ออกหมายเรียกหลายครั้งก็ไม่มา ออกหมายจับและจับสึกเลยดีกว่าและขึ้นศาลเลย ต่อไปให้ขึ้นศาลเดียวไม่งั้นคนจะห่มเหลืองมาหากิน

ออกหมายเรียกหลายครั้งก็ไม่มา ออกหมายจับและจับสึกเลยดีกว่าและขึ้นศาลเลย ต่อไปให้ขึ้นศาลเดียวไม่งั้นคนจะห่มเหลืองมาหากิน

ห่มเหลืองหากิน  ดูดเงินจากชาวบ้านจากประชาชน

และอ้างว่าเงินนี้คนบริจาคมา

สมมุติเอาเงินที่ยักยอกจากธนาคาร จากบรษัทเอามาถวาย

และรู้แล้วว่าเงินนี้โดงมาตอนแรกไม่ยอมคืน  

ตอนหลังยอมคืนเพราะกลัวจะเสียทั้งหมด

และยังมีการอ้างว่าเงินที่บริจาคมา ทำประโยชน์ต่อศาสนาหลายอย่าง


___ ถ้าอ้างแบบนี้กฎไม่ต้องมีกฏหมายแล้ว

โกงเงินมา 1000 ล้าน บริจาค 50 ล้าน
บริจาคเงินมากๆๆๆๆๆได้ขึ้นสวรรค์  โกงมาถวายพระไม่ผิดแล้วรอรับเงินจ่ายคืนกลับมา

บางบริษัทก็ใช้วิธีการฟอกเงินแบบนี้ ในการเอาเงินไปถวายวัดให้ไปสร้างพระเครื่องหรือทำวัด

แต่จริงๆแล้วไม่ได้ทำ ทอนเงินคืนกลับมาให้บริษัท

และถ้าพระที่มีความผิดโดนหมายเรียกแล้วทำไม  คณะมนตรีสงฆ์ ยังไม่ย้าย ไม่ให้ออกจากวัดนั้น
แปลว่า  ตุลาการสงฆ์ มีส่วนร่วมได้กับเงินที่โกงมาด้วย ใช่หรือไม่


แปลว่าประเทศนั้นคงมีปัญหาแล้วละ


ต่อไปพระทำผิดต้องขึ้นศาลเดียว ถ้าผิดจำคุกตลอดชีวิตเลยเพราะถือว่า
พระควรอยู่ในศีลในธรรม มากกว่าคนทั้วไป
ถ้าทำไม่ได้ควรออกจากการเป็นพระ. และดำเนินคดี

แต่คาดว่าออกหมายเรียกหลายครั้งแล้วไม่มาคงเตรียมหนีออกนอกประเทศแล้วละ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
พระธัมมชโย ไม่ได้อาศัยผ้าเหลืองหากิน คนนี้ต่างหาก ที่อาศัยผ้าเหลืองให้กิน คดีคนนี้ตั้งเยอะแยะ ดำเนินการถึงไหนแล้ว จริงๆคลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ความคิดเห็นที่ 13
เผย! แผนลับ..
จับพระธัมมชโยสึก !!++
  
พระธัมมชโยท่านป่วยหลายโรคมากว่า 10 ปี ออกนอกวัดไม่เกิน 3 ครั้ง ตลอดมาทั้งปีที่ผ่านมา พระธัมมชโยไม่เคยออกนอกวัดเลย ท่านเป็นเรื้อรังมายาวนาน ทั้งเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ กล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเลือดดำอุดตัน ฯ ถ้านั่งในรถนานๆก็มีปัญหา ออกไปข้างนอกไปเจอสภาพอากาศที่ควบคุมไม่ได้ ฝุ่น ควัน เชื้อโรค สารเคมีแม้จากเสื้อผ้าของคนรอบข้าง ก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาการจะยิ่งทรุดหนัก

พระธัมมชโย + วัดพระธรรมกาย + วัดอื่นๆ ที่รับเช็คสหกรณ์ คลองจั่น
อัยการสั่งให้ DSI สอบสวนเพิ่มเติม แล้วส่งให้อัยการพิจารณาอีกครั้ง

ทำไม ในเมื่อ DSI หรือพนักงานสอบสวนสามารถมาแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีหมายเรียกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 52 วรรค 2 ได้ ทำไมไม่ไปสอบสวนที่วัดล่ะ ทั้งที่รู้ว่า
(หรือไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้) ถ้าเลื่อนไปเรื่อยๆก็แจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้สักที ก็มาแจ้งที่วัดเลยสิคะ
ขั้นตอนของกระบวนการสอบสวนจะได้จบ ต่อไปเป็นขั้นตอนของการฟ้อง เป็นเรื่องของอัยการว่าคดีมีมูลและอยู่ในเกณฑ์จะส่งฟ้องหรือไม่ และเป็นเรื่องของศาลว่าจะประทับฟ้องหรือไม่ เพราะคดีนี้ไม่มีผู้เสียหายตามป.วิ.อ.แล้ว แถมเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน

ในคดีที่ 146/2556 ที่มีการฟ้องคุณศุภชัยฐานลักทรัพย์นายจ้าง  ซึ่งตามหลักกฎหมายมีอยู่ว่า "
บุคคลไม่ควรถูกพิจารณาในมูลคดีเดียวกัน 2 ครั้ง "
ถ้าจะฟ้องในกรณีที่มูลคดีเป็นเรื่องอันเดียวกัน ต้องบรรยายมาในคดี 145/2556 ว่าฟ้องใครเป็นจำเลยบ้าง ฟ้องข้อหาอะไรบ้าง
    
  กรณีนำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องอีกครั้งนี้ ศาลไม่อาจประทับฟ้องได้ คดี 27/2559 เป็นฟ้องซ้อน ถ้าต่อมาภายหลังศาลประทับฟ้องคดี 146 /2556 เมื่อไหร่ ศาลต้องยกฟ้องคดี 27/2559 อย่างเดียว
เพราะฉะนั้น DSI จะแจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และควรจะถูกฟ้องกลับความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานกลั่นแกล้งผู้อื่นเพื่อให้ได้รับโทษด้วย

สรุป DSI รู้ว่าเป็นฟ้องซ้อน ตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรค 2 (1) ประกอบป.วิ.อาญา มาตรา 15  แต่ที่ออกหมายเรียกให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ DSI ให้ท่านออกจากวัดให้ได้ ทั้งที่มาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดเองจะง่ายแสนง่าย เพราะ DSI ไม่ได้ป่วยเรื้อรังแบบพระธัมมชโย

แต่ทำไมไม่ทำ มีแผนต้องการจะหลอกให้พระธัมมชโย ออกไปพบข้างนอกวัด เพื่อรวบตัวหรือไม่ ? หรือถ้าแพทย์ผู้ดูแลพระธัมมชโย มีความเห็นว่าพระธัมมชโย ยังออกไปไม่ได้ จะขอเลื่อนไปอีก
DSI ก็จะใช้แผน 2 พยายามหาความชอบธรรมที่จะขอหมายจับจากศาลอีกใช่ไหม ?
ทั้งที่แค่มาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายก็จบแล้ว
ชักสงสัยพฤติกรรมของ ดีเอสไอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่