https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1055040474589689
ทองย้อย แสงสินชัย (ป.ธ. ๙)
Former ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ at Royal Thai Navy
---------------------
หมายเหตุ
ผมเขียนเรื่อง “คำสอนที่สวนทาง” มาแล้ว ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ เรื่องนิพพานเป็นอัตตา
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1053090678118002
ตอนที่ ๒ เรื่อง บริจาคมากได้บุญมาก
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1053128414780895
-------------
(ต่อไปนี้เป็นตอนที่ ๓)
เรื่องนี้มีที่มาจากเพจที่ชื่อ
พุทธสามัคคี ซึ่งเป็นเพจที่สนับสนุนวัดพระธรรมกาย โพสต์เมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘
สรรเสริญการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ว่ามีประโยชน์มากมายหลายอย่าง
ข้อความตอนหนึ่งว่าดังนี้ -
...........
สถานศึกษาจะมีหลายขนาด เช่น สถานศึกษาในหมู่บ้าน ก็เป็นโรงเรียนประถม ในตำบล ในอำเภอ ในจังหวัด ก็เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ขึ้น
จนถึงมัธยม บางจังหวัดก็มีสถาบันระดับอาชีวะและอุดมศึกษา ส่วนในระดับประเทศก็มีมหาวิทยาลัยใหญ่
บางแห่งใช้งบก่อสร้างหลายหมื่นล้านบาท ใช้งบดำเนินการปีละหลายพันล้าน
หากทั้งประเทศมีแต่โรงเรียนประชาบาล ไม่มีมหาวิทยาลัย ก็คงยากที่จะพัฒนาการศึกษาและคุณภาพประชากรได้
สถานศึกษาต้องมีหลายระดับ ต่างทำหน้าที่ตามบทบาทของตน
วัดก็เช่นเดียวกัน มีทั้งวัดในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เป็นเหมือนโรงเรียนสอนศีลธรรมในชุมชน และต้องมีวัดใหญ่ๆ
เพื่อเป็นเหมือนมหาวิทยาลัยสอนศีลธรรม เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของวัดต่างๆ เพื่อนำไปขยายผลต่อไปยังประชาชนทั่วประเทศ
เป็นแหล่งสร้างสรรค์กิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการปลูกฝังศีลธรรม
เป็นเหมือนหัวรถจักรที่ฉุดขบวนรถไฟให้เคลื่อนตัวไป
......
เราจึงควรช่วยกันสร้างวัดใหญ่ๆเพิ่มขึ้น ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ
และชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาบวชเป็นพระภิกษุให้มากขึ้นด้วย

(ภาพประกอบของเพจดังกล่าว)
...........
--------------
ผมได้เขียนวิจารณ์ไปแล้วในบทความชื่อ
“วิธีรักษาพระศาสนา” ญาติมิตรที่ประสงค์จะทราบรายละเอียด
โปรดตามไปอ่านที่ลิงก์ข้างล่างนี้
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/880338438726561:0
--------------
ที่ยกประเด็นการสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โตมาไว้ในชุดคำสอนที่สวนทางก็เพราะว่าการสร้างวัดหรือศาสนสถานใหญ่ๆ
นั้นเป็นเรื่องที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์
เพื่อเจริญปัญญาสัมมาทิฐิ ขอเชิญศึกษาจากข้อความในคัมภีร์ดังต่อไปนี้
--------------
-๑-
ตถารูปายเอว ปริสาย ปณีตปิณฺฑปาตสฺส ปตฺเต ปูเรตฺวา ทินฺนทานโตปิ สปฺปิเตลาทีนํ ปตฺเต ปูเรตฺวา ทินฺนเภสชฺชทานโตปิ มหาวิหารสทิสานํ วิหารานํ โลหปาสาทสทิสานญฺจ ปาสาทานํ อเนกานิ สตสหสฺสานิ กาเรตฺวา ทินฺนเสนาสนทานโตปิ อนาถปิณฺฑิกาทีหิ วิหาเร อารพฺภ กตปริจฺจาคโตปิ อนฺตมโส จตุปฺปทิกาย คาถาย อนุโทนวเสนาปิ ปวตฺติตํ ธมฺมทานเมว เสฏฺฐํ. กึการณา? เอวรูปานิ หิ ปุญฺญานิ กโรนฺตา ธมฺมํ สุตฺวาว กโรนฺติ, โน อสฺสุตฺวา; สเจ หิ อิเม สตฺตา ธมฺมํ น สุเณยฺยํ, อุฬุงฺกมตฺตํ ยาคํปิ กฏจฺฉุมตฺตํ ภตฺตํปิ น ทเทยฺยํ; อิมินา การเณน สพฺพทาเนหิ ธมฺมทานเมว เสฏฺฐํ.
ที่มา :
สกฺกเทวราชวตฺถุ (๒๔๙) ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๘
คำแปล :
ทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยบิณฑบาตอันประณีตแล้วถวายแก่บริษัท (คือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก) เห็นปานนั้นนั่นแหละก็ดี
เภสัชทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้นแล้วถวายก็ดี
เสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหารและปราสาทเช่นกับโลหปราสาทตั้งหลายแสนแล้วถวายก็ดี
การบริจาคที่บุคคลทั้งหลาย เช่นที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นริเริ่มสร้างวัดทั้งหลายแล้วได้บริจาคออกไปก็ดี
ธรรมทาน (คือการประกาศธรรมเผยแพร่ธรรม) ที่ผู้รู้ทั้งหลายกระทำกัน แม้จนชั้นต่ำที่สุดการกล่าวคำอนุโมทนา
ด้วยพระคาถาเพียง ๔ บาท (ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน) ก็ยังประเสริฐกว่าทานและการบริจาคดังที่กล่าวมานั้น
เพราะเหตุไร ?
เพราะว่าชนทั้งหลายเมื่อจะทำบุญเห็นปานนั้น ต่อฟังธรรมแล้วเท่านั้นจึงทำได้, ไม่ได้ฟังก็หาทำได้ไม่;
ก็ถ้าว่าสัตว์เหล่านี้ไม่พึงฟังธรรมไซร้, เขาก็ไม่พึงถวายข้าวยาคูประมาณกระบวยหนึ่งบ้าง ภัตประมาณทัพพีหนึ่งบ้าง;
เพราะเหตุนี้ ธรรมทานนั่นแหละจึงประเสริฐที่สุดกว่าทานทุกชนิด.
-๒-
อามิสปูชา จ นาเมสา สาสนํ เอกยาคุปานกาลมตฺตํปิ สนฺธาเรตํ น สกฺโกติ มหาวิหารสทิสญฺหิ วิหารสหสฺสํปิ มหาเจติยสทิสํ เจติยสหสฺสํปิ สาสนํ สนฺธาเรตํ น สกฺโกติ เยน กตํ ตสฺเสว โหติ สมฺมาปฏิปตฺติ ปน สตฺถุ อนุจฺฉวิกา ปูชา ฯ สา หิ เตน ปฏฺฐิตา เจว สกฺโกติ จ สาสนํ สนฺธาเรตํ ฯ
ที่มา :
ปูชากถา มังคลัตถทีปนี ภาค ๑ ข้อ ๖๙ หน้า ๗๖
คำแปล :
ก็ชื่อว่าอามิสบูชานั่นไม่อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ชั่วกาลแม้เพียงดื่มยาคูอึกหนึ่ง,
ความจริงวิหารนับพันเช่นมหาวิหารก็ดี เจดีย์นับพันเช่นมหาเจดีย์ก็ดี หาอาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ไม่;
ผู้ใดทำ, อานิสงส์ก็มีแก่ผู้นั้นเท่านั้น.
ส่วนสัมมาปฏิบัติเป็นบูชาสมควรแก่พระศาสดา. เพราะสัมมาปฏิบัตินั้นพระองค์โปรดด้วย อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วย.
------------
ข้อพิจารณา
คัมภีร์อันเป็นที่มาของข้อความที่ยกมานี้เป็นคัมภีร์ที่ใช้ศึกษาในหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์
ชั้น ป.ธ.๓ และ ป.ธ.๔ นั่นหมายถึงว่า
พระมหาเปรียญทุกรูปจะต้องได้ศึกษาเรื่องนี้มาแล้ว
และนั่นหมายถึงว่าวัดพระธรรมกายก็ย่อมจะได้ศึกษาเรื่องนี้มาแล้วด้วย
ประเด็นของผมอยู่ตรงนี้-ตรงที่ --
คัมภีร์บอกว่า วัดใหญ่โตมโหฬารก็รักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้
ธรรมกายบอกว่า วัดใหญ่โตมโหฬารรักษาพระศาสนาไว้ได้
ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่า-สร้างวัดใหญ่โตดีหรือไม่ดี
ถ้าจะอภิปรายประเด็นนี้ก็ต้องไปพูดกันอีกวงหนึ่ง
แต่ประเด็นอยู่ที่-ธรรมกายคิดอย่างไรจึงสอนสวนทาง?
เพจที่สนับสนุนวัดพระธรรมกายสรุปว่า -
........
เราจึงควรช่วยกันสร้างวัดใหญ่ๆเพิ่มขึ้น ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ และชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาบวชเป็นพระภิกษุให้มากขึ้นด้วย
........
ข้อเสนอแนะนี้มีกิจที่ควรทำ ๓ อย่าง คือ -
๑ ช่วยกันสร้างวัดใหญ่ๆ เพิ่มขึ้น
๒ ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ
๓ ชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาบวชเป็นพระภิกษุให้มากขึ้น
โปรดสังเกตว่า
กิจทั้ง ๓ อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องขึ้นแก่กันและกัน เช่นต้องสร้างวัดใหญ่ๆ ก่อนจึงจะชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ ได้
แต่ผู้เขียนข้อความนี้ใช้วิธีเรียงลำดับความจูงความคิดว่า-
ถ้าอยากให้มีคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมมากๆ ก็ต้องสร้างวัดใหญ่ๆ เพิ่มขึ้นก่อน
------------
ประเด็นนี้ต้องถอยไปตั้งหลักกันให้ถูกก่อนว่า-
เข้าวัดปฏิบัติธรรมคืออย่างไร
เวลานี้เรามักเข้าใจว่า
การปฏิบัติธรรม ก็คือ ต้องไปอยู่ ณ สถานที่ซึ่งจัดไว้ ต้องแต่งกายตามชุดที่กำหนด
ต้องอยู่ ๓ วัน ๗ วัน ต้องยืนเดินนั่งนอนตามอิริยาบถที่กำหนด จนกระทั่งบางทีต้องหายใจตามวิธีการที่กำหนดด้วย
ต้องทำดังว่ามานี้จึงจะเรียกว่า “ปฏิบัติธรรม”
เวลานี้คำว่า “เข้าวัดปฏิบัติธรรม” คนทั้งหลายพากันหมายความตามที่ว่านี้ไปแล้ว
ถ้าใครไม่ได้ทำตามนี้ ก็คือไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติธรรมไม่ได้
ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาไม่ได้กำหนดว่าต้องทำอย่างที่ว่านี้เลย
ปฏิบัติธรรมตามที่เข้าใจกันนั้นควรจะเรียกว่า
ภาคฝึกปฏิบัติธรรม หรือแบบฝึกหัดปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ควร-หรือต้อง-
ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สามารถปฏิบัติได้ทุกเวลาทุกสถานที่-
พูดหยาบๆ อย่างที่ผู้รู้ท่านว่า-แม้แต่ขณะเข้าห้องน้ำก็ปฏิบัติธรรมได้ เมื่อได้ผ่านการฝึกปฏิบัติธรรมจนเข้าใจถูกต้องแล้วว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร
แต่เพราะเราช่วยกันสร้างภาพตอกย้ำว่า ปฏิบัติธรรมต้องแต่งชุดขาว ต้องไปอยู่ที่สำนักนั่น ๓ วัน ๗ วัน ฯลฯ จึงทำให้เกิดความเข้าใจว่า
จะปฏิบัติธรรมแต่ละทีต้องไปวัด ต้องแต่งชุดขาว ปฏิบัติธรรมเป็นคนละเรื่องกับชีวิตประจำวัน
ทั้งๆ ที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อเป็นตัวของชีวิตประจำวันเลยทีเดียว ไม่ต้องแบ่งเวลาออกจากชีวิตประจำวันเลย
แทนที่เราจะแนะวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องว่า เจริญสติแบบนี้นะ กำหนดจิตแบบนี้นะ เมื่อเข้าใจดีแล้วโยมอยู่ที่ไหนก็ทำที่นั่นแหละ
ทำได้ตลอดเวลา กำลังทำงานก็ทำได้ กำลังขับรถอยู่ก็ทำได้ กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวก็ทำได้ แม้กำลังพูดคุยกับใครอยู่ก็ทำได้
แต่เราพากันบอกย้ำว่า
ปฏิบัติธรรมคือต้องไปวัด ต้องไปเข้าหลักสูตร ต้องไปชุมนุมกันที่วัดเท่านั้น และถ้าไปกันเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยิ่งดี
เป็นการปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่
จากปฏิบัติธรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน
กลายเป็นปฏิบัติธรรมต้องแยกตัวออกจากชีวิตประจำวัน
ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าจะให้คนปฏิบัติธรรมมากๆ ก็ต้องสร้างวัดใหญ่ๆ ไว้รองรับ
ถ้าไม่สร้างวัดใหญ่ๆ ไว้รองรับ คนก็จะไม่มีสถานที่ปฏิบัติธรรม และจะไม่ได้ปฏิบัติธรรม
พูดอย่างนี้อย่าเข้าใจผิดไปอีกว่า การปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปทำที่วัด ชาวพุทธไม่ต้องไปวัดก็ได้ หรือถ้าอย่างนี้ไม่ต้องมีวัดก็ได้
ประเดี๋ยวจะมีคนชวนให้ทะเลาะกับวัดที่มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมเข้าอีก
ใครจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดไหนหรือสำนักไหน ก็เชิญตามสะดวก เพียงแต่ขอได้โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า
เมื่อเรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแล้วจะปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติแล้วสงสัยอะไร จะไปศึกษาสอบถามหรือลองปฏิบัติที่วัดอีกก็ได้
หลักสำคัญก็คือศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจถูกต้องว่าวิธีปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานั้นคือทำอย่างไร
หลักสำคัญของการปฏิบัติธรรมก็คือ อยู่กับชีวิตจริง ทำกับชีวิตจริง ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนชีวิตจริงทำอะไร ก็ปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับชีวิตจริงๆ นั่นเลย
ถ้าการปฏิบัติธรรมจะต้องมีโลกส่วนตัวโดยเฉพาะที่แยกออกจากชีวิตประจำวัน ธรรมของพระพุทธเจ้าก็จะมีประโยชน์น้อยที่สุด
เพราะจะมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีโอกาสสร้างโลกส่วนตัวไว้ปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลา
สรุปว่า การสร้างวัด การไปวัด การไปทำกิจต่างๆ ที่วัด เป็นวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ยังต้องมี ต้องทำ ยังต้องควรชักชวนกันทำ เลิกไม่ได้
วัดยังมีความจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตของคนไทย
เรายังจำเป็นต้องมีวัดไว้รองรับวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต
แต่ไม่ใช่มีวัดไว้รองรับการปฏิบัติธรรมตามความหมายที่คลาดเคลื่อนที่คนส่วนมากพากันเข้าใจ
------------
(ต่อ)
ธรรมกาย กับ คำสอนที่สวนทาง : "ลพ บอกว่ามีเงินบาทเดียวก็ทำบุญได้" แต่กลับตั้งสหกรณ์ขึ้นมาในวัดเพื่อให้คนกู้เงินไปทำบุญ !!
ทองย้อย แสงสินชัย (ป.ธ. ๙)
Former ผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ at Royal Thai Navy
---------------------
---------------------
เรื่องสร้างศาสนสถานใหญ่โต
-------------
หมายเหตุ
ผมเขียนเรื่อง “คำสอนที่สวนทาง” มาแล้ว ๒ ตอน
ตอนที่ ๑ เรื่องนิพพานเป็นอัตตา
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1053090678118002
ตอนที่ ๒ เรื่อง บริจาคมากได้บุญมาก
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/1053128414780895
-------------
(ต่อไปนี้เป็นตอนที่ ๓)
เรื่องนี้มีที่มาจากเพจที่ชื่อ พุทธสามัคคี ซึ่งเป็นเพจที่สนับสนุนวัดพระธรรมกาย โพสต์เมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘
สรรเสริญการสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่ว่ามีประโยชน์มากมายหลายอย่าง
ข้อความตอนหนึ่งว่าดังนี้ -
...........
สถานศึกษาจะมีหลายขนาด เช่น สถานศึกษาในหมู่บ้าน ก็เป็นโรงเรียนประถม ในตำบล ในอำเภอ ในจังหวัด ก็เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ขึ้น
จนถึงมัธยม บางจังหวัดก็มีสถาบันระดับอาชีวะและอุดมศึกษา ส่วนในระดับประเทศก็มีมหาวิทยาลัยใหญ่
บางแห่งใช้งบก่อสร้างหลายหมื่นล้านบาท ใช้งบดำเนินการปีละหลายพันล้าน
หากทั้งประเทศมีแต่โรงเรียนประชาบาล ไม่มีมหาวิทยาลัย ก็คงยากที่จะพัฒนาการศึกษาและคุณภาพประชากรได้
สถานศึกษาต้องมีหลายระดับ ต่างทำหน้าที่ตามบทบาทของตน
วัดก็เช่นเดียวกัน มีทั้งวัดในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เป็นเหมือนโรงเรียนสอนศีลธรรมในชุมชน และต้องมีวัดใหญ่ๆ
เพื่อเป็นเหมือนมหาวิทยาลัยสอนศีลธรรม เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของวัดต่างๆ เพื่อนำไปขยายผลต่อไปยังประชาชนทั่วประเทศ
เป็นแหล่งสร้างสรรค์กิจกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา กระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวในการปลูกฝังศีลธรรม
เป็นเหมือนหัวรถจักรที่ฉุดขบวนรถไฟให้เคลื่อนตัวไป
......
เราจึงควรช่วยกันสร้างวัดใหญ่ๆเพิ่มขึ้น ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ
และชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาบวชเป็นพระภิกษุให้มากขึ้นด้วย
(ภาพประกอบของเพจดังกล่าว)
...........
--------------
ผมได้เขียนวิจารณ์ไปแล้วในบทความชื่อ “วิธีรักษาพระศาสนา” ญาติมิตรที่ประสงค์จะทราบรายละเอียด
โปรดตามไปอ่านที่ลิงก์ข้างล่างนี้
https://www.facebook.com/tsangsinchai/posts/880338438726561:0
--------------
ที่ยกประเด็นการสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โตมาไว้ในชุดคำสอนที่สวนทางก็เพราะว่าการสร้างวัดหรือศาสนสถานใหญ่ๆ
นั้นเป็นเรื่องที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์
เพื่อเจริญปัญญาสัมมาทิฐิ ขอเชิญศึกษาจากข้อความในคัมภีร์ดังต่อไปนี้
--------------
-๑-
ตถารูปายเอว ปริสาย ปณีตปิณฺฑปาตสฺส ปตฺเต ปูเรตฺวา ทินฺนทานโตปิ สปฺปิเตลาทีนํ ปตฺเต ปูเรตฺวา ทินฺนเภสชฺชทานโตปิ มหาวิหารสทิสานํ วิหารานํ โลหปาสาทสทิสานญฺจ ปาสาทานํ อเนกานิ สตสหสฺสานิ กาเรตฺวา ทินฺนเสนาสนทานโตปิ อนาถปิณฺฑิกาทีหิ วิหาเร อารพฺภ กตปริจฺจาคโตปิ อนฺตมโส จตุปฺปทิกาย คาถาย อนุโทนวเสนาปิ ปวตฺติตํ ธมฺมทานเมว เสฏฺฐํ. กึการณา? เอวรูปานิ หิ ปุญฺญานิ กโรนฺตา ธมฺมํ สุตฺวาว กโรนฺติ, โน อสฺสุตฺวา; สเจ หิ อิเม สตฺตา ธมฺมํ น สุเณยฺยํ, อุฬุงฺกมตฺตํ ยาคํปิ กฏจฺฉุมตฺตํ ภตฺตํปิ น ทเทยฺยํ; อิมินา การเณน สพฺพทาเนหิ ธมฺมทานเมว เสฏฺฐํ.
สกฺกเทวราชวตฺถุ (๒๔๙) ธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๘
คำแปล :
ทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยบิณฑบาตอันประณีตแล้วถวายแก่บริษัท (คือพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก) เห็นปานนั้นนั่นแหละก็ดี
เภสัชทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้นแล้วถวายก็ดี
เสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหารและปราสาทเช่นกับโลหปราสาทตั้งหลายแสนแล้วถวายก็ดี
การบริจาคที่บุคคลทั้งหลาย เช่นที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นริเริ่มสร้างวัดทั้งหลายแล้วได้บริจาคออกไปก็ดี
ธรรมทาน (คือการประกาศธรรมเผยแพร่ธรรม) ที่ผู้รู้ทั้งหลายกระทำกัน แม้จนชั้นต่ำที่สุดการกล่าวคำอนุโมทนา
ด้วยพระคาถาเพียง ๔ บาท (ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน) ก็ยังประเสริฐกว่าทานและการบริจาคดังที่กล่าวมานั้น
เพราะเหตุไร ?
เพราะว่าชนทั้งหลายเมื่อจะทำบุญเห็นปานนั้น ต่อฟังธรรมแล้วเท่านั้นจึงทำได้, ไม่ได้ฟังก็หาทำได้ไม่;
ก็ถ้าว่าสัตว์เหล่านี้ไม่พึงฟังธรรมไซร้, เขาก็ไม่พึงถวายข้าวยาคูประมาณกระบวยหนึ่งบ้าง ภัตประมาณทัพพีหนึ่งบ้าง;
เพราะเหตุนี้ ธรรมทานนั่นแหละจึงประเสริฐที่สุดกว่าทานทุกชนิด.
-๒-
อามิสปูชา จ นาเมสา สาสนํ เอกยาคุปานกาลมตฺตํปิ สนฺธาเรตํ น สกฺโกติ มหาวิหารสทิสญฺหิ วิหารสหสฺสํปิ มหาเจติยสทิสํ เจติยสหสฺสํปิ สาสนํ สนฺธาเรตํ น สกฺโกติ เยน กตํ ตสฺเสว โหติ สมฺมาปฏิปตฺติ ปน สตฺถุ อนุจฺฉวิกา ปูชา ฯ สา หิ เตน ปฏฺฐิตา เจว สกฺโกติ จ สาสนํ สนฺธาเรตํ ฯ
ปูชากถา มังคลัตถทีปนี ภาค ๑ ข้อ ๖๙ หน้า ๗๖
คำแปล :
ก็ชื่อว่าอามิสบูชานั่นไม่อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ชั่วกาลแม้เพียงดื่มยาคูอึกหนึ่ง,
ความจริงวิหารนับพันเช่นมหาวิหารก็ดี เจดีย์นับพันเช่นมหาเจดีย์ก็ดี หาอาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ไม่;
ผู้ใดทำ, อานิสงส์ก็มีแก่ผู้นั้นเท่านั้น.
ส่วนสัมมาปฏิบัติเป็นบูชาสมควรแก่พระศาสดา. เพราะสัมมาปฏิบัตินั้นพระองค์โปรดด้วย อาจดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วย.
------------
ข้อพิจารณา
คัมภีร์อันเป็นที่มาของข้อความที่ยกมานี้เป็นคัมภีร์ที่ใช้ศึกษาในหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์
ชั้น ป.ธ.๓ และ ป.ธ.๔ นั่นหมายถึงว่า พระมหาเปรียญทุกรูปจะต้องได้ศึกษาเรื่องนี้มาแล้ว
และนั่นหมายถึงว่าวัดพระธรรมกายก็ย่อมจะได้ศึกษาเรื่องนี้มาแล้วด้วย
ประเด็นของผมอยู่ตรงนี้-ตรงที่ --
คัมภีร์บอกว่า วัดใหญ่โตมโหฬารก็รักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้
ธรรมกายบอกว่า วัดใหญ่โตมโหฬารรักษาพระศาสนาไว้ได้
ประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่า-สร้างวัดใหญ่โตดีหรือไม่ดี
ถ้าจะอภิปรายประเด็นนี้ก็ต้องไปพูดกันอีกวงหนึ่ง
แต่ประเด็นอยู่ที่-ธรรมกายคิดอย่างไรจึงสอนสวนทาง?
เพจที่สนับสนุนวัดพระธรรมกายสรุปว่า -
........
เราจึงควรช่วยกันสร้างวัดใหญ่ๆเพิ่มขึ้น ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ และชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาบวชเป็นพระภิกษุให้มากขึ้นด้วย
........
ข้อเสนอแนะนี้มีกิจที่ควรทำ ๓ อย่าง คือ -
๑ ช่วยกันสร้างวัดใหญ่ๆ เพิ่มขึ้น
๒ ชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ
๓ ชวนคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถมาบวชเป็นพระภิกษุให้มากขึ้น
โปรดสังเกตว่า กิจทั้ง ๓ อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องขึ้นแก่กันและกัน เช่นต้องสร้างวัดใหญ่ๆ ก่อนจึงจะชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมให้มากๆ ได้
แต่ผู้เขียนข้อความนี้ใช้วิธีเรียงลำดับความจูงความคิดว่า-ถ้าอยากให้มีคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมมากๆ ก็ต้องสร้างวัดใหญ่ๆ เพิ่มขึ้นก่อน
------------
ประเด็นนี้ต้องถอยไปตั้งหลักกันให้ถูกก่อนว่า-เข้าวัดปฏิบัติธรรมคืออย่างไร
เวลานี้เรามักเข้าใจว่า
การปฏิบัติธรรม ก็คือ ต้องไปอยู่ ณ สถานที่ซึ่งจัดไว้ ต้องแต่งกายตามชุดที่กำหนด
ต้องอยู่ ๓ วัน ๗ วัน ต้องยืนเดินนั่งนอนตามอิริยาบถที่กำหนด จนกระทั่งบางทีต้องหายใจตามวิธีการที่กำหนดด้วย
ต้องทำดังว่ามานี้จึงจะเรียกว่า “ปฏิบัติธรรม”
เวลานี้คำว่า “เข้าวัดปฏิบัติธรรม” คนทั้งหลายพากันหมายความตามที่ว่านี้ไปแล้ว
ถ้าใครไม่ได้ทำตามนี้ ก็คือไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติธรรมไม่ได้
ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงในพระพุทธศาสนาไม่ได้กำหนดว่าต้องทำอย่างที่ว่านี้เลย
ปฏิบัติธรรมตามที่เข้าใจกันนั้นควรจะเรียกว่า ภาคฝึกปฏิบัติธรรม หรือแบบฝึกหัดปฏิบัติธรรม
ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ควร-หรือต้อง-ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน สามารถปฏิบัติได้ทุกเวลาทุกสถานที่-
พูดหยาบๆ อย่างที่ผู้รู้ท่านว่า-แม้แต่ขณะเข้าห้องน้ำก็ปฏิบัติธรรมได้ เมื่อได้ผ่านการฝึกปฏิบัติธรรมจนเข้าใจถูกต้องแล้วว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร
แต่เพราะเราช่วยกันสร้างภาพตอกย้ำว่า ปฏิบัติธรรมต้องแต่งชุดขาว ต้องไปอยู่ที่สำนักนั่น ๓ วัน ๗ วัน ฯลฯ จึงทำให้เกิดความเข้าใจว่า
จะปฏิบัติธรรมแต่ละทีต้องไปวัด ต้องแต่งชุดขาว ปฏิบัติธรรมเป็นคนละเรื่องกับชีวิตประจำวัน
ทั้งๆ ที่ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเนื้อเป็นตัวของชีวิตประจำวันเลยทีเดียว ไม่ต้องแบ่งเวลาออกจากชีวิตประจำวันเลย
แทนที่เราจะแนะวิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องว่า เจริญสติแบบนี้นะ กำหนดจิตแบบนี้นะ เมื่อเข้าใจดีแล้วโยมอยู่ที่ไหนก็ทำที่นั่นแหละ
ทำได้ตลอดเวลา กำลังทำงานก็ทำได้ กำลังขับรถอยู่ก็ทำได้ กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวก็ทำได้ แม้กำลังพูดคุยกับใครอยู่ก็ทำได้
แต่เราพากันบอกย้ำว่า
ปฏิบัติธรรมคือต้องไปวัด ต้องไปเข้าหลักสูตร ต้องไปชุมนุมกันที่วัดเท่านั้น และถ้าไปกันเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยิ่งดี
เป็นการปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่
จากปฏิบัติธรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน
กลายเป็นปฏิบัติธรรมต้องแยกตัวออกจากชีวิตประจำวัน
ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าจะให้คนปฏิบัติธรรมมากๆ ก็ต้องสร้างวัดใหญ่ๆ ไว้รองรับ
ถ้าไม่สร้างวัดใหญ่ๆ ไว้รองรับ คนก็จะไม่มีสถานที่ปฏิบัติธรรม และจะไม่ได้ปฏิบัติธรรม
พูดอย่างนี้อย่าเข้าใจผิดไปอีกว่า การปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปทำที่วัด ชาวพุทธไม่ต้องไปวัดก็ได้ หรือถ้าอย่างนี้ไม่ต้องมีวัดก็ได้
ประเดี๋ยวจะมีคนชวนให้ทะเลาะกับวัดที่มีกิจกรรมปฏิบัติธรรมเข้าอีก
ใครจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดไหนหรือสำนักไหน ก็เชิญตามสะดวก เพียงแต่ขอได้โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า
เมื่อเรียนรู้วิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแล้วจะปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ปฏิบัติแล้วสงสัยอะไร จะไปศึกษาสอบถามหรือลองปฏิบัติที่วัดอีกก็ได้
หลักสำคัญก็คือศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจถูกต้องว่าวิธีปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนานั้นคือทำอย่างไร
หลักสำคัญของการปฏิบัติธรรมก็คือ อยู่กับชีวิตจริง ทำกับชีวิตจริง ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนชีวิตจริงทำอะไร ก็ปฏิบัติธรรมควบคู่ไปกับชีวิตจริงๆ นั่นเลย
ถ้าการปฏิบัติธรรมจะต้องมีโลกส่วนตัวโดยเฉพาะที่แยกออกจากชีวิตประจำวัน ธรรมของพระพุทธเจ้าก็จะมีประโยชน์น้อยที่สุด
เพราะจะมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีโอกาสสร้างโลกส่วนตัวไว้ปฏิบัติธรรมได้ตลอดเวลา
สรุปว่า การสร้างวัด การไปวัด การไปทำกิจต่างๆ ที่วัด เป็นวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต ยังต้องมี ต้องทำ ยังต้องควรชักชวนกันทำ เลิกไม่ได้
วัดยังมีความจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตของคนไทย
เรายังจำเป็นต้องมีวัดไว้รองรับวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต
แต่ไม่ใช่มีวัดไว้รองรับการปฏิบัติธรรมตามความหมายที่คลาดเคลื่อนที่คนส่วนมากพากันเข้าใจ
------------
(ต่อ)