มีใครสบายใจที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วแบบเราบ้างคะ

เรารู้สึกว่าสังคมที่เราอยู่เค้าไม่ค่อยยอมรับเรา  โดยเฉพาะสังคมโรงเรียนเวลาที่เรามีความคิดหรือคำถามแปลกๆออกมา  
ใครๆก็ชอบมองเราแล้วถามว่าคิดได้ยังไงทำไมคิดแบบนี้     บางคนก็มองเราด้วยสายตาสงสัย  ครูบางคนเคยพูดว่าเราเป็นเด็กพิเศษ  
ควรที่จะต้องได้รับการบำบัดเธอพูดต่อหน้าเพื่อนๆในห้องตอนนั้นยังเรียน ม.ต้นอยู่จำได้แม่นเลย    มาหาแม่เราที่บ้านบอกว่าเราไม่ปกติ  
บอกรุ่นพี่ที่โรงเรียนว่าเราแปลก    จากแค่การตั้งคำถามที่มันแปลกจากเค้า  
แค่มันเป็นคำถามที่เค้าไม่ต้องการที่จะตอบแต่มันอยู่ในเนื้อหาที่สอน    แค่คำถามที่มันขัดแย้งกับสิ่งที่เค้าคิดว่ามันเป็น  
แค่ความคิดที่มันสะท้อนออกมาจากความรู้สึกของเรา  
           เราเคยได้คะแนนข้อสอบข้อเขียน  วิชาภาษาไทย 0  จากคำสั่ง  นักเรียนคิดว่าวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีช่วยจรรโลงสังคมไทย
หรือไม่อย่างไร    เพราะว่าเราไปแสดงความคิดเห็นว่าพระอภัยมณีไม่ใช่วรรณคดีที่จรรโลงสังคมเพราะว่านอกจากความงดงามด้านภาษา
แล้วตัวพระอภัยมณีซึ่งเป็นตัวเอกไม่มีพฤติกรรมหรืออะไรเลยที่ควรค่าแก่สังคมไทย  อีกทั้งสุนทรภู่มีความคิดและพฤติกรรมเหยียดเพศ  
สุดท้ายสอบกลางภาคตกโดนด่าหน้าห้อง    พอเราบอกว่ามันเป็นความคิดมันไม่มีถูกผิดก็ว่าเราอีกว่าความคิดและตรรกะประหลาด
เรารู้สึกเบื่อโรงเรียนมากไม่ชอบไปเลย    ตอนนี้ดีใจว่าหลุดพ้นได้สักที  
          จากแต่ก่อนเราชอบวิชาวิทยาศาสตร์มากก็กลายเป็นวิชาที่เกลียดสุด   เราเคยคิดว่าวิทยาศาสตร์คือวิชาแห่งความสร้างสรรค์
วิชาที่นำเอาแนวคิดต่างๆมาวิเคราะห์แล้วบูรณาการให้เกิดเป็นสิ่งใหม่ๆ     แต่สังคมที่นั่นก็พังความเชื่อของเราจนหมด  
ความคิดแบบใหม่ที่ขัดกับความเชื่อเก่าๆมันไม่มีค่ามันผิด    แต่ถามทีเถอะถ้าเราไม่มีความคิดใหม่ๆแล้วสิ่งใหม่ๆมันจะเกิดมั้ย    
ถ้าของเก่าถูกหมดแล้วทำไมโลกมันกลมล่ะทำไมมันไม่แบนแบบที่เคยเชื่อกัน   เราไม่เคยคาดหวังให้ใครมาเชื่อหรือคิดตามเรา
แต่แค่ขอเราพิสูจน์ได้รึเปล่า เราอยากทำโครงงานที่เราอยากทำทำไมต้องมาคอยกำหนดบังคับเราให้ทำเรื่องนี้เรื่องนั้น
เราคิดว่าโครงงานวิทยาศาสตร์ทำกระดาษ  ทำเทียนเจล   ทำจรวดขวดน้ำ   มันควรจะจบได้แล้วเราควรเริ่มทำอะไรใหม่ๆบ้าง  
การทำโครงงานเราควรได้ทำอะไรที่เราสนใจและคิดว่ามันมีประโยชน์  ไม่ใช่ว่าทำโครงงานจากการเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต
แล้วเอามาทำตาม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรมันหรอกนอนเล่นยังมีสาระมากกว่าอีก  
เราต้องทนอยู่กับเรื่องพวกนี้มาหลายปีทนจนเราต้องยอมแพ้  ยอมแพ้ให้กับความไม่มั่นคงของตัวเองที่ยอมให้พวกเค้ามาปิดกั้นเราและทำโครงงานตะไคร้ไล่ยุงตอนเรียน ม.5 ในที่สุด  Facepalm
          หรือแม้แต่ศาสนาสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นสิทธิส่วนบุคคล   แต่มันไม่ใช่เลยในโรงเรียน  บางครั้งเราก็สงสัยว่าทำไมต้องขนาดนี้
ในรัฐธรรมนูญก็บอกว่าเรามีสิทธิที่จะเลือกเชื่อและศัทธาในศาสนาต่างๆได้    แต่มันไม่ใช่ที่นั่นไงคนที่แปลกแยกมักจะเป็นเป้า  
ทำไมเธอถึงไม่ไหว้พระ  ทำไมไม่สวดมนต์   ทำไมไม่เอาของมาตักบาตร   ทำไมไปไหว้ศาลพระภูมิก่อนเดินทาง    
พอเราช่วยทำบริจาคเงินสร้างโบสถ์พุทธก็ถามอีกว่าไหนว่าไม่นับถือไงแล้วบริจาคทำไม
อ่าวก็อยากทำอ่ะเราคิดว่าการที่มีโบสถ์มีที่ที่คนเค้าได้ไปแล้วเค้ามีความสุขเราก็อยากทำไง  เราว่ามันคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีกทาง แล้วก็ไม่ใช่แค่โบสถ์พุทธซะหน่อยที่เราบริจาคเราก็ช่วยทั้งโบสถ์คริสต์  มัสยิด  หรือแม้แต่ห้องสมุดต่างๆ  
ถ้ามีกำลังเราก็ทำเพราะเราคิดว่ามันจะเกิดประโยชน์ต่อไป
นอกจากนี้แล้วบางครูคนถึงขั้นหนักเรียกเราไปพบเพื่อกล่อมให้กลับมานับถือพุทธจะบ้ารึไง  
เคยมีคดีฆ่ากันตายที่อเมริกาก็บอกว่าเพราะพวกเขาไม่มีศาสนาดีๆคอยขัดเกลาจิตใจถึงเป็นแบบนี้  เราโชคดีขนาดไหนที่อยู่ในแผ่นดินนี้  
บลาๆๆ  พูดพร้อมมองมาที่เรา   โอ๊ยรู้สึกงดงามมากเลยอยากจะบินเลยจริง  ณ  ตอนนั้น     เพื่อนๆก็มองตามสายตาเธอรู้สึกเซเลปมาก
                   นางพญาเม่า  
เราก็เข้าใจนะว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ดีแต่มันก็ไม่ใช่ทุกอย่างป่ะ  คนดีคนเลววัดกันที่การกระทำนะเว่ยไม่ใช่ที่ศาสนาสักหน่อย  
ตอนแรกๆที่โดนอะไรแบบนี้เราก็เงิบมาก    แต่โตขึ้นมาหน่อยก็ชินและทนอยู่กับมันมีการตอบโต้กลับบ้างเล็กน้อย
                     เจ้าคิกคัก
           นอกจากนี้เรายังเบื่อสังคมการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นของสังคมในโรงเรียน  ชอบจังมาถามเรื่องการทะเลาะกันของคนนั้นคนนี้กับเด็ก
ชอบจังการมาเป่าหูเด็กให้เกลียดศัตรูตัวเอง  ชอบจังกับการแอบแฝงหากินผลประโยชน์จากเด็ก เรามองดูแล้วทำให้เราไม่อยากเป็นครูเลยทั้งๆที่แม่เราก็เป็นครูแม่บอกว่าสังคมทุกที่มีปัญหาหมดอยู่ที่ว่ามันจะมากน้อยชัดเจนหรือไม่  ถ้าไม่ชอบปัญหาก็อย่าสร้างปัญหา  
           อันที่จริงแล้วก็ยังมีครูที่น่ารักมากๆและใจดีอีกหลายท่าน   พวกท่านคอยช่วยแก้ปัญหาให้เราเสมอ    บางท่านอายุมากแล้วไม่มีภาระลูกๆเรียนจบหมดเงินเดือนเหลือเยอะก็ชอบเลี้ยงไอติมพวกเรา   เลี้ยงลูกชิ้นบ้าง   น้ำหวานบ้าง   ใจดีมาก
  บะหมี่พิซซ่าโดนัท
           บางครั้งก็ยังหมั่นไส้พวกสาวงามหน้าขาวปากแดงอีกด้วย   ชั้นก็มีหัวใจนะหล่อนจะมาปล่อยให้ชั้นยืนตากแดดคนเดียวไม่ได้
(พวกนี้ชอบพาพวกมาเบียดเราออกจากร่มไม้ตอนเข้าแถว ) บางทีก็อยากเตะเด็กทีมันชอบเล่นตะกร้ออัดแล้วมันมาโดนหัวเรา
หรือทะเลาะกับเพื่อนแล้วอยากจะกัดหัวมันให้ขาด เบื่อแม่ค้าที่ขาดความยุติธรรมให้ข้าวเราไม่เท่ากับอีนังไหม
(เพื่อนเค้าเองมันชอบไปตีซี้กับแม่ค้าและเป็นคนเดินเก็บค่าเช้าแผงรายอาทิตย์ส่งครู )  
เบื่อไอหมาประจำโรงเรียนทีชื่อฝันเดแต่พฤติกรรมต่ำตมมากไล่งับเฉพาะนักเรียนผู้หญิงที่ใส่กระโปรงยาวๆ  
เบื่ออีเหมียวแมวเซเลปที่ชอบปีนไปติดตรงระเบียงทุกอาทิตย์   และอื่นๆอีกมากมาย  
           ชีวิตในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนจบม.6   มีทั้งสนุก  เศร้า   เบื่อ  เครียด  มากมายแต่เราก็ดีใจนะที่เคยมีมัน  
ถามว่าที่บ่นๆเนี่ยรักโรงเรียนมั้ยรักนะ   รักครูมั้ยก็รัก  คิดถึงเหตุการณ์พวกนี้แล้วเป็นยังไง  ก็ยิ้มอ่ะขนาดเรื่องเศร้าๆตอนนั้น  
หรือแม้แต่เข้าห้องปกครองซ่อมคะแนนไม่พึงประสงค์ยังตลกเลย    มาคิดดูแล้ว 15 ปีเนี่ยมันเร็วมากจริงๆเหมือนเพิ่งผ่านไปเอง        
           ตอนนี้ชีวิตการเป็นนักเรียนของเรามันสิ้นสุดลงแล้ว   พอมองย้อนกลับไปมันก็มีทั้งเรื่องดีเรื่องไม่ดีเต็มไปหมด
เราเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าในอนาคตจะต้องเจอกับอะไรบ้าง  แต่เราคิดว่าเราจะนำเอาความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับจากอดีตที่ผ่านมา
มาเป็นข้อคิดเตือนใจ    
            สุดท้ายก็ต้องขอบคุณโรงเรียน ครูทุกท่าน  และเพื่อนนั่นแหละ  ที่มอบประสบการณ์ต่างๆมากมายให้เราได้เรียนรู้และสัมผัส  
ก็จะยังคิดถึงและจดจำอดีตเหล่านี้ต่อไปแน่ๆ  แต่ถามว่าจะกลับมาตอนเรียนม.ปลายอีกมั้ย  ตอบเลย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้  ตอนนี้มีความสุขและสบายใจมากที่จบแล้วสิ้นสุดเสียที    

ปล. ช่วงที่ยังไม่เปิดเทอมเราจะไปเยาะเย้ยเด็กๆที่ยังต้องไปเรียนโรงเรียนอีก  และก็ขอบอกอีกครั้งเรายังเกลียดโรงเรียนเหมือนเดิมค่ะ  5555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่