ศูนย์วิจัยฯ แบงก์ไทยพาณิชย์ชี้ผู้มีรายได้ 1-1.5 หมื่นบาท/เดือน ผิดนัดชำระหนี้เพิ่ม เอ็นพีแอลพุ่ง ปัจจัยหลักจากรายได้ประจำ-โอทีลด แบงก์เมินปล่อยกู้ จับตารายได้เกิน 1.5 หมื่นบาทสถานการณ์น่าห่วง
นางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มเห็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้และเอ็นพีแอล (หนี้ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน) เพิ่มขึ้น ในกลุ่มผู้มีรายได้เฉลี่ย 10,000-15,000 บาท/เดือน เนื่องจากกลุ่มนี้ในปัจจุบันมีภาระหนี้สินต่อรายได้ (DSR) สูงถึง 60% ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งมีปัญหาภัยแล้ง จึงส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของคนกลุ่มนี้ให้ลดลง และในอนาคตยังมีสัญญาณผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าคาดได้
นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มคนที่มีรายได้ในช่วงไตรมาสยังมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะรายได้จากค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) ซึ่งลดลง 1% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยนี้ส่งผลกระทบต่อความสามารถชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญ และอาจมีส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส1/59 เนื่องจากปัญหาเอ็นพีแอลที่ยังมีอยู่มาก
"ปัจจุบันหนี้สินครัวเรือนสูง ขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินที่ภาคครัวเรือนเก็บสะสมพบว่ามีเพียง 10% ของมูลหนี้ภาคครัวเรือน ดังนั้น หากมีความเปราะบางทางรายได้เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบเพราะครัวเรือนเหล่านี้จะไม่สามารถผันสินทรัพย์มาเป็นสภาพคล่องได้เพียงพอต่อความจำเป็นในระยะสั้นได้และไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มรายได้ที่จะขาดหายไป เรื่องนี้จึงน่าเป็นห่วง และจะเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในอนาคต" นางสุทธาภากล่าว
อีกทั้งการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นของผู้มีรายได้ในกลุ่มดังกล่าว ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือนในอนาคตเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงรายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ดังนั้น จึงเห็นว่ากลุ่มผู้มีรายได้ 10,000-15,000 บาท/เดือน จึงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์มากเท่ากับแบงก์รัฐและกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (น็อนแบงก์)
"ตอนนี้ยังเห็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของผู้มีรายได้เกิน 15,000 บาท/เดือนมากขึ้นด้วย เนื่องจากคนกลุ่มนี้ก็เริ่มมีความสามารถสร้างรายได้ลดลง และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว" นางสุทธาภากล่าว
นายบุนชาน กุลวทัญญู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า กลุ่มผู้มีรายได้ 15,000 บาท/เดือน ชำระหนี้ล่าช้ามากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและไม่สอดคล้องกับรายได้ และที่ผ่านมาแบงก์ได้ระมัดระวังมากขึ้น ตั้งแต่การสกรีนลูกค้า ดูภาระหนี้เทียบกับรายได้ในการอนุมัติสินเชื่อต่างๆ ซึ่งแม้กลุ่มรายได้ 15,000 บาท จะเป็นกลุ่มลูกค้าขั้นเริ่มต้น ที่ธนาคารรับพิจารณาในการให้สินเชื่อ แต่ธนาคารก็ไม่ได้โฟกัสกลุ่มนี้มากนัก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในด้านการชำระนี้ที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงจะเห็นว่าในปัจจุบันฐานลูกค้ากลุ่มนี้ของแบงก์จึงค่อนข้างน้อย
"แน่นอนว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อกลุ่มรายได้ไม่ถึง15,000 บาท/เดือน สูงขึ้น เพราะหนี้สูงแล้ว และแบงก์ไม่ค่อยไปโฟกัสหรือพิจารณาลูกค้ากลุ่มนี้เข้าพอร์ตในช่วงที่ผ่านมา เพราะเห็นปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคล ลูกค้าสินเชื่อเงินสดต่าง ๆ เพราะพฤติกรรมการชำระคืนหนี้ของกลุ่มนี้ด้อยลง ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง แบงก์จึงต้องไปมองกลุ่มอื่นๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น กลุ่มรายได้ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งศักยภาพยังดีอยู่" นายบุนชานกล่าว
JJNY : เศรษฐกิจดี๊ดี.... รายได้ต่ำ 1.5 หมื่น เบี้ยวหนี้หนัก แบงก์เมินปล่อยกู้ - สกัด NPL
นางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มเห็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้และเอ็นพีแอล (หนี้ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน) เพิ่มขึ้น ในกลุ่มผู้มีรายได้เฉลี่ย 10,000-15,000 บาท/เดือน เนื่องจากกลุ่มนี้ในปัจจุบันมีภาระหนี้สินต่อรายได้ (DSR) สูงถึง 60% ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รวมทั้งมีปัญหาภัยแล้ง จึงส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของคนกลุ่มนี้ให้ลดลง และในอนาคตยังมีสัญญาณผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าคาดได้
นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มคนที่มีรายได้ในช่วงไตรมาสยังมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะรายได้จากค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) ซึ่งลดลง 1% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งปัจจัยนี้ส่งผลกระทบต่อความสามารถชำระหนี้อย่างมีนัยสำคัญ และอาจมีส่วนสำคัญที่จะกระตุ้นหนี้ครัวเรือนให้เพิ่มขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส1/59 เนื่องจากปัญหาเอ็นพีแอลที่ยังมีอยู่มาก
"ปัจจุบันหนี้สินครัวเรือนสูง ขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินที่ภาคครัวเรือนเก็บสะสมพบว่ามีเพียง 10% ของมูลหนี้ภาคครัวเรือน ดังนั้น หากมีความเปราะบางทางรายได้เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบเพราะครัวเรือนเหล่านี้จะไม่สามารถผันสินทรัพย์มาเป็นสภาพคล่องได้เพียงพอต่อความจำเป็นในระยะสั้นได้และไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มรายได้ที่จะขาดหายไป เรื่องนี้จึงน่าเป็นห่วง และจะเป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นในอนาคต" นางสุทธาภากล่าว
อีกทั้งการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นของผู้มีรายได้ในกลุ่มดังกล่าว ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อหนี้ครัวเรือนในอนาคตเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงรายได้ของผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ดังนั้น จึงเห็นว่ากลุ่มผู้มีรายได้ 10,000-15,000 บาท/เดือน จึงไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์มากเท่ากับแบงก์รัฐและกลุ่มที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (น็อนแบงก์)
"ตอนนี้ยังเห็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของผู้มีรายได้เกิน 15,000 บาท/เดือนมากขึ้นด้วย เนื่องจากคนกลุ่มนี้ก็เริ่มมีความสามารถสร้างรายได้ลดลง และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว" นางสุทธาภากล่าว
นายบุนชาน กุลวทัญญู ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า กลุ่มผู้มีรายได้ 15,000 บาท/เดือน ชำระหนี้ล่าช้ามากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและไม่สอดคล้องกับรายได้ และที่ผ่านมาแบงก์ได้ระมัดระวังมากขึ้น ตั้งแต่การสกรีนลูกค้า ดูภาระหนี้เทียบกับรายได้ในการอนุมัติสินเชื่อต่างๆ ซึ่งแม้กลุ่มรายได้ 15,000 บาท จะเป็นกลุ่มลูกค้าขั้นเริ่มต้น ที่ธนาคารรับพิจารณาในการให้สินเชื่อ แต่ธนาคารก็ไม่ได้โฟกัสกลุ่มนี้มากนัก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในด้านการชำระนี้ที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ จึงจะเห็นว่าในปัจจุบันฐานลูกค้ากลุ่มนี้ของแบงก์จึงค่อนข้างน้อย
"แน่นอนว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อกลุ่มรายได้ไม่ถึง15,000 บาท/เดือน สูงขึ้น เพราะหนี้สูงแล้ว และแบงก์ไม่ค่อยไปโฟกัสหรือพิจารณาลูกค้ากลุ่มนี้เข้าพอร์ตในช่วงที่ผ่านมา เพราะเห็นปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคล ลูกค้าสินเชื่อเงินสดต่าง ๆ เพราะพฤติกรรมการชำระคืนหนี้ของกลุ่มนี้ด้อยลง ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง แบงก์จึงต้องไปมองกลุ่มอื่นๆ ที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น กลุ่มรายได้ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งศักยภาพยังดีอยู่" นายบุนชานกล่าว