดนี้ทำไมไม่เรียกเคลมเลย มันเรียกได้ตลอด 24 ชม.อยู่แล้ว คุณมีอะไรที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองรึป่าว (ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าพี่เคลมหมายถึงอะไร)
ก็คุยกันไปคุยมา พาไปดูกล้องวงจรปิดหมู่บ้าน ก็ดูไม่ได้ กล้องเสีย พี่เคลมไม่ปิดเคลมให้ แจ้งว่าข้อมูลไม่เพียงพอ สรุปไม่ได้ ต้องทำเรื่องเสนอผู้ใหญ่
แล้วรถเราก็จอดเสียนิ่งๆ ขวางทางเลี้ยวขวาเข้าซอยเล็กๆ เราก็แปลกใจนะ ว่าเราก็มีประกันประเภท 1 แต่ทำไมรถเราไม่สามารถเข้าซ่อมได้เลย รออะไร ?? ทำไม ต้องรอถึงเมื่อไหร่ เราโทรไปถามพี่เคลม เค้าให้คำตอบเดิมตามข้างต้น เราเลยโทรไปปรึกษาพี่ที่ทำงานด้านนี้ เค้าเลยบอกว่าไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องย้ายรถไปซ่อม จน 2 ทุ่ม พี่เคลมโทรมาบอกว่า เดี๋ยวจะมีรถลาก เอารถไปเข้าศูนย์ซ่อมให้ กว่าจะมาก็ 3 ทุ่มกว่า จากนั้นพี่เคลมแกเขียนใบเหลืองให้ เราสามารถเอารถไปซ่อมได้ เอาใบเหลืองไปยื่นดำเนินการจัดซ่อม จบไปเรื่องนึง
แต่มันไม่จบไง เราก็คนทำมาหากิน มีลูกมีเต้าต้องไปเรียนพิเศษ ต้องซื้อของขายของ แล้วทำไง ในเมื่อมีรถคันเดียว เราติดต่อคู่กรณีเกี่ยวกับเรื่องรถเช่า ว่าเราคงไม่ได้เช่าตลอดระยะเวลาการซ่อมหรอก เพราะช่วงนี้ก็ปิดเทอม ไม่ได้ใช้ทุกวัน ถ้ามีธุระจะไปไหนอาจจะรบกวนรถเธอ (บ้านคู่กรณีมีรถหลายคัน แต่มารู้ตอนหลังว่าไม่ใช่รถคู่กรณีสักคัน) เค้าโอเคตกลง (แต่หมายถึงรถคันที่สภาพไฟหน้าแตก กันชนห้อยลงมา ประตูเปิดไม่ค่อยได้ ) เราก็แบบเห้ย !! เราต้องใช้รถคันนี้ไปไหนมาไหน แล้วถ้าเกิดเหตุอะไรกับรถขึ้นมา เราต้องรับผิดชอบหรา คู่กรณียืนยันว่าใช้ได้ๆเอาไปใช้เลย (เวรกรรมจริงๆ) เช้าวันต่อมา เราโทรไปหาคู่กรณีว่า เราต้องใช้รถนะ จะต้องไปส่งของ ซื้อของเข้าร้าน นายA ตอบกลับมาว่า วันนี้เราไม่ว่างนะ ต้องไปทำงาน (อ้าววว แล้วไหนบอกว่าเอารถไปใช้ได้ทุกวัน แล้วตูไม่ต้องทำมาหากินหราฟ่ะ ลูกตูก็อดไปเรียนว่ายน้ำด้วย)
เราแจ้งคู่กรณีว่า ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราต้องเช่ารถจริงๆแล้วล่ะ เพราะชีวิตเรามีไรต้องทำนะ ไม่ใช่อยู่แต่บ้านขายของ เราเลยบอกเค้าว่าถ้าเธอมีรู้จัก คาร์เร้นท์ที่ไหน ที่รู้จักพอช่วยเหลือได้ก็ดีนะ จะได้เซฟๆ ค่าใช้จ่าย เค้าบอกว่าไม่มีไม่รู้จัก ให้เราติดต่อเองเลย เลยก็แสวงหา เจอร้านแรก ต้องมัดจำ 20,000.- จ่ายด้วยบัตรเครดิต ค่าเช่าวันละ 1,200.- เราบอกว่าเราขอเช่าต่อเนื่อง 5 วันนี้ก่อน ที่เราจะต้องไปส่งของลูกค้า ไปธุระเรื่องลูก คู่กรณีตอบว่า เค้าไม่มีบัตรเครดิตเลย เราเลยหาทางออก เจอร้านอื่น จ่ายด้วยเงินสด มัดจำเพียง 5,000. เช่าต่อเนื่อง 7 วัน วันละ 1,100.- เค้าตอบกลับมาว่า "บอกตรงๆเลยนะ เราไม่มีเงินสดไปวางให้หรอก ต้องรอแม่กลับมาก่อน" (ชิหาย นั่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี สรุปชีวิตเธอมีอะไรบ้าง) บอกปัดทุกอย่าง ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี
เรานี่แบบสุดจะทน เห็นว่าเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง เลยไม่ยากยุ่งยาก เอาความอะไร เลยหาข้อเสนอใหม่ไปคุยว่า ตกลงเราจะไปทำเรื่องเช่ารถแล้วนะ เพราะมันต้องใช้ เราคงรอเธอไม่ได้แล้ว โดยเราจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายไปก่อน แล้วให้เธอมาให้ทีหลัง
*/*/รถจอดหน้าบ้านตัวเองโดนชน มีประกันของวิริยะใครพอแนะนำได้บ้างคะ*/*/
ผ่านไป 20 นาทีได้ คู่กรณีก็มา เค้ายอมรับว่าเค้าชน โดยบอกว่า "เออ เมื่อคืนเราขับเร็วด้วยแหละ จะเลี้ยวขวาเข้าบ้าน แต่เบรกไม่ทัน " โอเค ในเมื่อยอมรับก็เรียกเคลมตัวเอง ซึ่งเป็น วิริยะประเภท 1 ทั้งคู่ สักพักเคลมมา ก็ถ่ายรูป ถามเหตุการณ์ คู่กรณีแจ้งว่า เกิดเหตุเมื่อคืนตีหนึ่งกว่าได้ ไม่แน่ใจเพราะไม่ได้ดูนฬิกา ได้ขับรถมาชนจริง แต่ไม่ได้ลงมาดู และก็ไม่ได้โทรเรียกเคลมเพราะว่าดึกแล้ว จะเรียกผู้เสียหายก็เกรงใจ เคลมถามกลับไปอีกว่า ชนหนักขนาดนี้ทำไมไม่เรียกเคลมเลย มันเรียกได้ตลอด 24 ชม.อยู่แล้ว คุณมีอะไรที่อยู่นอกเหนือความคุ้มครองรึป่าว (ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าพี่เคลมหมายถึงอะไร)
ก็คุยกันไปคุยมา พาไปดูกล้องวงจรปิดหมู่บ้าน ก็ดูไม่ได้ กล้องเสีย พี่เคลมไม่ปิดเคลมให้ แจ้งว่าข้อมูลไม่เพียงพอ สรุปไม่ได้ ต้องทำเรื่องเสนอผู้ใหญ่
แล้วรถเราก็จอดเสียนิ่งๆ ขวางทางเลี้ยวขวาเข้าซอยเล็กๆ เราก็แปลกใจนะ ว่าเราก็มีประกันประเภท 1 แต่ทำไมรถเราไม่สามารถเข้าซ่อมได้เลย รออะไร ?? ทำไม ต้องรอถึงเมื่อไหร่ เราโทรไปถามพี่เคลม เค้าให้คำตอบเดิมตามข้างต้น เราเลยโทรไปปรึกษาพี่ที่ทำงานด้านนี้ เค้าเลยบอกว่าไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องย้ายรถไปซ่อม จน 2 ทุ่ม พี่เคลมโทรมาบอกว่า เดี๋ยวจะมีรถลาก เอารถไปเข้าศูนย์ซ่อมให้ กว่าจะมาก็ 3 ทุ่มกว่า จากนั้นพี่เคลมแกเขียนใบเหลืองให้ เราสามารถเอารถไปซ่อมได้ เอาใบเหลืองไปยื่นดำเนินการจัดซ่อม จบไปเรื่องนึง
แต่มันไม่จบไง เราก็คนทำมาหากิน มีลูกมีเต้าต้องไปเรียนพิเศษ ต้องซื้อของขายของ แล้วทำไง ในเมื่อมีรถคันเดียว เราติดต่อคู่กรณีเกี่ยวกับเรื่องรถเช่า ว่าเราคงไม่ได้เช่าตลอดระยะเวลาการซ่อมหรอก เพราะช่วงนี้ก็ปิดเทอม ไม่ได้ใช้ทุกวัน ถ้ามีธุระจะไปไหนอาจจะรบกวนรถเธอ (บ้านคู่กรณีมีรถหลายคัน แต่มารู้ตอนหลังว่าไม่ใช่รถคู่กรณีสักคัน) เค้าโอเคตกลง (แต่หมายถึงรถคันที่สภาพไฟหน้าแตก กันชนห้อยลงมา ประตูเปิดไม่ค่อยได้ ) เราก็แบบเห้ย !! เราต้องใช้รถคันนี้ไปไหนมาไหน แล้วถ้าเกิดเหตุอะไรกับรถขึ้นมา เราต้องรับผิดชอบหรา คู่กรณียืนยันว่าใช้ได้ๆเอาไปใช้เลย (เวรกรรมจริงๆ) เช้าวันต่อมา เราโทรไปหาคู่กรณีว่า เราต้องใช้รถนะ จะต้องไปส่งของ ซื้อของเข้าร้าน นายA ตอบกลับมาว่า วันนี้เราไม่ว่างนะ ต้องไปทำงาน (อ้าววว แล้วไหนบอกว่าเอารถไปใช้ได้ทุกวัน แล้วตูไม่ต้องทำมาหากินหราฟ่ะ ลูกตูก็อดไปเรียนว่ายน้ำด้วย)
เราแจ้งคู่กรณีว่า ในเมื่อเป็นแบบนี้ เราต้องเช่ารถจริงๆแล้วล่ะ เพราะชีวิตเรามีไรต้องทำนะ ไม่ใช่อยู่แต่บ้านขายของ เราเลยบอกเค้าว่าถ้าเธอมีรู้จัก คาร์เร้นท์ที่ไหน ที่รู้จักพอช่วยเหลือได้ก็ดีนะ จะได้เซฟๆ ค่าใช้จ่าย เค้าบอกว่าไม่มีไม่รู้จัก ให้เราติดต่อเองเลย เลยก็แสวงหา เจอร้านแรก ต้องมัดจำ 20,000.- จ่ายด้วยบัตรเครดิต ค่าเช่าวันละ 1,200.- เราบอกว่าเราขอเช่าต่อเนื่อง 5 วันนี้ก่อน ที่เราจะต้องไปส่งของลูกค้า ไปธุระเรื่องลูก คู่กรณีตอบว่า เค้าไม่มีบัตรเครดิตเลย เราเลยหาทางออก เจอร้านอื่น จ่ายด้วยเงินสด มัดจำเพียง 5,000. เช่าต่อเนื่อง 7 วัน วันละ 1,100.- เค้าตอบกลับมาว่า "บอกตรงๆเลยนะ เราไม่มีเงินสดไปวางให้หรอก ต้องรอแม่กลับมาก่อน" (ชิหาย นั่นก็ไม่มี นี่ก็ไม่มี สรุปชีวิตเธอมีอะไรบ้าง) บอกปัดทุกอย่าง ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี
เรานี่แบบสุดจะทน เห็นว่าเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียง เลยไม่ยากยุ่งยาก เอาความอะไร เลยหาข้อเสนอใหม่ไปคุยว่า ตกลงเราจะไปทำเรื่องเช่ารถแล้วนะ เพราะมันต้องใช้ เราคงรอเธอไม่ได้แล้ว โดยเราจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายไปก่อน แล้วให้เธอมาให้ทีหลัง