คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
จขกท.คงมีจริตในเรื่อง "พุทธานุสติ" ขอให้เจริญในธรรมครับ
ขอคัดมาช่วงหนึ่งของตอนที่ 6 จากหนังสือ "สมาธิและวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน" โดย อ.พร รัตนสุวรรณ
ตอนที่ 6 เทคนิคแห่งการใช้ธรรมในเวลาฝึกสมาธิ
...
เทคนิคของการพิจารณาธรรมที่จะทำให้ปีติเกิดขึ้นอยู่ที่ จะต้องรู้จักคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดานของตัว เพราะโดยธรรมดาธรรมที่จะนำมาพิจารณาในขณะที่กำลังเข้าสมาธินั้นแม้ว่าตนเองจะเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากธรรมนั้นไม่สัมพันธ์กับคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดาน หรือไม่กระตุ้นให้คุณธรรมที่มีอยู่ให้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้วปีติจะเกิดขึ้นไม่ได้ เท่าที่กล่าวมานี้เป็นการแนะแนวโดยสังเขปและพูดแต่เฉพาะเรื่องปีติก่อน
ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่าหลักสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิง่ายก็คือ ในขณะที่กำลังฝึกสมาธิถ้าสามารถพิจารณาธรรมจนทำให้เกิดปีติเกิดขึ้นหรือทำให้เกิดความสังเวชเกิดขึ้นได้จิตก็จะเป็นสมาธิทันที
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า
ในขณะใดนึกถึงธรรม ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญสติสัมโพชฌงค์
ในขณะใดพิจารณาธรรม ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์
ในขณะใดใช้ความเพียรนึกถึงธรรม และพิจารณาธรรม ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญวิริยะสัมโพชฌงค์
ในขณะใดใช้ความเพียรนึกถึงธรรม และพิจารณาธรรม แล้วเกิดความแจ่มแจ้งในธรรม ปีติก็ย่อมเกิด ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญปีติสัมโพชฌงค์
และเมื่อปีติเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ปัสสัทธิเกิดขึ้น
และเมื่อปัสสัทธิเกิดขึ้นแล้ว จิตก็เป็นสมาธิง่าย
และเมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้ว จิตก็จะเกิดความวางเฉย คือไม่ต้องขวนขวายในอันที่จะทำอะไรอีก เพราะจิตได้ดำเนินไปในสมาธิดีแล้ว
โดยประการฉะนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
จากหลักในเรื่องโพชฌงค์โดยสังเขปนี้ จะทำให้เราได้หลักในเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับสมาธิ เพราะจุดสำคัญอยู่ที่ถ้าสามารถทำให้เกิดปีติได้สมาธิก็เกิดได้ และวิธีที่จะทำให้ปีติเกิดก็คือการนึกถึงธรรมและพิจารณาธรรรมด้วยความเพียร ไม่ใช่ทำด้วยความขี้เกียจเพราะถ้าทำด้วยความขี้เกียจแล้วปีติจะเกิดขึ้นไม่ได้ และหลักสำคัญอีกอันหนึ่งก็คือการนึกถึงธรรมและพิจารณาธรรมนั้นอย่าทำแบบส่งเดชหรือทำสักแต่ว่าทำ ก่อนที่จะนึกถึงธรรมหรือพิจารณาธรรมข้อใดจะต้องใคร่ครวญถึงคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดานเสียก่อน เพราะการพิจารณาธรรมนั้นถ้าหากไม่มีส่วนสัมพันธ์กับคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดานปีติจะเกิดไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าตนเองเป็นคนมีนิสัยเสียสละก็จะต้องพิจารณาธรรมที่กล่าวถึงอานิสงค์แห่งการเสียสละ ในเมื่อเห็นอานิสงค์แจ่มแจ้งตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ปีติก็จะเกิดทันที ส่วนคนที่ไม่มีนิสัยเสียสละพื้นเดิมเป็นคนมีมัจฉริยะมากหรือเห็นแก่ตัวมากคนประเภทนี้แม้จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าการเสียสละมีอานิสงค์อย่างไรปีติก็ยากที่จะเกิด และในทำนองเดียวกันผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์เมื่อพิจารณาอานิสงค์ของศีล ปีติก็ย่อมเกิด ผู้ที่มีความศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งเมื่อเจริญพุทธานุสติ ปีติก็ย่อมเกิด ดังนี้ เป็นต้น
...
ขอคัดมาช่วงหนึ่งของตอนที่ 6 จากหนังสือ "สมาธิและวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน" โดย อ.พร รัตนสุวรรณ
ตอนที่ 6 เทคนิคแห่งการใช้ธรรมในเวลาฝึกสมาธิ
...
เทคนิคของการพิจารณาธรรมที่จะทำให้ปีติเกิดขึ้นอยู่ที่ จะต้องรู้จักคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดานของตัว เพราะโดยธรรมดาธรรมที่จะนำมาพิจารณาในขณะที่กำลังเข้าสมาธินั้นแม้ว่าตนเองจะเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากธรรมนั้นไม่สัมพันธ์กับคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดาน หรือไม่กระตุ้นให้คุณธรรมที่มีอยู่ให้เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้วปีติจะเกิดขึ้นไม่ได้ เท่าที่กล่าวมานี้เป็นการแนะแนวโดยสังเขปและพูดแต่เฉพาะเรื่องปีติก่อน
ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่าหลักสำคัญอันหนึ่งที่จะทำให้จิตเป็นสมาธิง่ายก็คือ ในขณะที่กำลังฝึกสมาธิถ้าสามารถพิจารณาธรรมจนทำให้เกิดปีติเกิดขึ้นหรือทำให้เกิดความสังเวชเกิดขึ้นได้จิตก็จะเป็นสมาธิทันที
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า
ในขณะใดนึกถึงธรรม ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญสติสัมโพชฌงค์
ในขณะใดพิจารณาธรรม ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์
ในขณะใดใช้ความเพียรนึกถึงธรรม และพิจารณาธรรม ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญวิริยะสัมโพชฌงค์
ในขณะใดใช้ความเพียรนึกถึงธรรม และพิจารณาธรรม แล้วเกิดความแจ่มแจ้งในธรรม ปีติก็ย่อมเกิด ในขณะนั้นเรียกว่า เจริญปีติสัมโพชฌงค์
และเมื่อปีติเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ปัสสัทธิเกิดขึ้น
และเมื่อปัสสัทธิเกิดขึ้นแล้ว จิตก็เป็นสมาธิง่าย
และเมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้ว จิตก็จะเกิดความวางเฉย คือไม่ต้องขวนขวายในอันที่จะทำอะไรอีก เพราะจิตได้ดำเนินไปในสมาธิดีแล้ว
โดยประการฉะนี้ ก็ได้ชื่อว่า ได้เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
จากหลักในเรื่องโพชฌงค์โดยสังเขปนี้ จะทำให้เราได้หลักในเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับสมาธิ เพราะจุดสำคัญอยู่ที่ถ้าสามารถทำให้เกิดปีติได้สมาธิก็เกิดได้ และวิธีที่จะทำให้ปีติเกิดก็คือการนึกถึงธรรมและพิจารณาธรรรมด้วยความเพียร ไม่ใช่ทำด้วยความขี้เกียจเพราะถ้าทำด้วยความขี้เกียจแล้วปีติจะเกิดขึ้นไม่ได้ และหลักสำคัญอีกอันหนึ่งก็คือการนึกถึงธรรมและพิจารณาธรรมนั้นอย่าทำแบบส่งเดชหรือทำสักแต่ว่าทำ ก่อนที่จะนึกถึงธรรมหรือพิจารณาธรรมข้อใดจะต้องใคร่ครวญถึงคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดานเสียก่อน เพราะการพิจารณาธรรมนั้นถ้าหากไม่มีส่วนสัมพันธ์กับคุณธรรมที่มีอยู่ในสันดานปีติจะเกิดไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าตนเองเป็นคนมีนิสัยเสียสละก็จะต้องพิจารณาธรรมที่กล่าวถึงอานิสงค์แห่งการเสียสละ ในเมื่อเห็นอานิสงค์แจ่มแจ้งตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ปีติก็จะเกิดทันที ส่วนคนที่ไม่มีนิสัยเสียสละพื้นเดิมเป็นคนมีมัจฉริยะมากหรือเห็นแก่ตัวมากคนประเภทนี้แม้จะเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าการเสียสละมีอานิสงค์อย่างไรปีติก็ยากที่จะเกิด และในทำนองเดียวกันผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์เมื่อพิจารณาอานิสงค์ของศีล ปีติก็ย่อมเกิด ผู้ที่มีความศรัทธาในพระพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งเมื่อเจริญพุทธานุสติ ปีติก็ย่อมเกิด ดังนี้ เป็นต้น
...
แสดงความคิดเห็น
สวดอิติปิโสแล้วน้ำตาไหลเป็นอาการแปลกไหม