เรียนภาษาที่เมืองนอกดีมั้ย ?
ไม่มีคำตอบที่แน่นอนนะคะ มีแต่เรื่องจะเล่าให้ฟัง
สวัสดีค่ะ เราเป็นคนหนึ่งที่เคยตั้งคำถามเมื่อ 8 เดือนก่อนนู๊น ว่ามาแล้วจะพูดได้มั้ย จะคุ้มค่าเงินมั้ย จะอยู่รอดมั้ย วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ ขอบอกก่อนเลยว่า สิ่งที่เขียนนั้น มาจากประสบการณ์เราล้วนๆ คนอื่นอาจจะได้พบ ได้เจอสิ่งที่แตกต่างกันออกไป และการเรียนแต่ละรัฐก็จะแตกต่างกันออกไป ยังไงใครมีข้อมูลอะไรดีๆ ก็ช่วยแบ่งปันกันนะคะ
เราขอออกตัวก่อนเลยว่า ทางครอบครัวค่อนข้างซับพอตได้ในระดับนึง และเราไม่ได้เป็นคนเก่ง หรือมีพื้นฐานภาษาดีเลยค่ะ เราเรียนมหาลัย ตลอดเวลา 4ปี ได้เรียนภาษาอังกฤษอยู่แค่ตอนปี 1 ทำให้ลืมหมดเลยค่ะ ทั้งคำศัพท์ แกรมม่า ด้วยความที่สอบตรงติดด้วย แกรมม่าก็ไม่ค่อยแข็งแรง เพราะตอนสอบตรงเน้นท่องศัพท์แหลกเพื่อไปอ่านบทความ อีกทั้งเราไม่ได้เป็นคนขยัน หรือมีใจสู้ ฮึดเหิมเปิดเพลงบางระจันไรงี้ รับรองว่า รีวิวนี้ไม่มีเรื่อง เก่งภาษาอักฤษภายใน 10 วันแน่นอน ระดับภาษาอังกฤษเราอยู่ที่ แยกการใช้ do/does และ is/are ไม่ออก ใช้มั่วไปหมด Are you remember? งี้ หรือ I worry คือมันผิดไง ( และพึ่งรู้ด้วยว่าการเขียน I ที่แทนว่า ฉัน ต้องใช้ตัวใหญ่เสมอ /หนูไปอยู่ไหนมาลูกกก ) เอาง่ายๆคือ ต้องนึกก่อนประมาณ 5 วิ ว่าอะไร V อะไร Adj และถามว่าตอนนี้ที่มาให้คำแนะนำคนอื่นนี้ เก่งแล้วหรอ ? ก็ยังอ่ะ ฮ่าาาาา แต่แค่อยากมาให้ข้อมูลเป็นการตัดสินใจ การมาแต่ละทีก็ไม่ได้ใช้เงินน้อยๆน๊อ
ก่อนอื่นต้องถามตัวเองก่อนว่า ที่จะมาเรียนอ่ะ เรียนไปทำไม ?
อยากพูดได้
จะ ต่อ ป.โท
อยากมาเที่ยว
เราเรียนภาษามาทั้งหมด 3 สถาบัน และ เราเลือกเรียนที่ชิคาโก้คะ เพราะ 1. มีแฟนเพื่อนเราเรียนที่ UIC 2.เป็นเมืองที่เดินทางสะดวกไม่จำเป็นต้องซื้อรถ 3.เป็นเมืองแบบเมือง มีไรให้ทำเยอะ เราชอบตามหาร้านกาแฟใหม่ๆมานั่งเล่น
ในตอนแรก เราเรียนที่
Intrax school ที่ชิคาโก้ค่ะ ใน 2เดือนครึ่งแรก ( ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Stafford House แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม อาจารย์เซทเดิม เพิ่มเติมคือใช้ป้ายผ้าใบทับป้ายเดิม )
การเปิดเรียน : เปิดเกือบทุกวันจันทร์ของเดือน
ค่าเรียน : ก็ประมาณนึงเลยนะ แต่ถ้ายิ่งเรียนหลายเดือน ค่าเรียนยิ่งถูกลง ติดต่อทางเอเจนซี่ไปเค้าจะส่งตารางมาให้ว่าเรียนกี่เดือนเท่าไหร่ ของสถาบันไหนบ้างที่เราอยากรู้
การสมัคร : มีเอเจนซี่จัดการดูแลให้อย่างดี ทำการสมัครให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอาจะเพราะเอเจนซี่ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากโรงเรียนมั้งไม่แน่ใจ หลายคนบอกว่าใช้เอเจนซี่ถูกกว่า แต่ตอนเราเรียนจบ
คอร์สเคยไปถามว่าถ้าจะต่ออีกคอร์สราคาเท่าไหร่ กลายเป็นราคาถูกกว่าตอนมากับเอเจนซี่แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นนักเรียนเก่ารึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
เลเวล : ตอนเราไปมันมีเลเวล 2- 10 วันแรกไปถึงก็จะมีสอบกับคอมพวกแกรมม่า ฟังนิดหน่อย แล้วก็สปีกกิ้งกับอาจารย์ 5นาที อาจารย์ก็จะถาม เวลาว่างทำไร ไรงี้ เราเริ่มต้นที่ ปลายเลเวล4 คือเรียนได้2อาทิตย์สอบขึ้นเลเวล 5 คนที่สอบได้เลเวล 7 ขึ้นไป จะสามารถเรียนพวก TOELF , english for BUSINESS ได้
จ่ายเงินมาแพงทั้งที คาดหวังซินะ ว่าจะพูดได้คล่องปร๋อแบบฝรั่ง? หึม ป่าวเลย
เพื่อนในโรงเรียนก็มีแต่คนมาเรียนภาษาอย่างเราๆนี่แหละ ยิ่งถ้าสอบได้เลเวลต่ำๆ ก็อึนๆกันทั้งคลาสนั้นแหละ แต่ดีหน่อยตรงที่ อาจารย์จะพูดช้า สอนช้าเพื่อให้นักเรียนเข้าใจ เพื่อนส่วนใหญ่จะเป็น ซาอุ หนุ่มสาวซาอุพูดภาษาอังกฤษเก่งนะ เหมือนเค้ามีความกล้าที่จะพูด แต่ถามว่าแกรมม่า คำศัพท์ใช้ถูกมั้ย บอกเลยว่า เรื่องนี้ยังไงก็ขอยกให้พี่ไทยค่ะ ทฤษฎีเราแน่นมาก
เค้ามีกิจกรรมให้เข้าร่วมทุกวัน เช่น ไปดูหนัง ไปพิพิธพัณฑ์ ถ้าตั้งใจหาเพื่อน จะพูดเก่งๆหน่อย ก็เข้าร่วมกิจกรรมเยอะๆ แต่ตัวเราอ่ะ ตอนนั้นเราพูดไม่คล่อง พอไปกับเพื่อนก็ไม่รู้จะพูดไร ไม่เข้าใจ รู้สึกไม่สนุก อึดอัด เกร็งๆ เลยไม่ไป แล้วด้วย ชิคาโก้เป็นเมืองแบบเมือง คงอารม เรียนที่อยู่ ฬ เรียนเสรจแล้วกลับบ้านใครบ้านมัน หรือเดินเที่ยวนิดๆหน่อยๆ ชอปปิ้ง กิจกรรมให้ทำก็มีไม่ค่อยมาก ส่วนใหญ่จะนัดกันไปบาร์ ซึ่งเราไม่ใช่ทางเรา ( ** เพื่อนเราเรียนอยู่ฝั่ง ซานฟราน อยู่บ้านกับโฮส จะได้ฝึกพูดมากกว่าแต่กฎระเบียนก็เยอะตาม และแถบนั้นจะมีกิจกรรมให้นักเรียนทำเยอะ เช่น ไปปั่นจักรยาน ไปปิคนิค นักเรียน เรียนเสรจนัดกันไปทำไร เพราะเมืองมันเล็กมั้ง บ้านอยู่โซนๆเดียวกัน )

เพื่อนในห้องค่ะ
ลักษณะการเรียน : เรียน จันทร์ - พฤหัส ครึ่งวัน บางคนได้ครึ่งเช้า บางคนได้ครึ่งบ่าย เรียนบ่าย2 ถึงเกือบ6โมง ส่วนใหญ่คนไทยจะได้ครึ่งบ่าย เพราะคนไทยชอบมาทำงาน เค้าเลยเอาคนไทยมาเรียนบ่ายให้เข้างานไม่ทัน ฮ่าาาา จะมี 2 คลาสใน 1วัน คลาสแรกเรียนน แกรมม่ากับเขียนนิดหน่อย นิดหน่อยแบบน้อยมา 10บรรทัดไรงี้ พักเบรคแล้วก็เป็นคลาส สปีกกิ้ง จะเน้นเรียนสนุก ได้พูดเยอะ มีเล่นเกมส์ ผ่อนคลาย การสอบเลื่อนแต่ละคลาสไม่ยาก ส่วนใหญ่ก็ผ่านหมดนะ
หลังจากเรียนที่นี้เสรจ เราก็รู้สึกเหมือนได้ทบทวนแกรมม่าที่เคยฝังอยู่รากลึกของสมองขึ้นมา การพูดจาเริ่มมี tense อดีต ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบันยังคงอยู่ ไรงี้บ้าง การบ้านจะง่ายมาก สอนศัพท์ง่าย เหมือนเรามาวอร์มอัพสมองที่นี้ เราเริ่มคุ้นเคยกับศัพท์ในชีวิตประจำวันเช่น ลงรถไฟ สถานีไหน , ฉันมีนัด , รอแปปนึง ฉันใกล้ถึงแล้ว, สองสิ่งนี้แตกต่างกันยังไง , มะนาว , สั่งสตาร์บัค เอานม non-fat หวานน้อย รอบเดียวพนักงานรู้เรื่อง (การทดสอบภาษาเราอย่างหนึ่งคือไปทดสอบที่สตาบัค เมื่อไหร่ที่พนักงานไม่ทำหน้างง นั้นแปลว่า เราเริ่มออกเสียงได้ดี แต่ถ้าเค้า ขมวดคิ้วนิดหน่อย ต้องไปฝึกมาใหม่นะ แล้วเราก็ไปทดสอบว่าเราควรใช้ชื่อฝรั่งอะไรดีที่สตาบัคด้วย ) แรกๆนี่ ถ้าจะกินขนมในตู้ไม่กล้าสั่งไรอย่างอื่น นอกจาก คุกกี้ กับ ครัวซองเลย นี่แหละศัพท์พื้นฐานที่เราพึ่งมารู้ตอน 2เดือนแรก ก็บอกแล้วว่าพื้นฐานติดลบ 55555555
พอเรียนจบก็รับประกาศนียบัตรมาแบบไก่กาชิงช้าม้าหมุน ไม่รู้จะเอาไปทำไร
ต่อมา ย้ายมาเรียน ELA ที่
Depaul University
ค่าเรียน: 3พันกว่าดอลล่าต่อ 10 อาทิตย์ ไม่รวมค่าหนังสือ ค่าหนังสืออีก เกือบ 200 ดอล แต่เราสามารถสั่งผ่าน amazon ได้ก็จะถูกลงหน่อย แต่ถ้าไม่อยากซื้อก็เช่าได้นะ เช่าทาง amazon
การสมัคร : การสมัครเรียนที่นี้ มีเอเจนซี่สมัครให้แต่น้อยมาก ตอนเราสมัคร เราสมัครเอง ทุกอย่างต้องทำเอง ขั้นแรกเข้าไปสมัครในเวปของมหาลัย
https://ela.depaul.edu/ จ่ายค่าสมัครไปประมาณ80$ หลังจากนั้น สถาบันภาษาจะตอบเมล์แล้วส่งกระดาษเรียงความมาให้เราเขียนเกี่ยวกับตัวเราแล้วแสกนส่งไป จากนั้นเค้าจะส่งกำหนดการมาว่าเปิดเทอดวันไหน ต้องทำอะไรบ้าง
ตอนที่เราสมัครอ่ะ เค้าลืมส่งเรียงความมาให้เราเขียน เราต้องส่งอีเมล์ไปทวงว่าเรายังไม่ได้นะ ในตอนนั้นลำบากลำบนมาก ภาษาก็ไม่คล่อง เปิดดิกไป อ่านเมล์ไป แล้วที่รู้ว่าต้องได้รับไฟล์เรียงความเพราะเพื่อนซาอุจาก Intrax ก็สมัคร มันมาขอดูว่าเราเขียนยังไงมั้งมันจะเอาไปเป็นแนวทาง ก็ต้องขอบใจมันเนอะ
เลเวล : มี 4 เลเวล วันรายงานตัว เค้าจะให้ขียนเรียงความอีกที แล้ววันประถมนิเทศ เค้าจะให้ทำข้อสอบวัดระดับ ข้อสอบจะเป็นอารม TOELF paper base เป็นพาทฟัง แกรมม่า แล้วก็ อ่านเรื่อง ประมาณ สี่ ห้าเรื่อง หลังจากนั้นวันเปิดเรียนวันแรก อาจารย์จะให้สอบอีกที เพื่อเชคให้ชัวร์ว่านักเรียนมาถูกเลเวลมั้ย บางคนได้เลื่อน บางคนได้ลง ระดับความยากของระหว่างเลเวลจะต่างกันมาก จะยากต่างกันแบบก้าวกระโดด อาจารย์จะไม่ให้ผ่านง่ายๆ ถ้าไม่พร้อมไปเลเวลถัดไปจริงๆ
ถ้าเรียนถึงระดับ สูง สุดของที่นี้ สามารถ pathway เข้า Depaul ได้ หรือไม่ก็ตอนจบคอร์สเค้าจะมีให้สอบ toelf paper base อีกครั้ง ถ้าได้คะแนนเกิน 550 ก็เอาคะแนนยื่นดีพอลได้เลย แต่ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เล่นๆ ยิ่งถ้าเรียนถึงระดับสูงสุดที่ชื่อว่า UNIVERSITY BRIDGE ได้ก็สมควรเรียนมหาลัยได้อ่ะ เพราะเราเห็นเค้าเรียนเขียน แบบทำรายงานเขียนภาษาอังกฤษเป็นเล่มๆ 40 หน้า+
ลักษณะการเรียน : มี ฟัง พูด อ่าน เขียน เรียน จันทร์-ศุกร์ วันพุธ กับวันศุกร์เรียนครึ่งวัน ค่อนข้างเคร่งเครียด
รู้สึกยุ่งยาก ค่าเทอมแพงใช่มั้ย แต่ขอบอกเลยว่า เรียนแล้วฉลาดขึ้น มากกกกกกกกกกกกกกกก มากจิงๆ ตอนแรกที่เข้ามาเรียนที่นี้เรารู้สึก เกือบสามเดือนที่ผ่านมา ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษเลย เรียนที่นี้คุณจะเขียนเก่งขึ้นมาก มากถึงมากที่สุด แกรมม่าจะลึกซึ้ง การเรียนจะเรียนในลักษณะเตรียมตัวไปเรียนในมหาลัย และการบ้านจะเยอะแบบร้องขอชีวิต ทุกอย่างจะเข้มข้น เราใช้ความรู้ที่ได้จากการเรียนที่นี้ สองเทอม ไปสอบไอเอล พาทเขียน เราทำtask 1 ไม่เสร็จ เสร็จแค่ task 2 เราได้มา 6
เพื่อนร่วมห้องจะค่อนข้างมีคุณภาพ ทุกคนมีพื้นฐานที่ดีเพราะคนที่มาเรียนเค้าจริงจังอ่ะ ไม่จริงจังได้ไงค่าเรียนโคดแพง และส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามหาลัยที่เมกา ดังนั้นมันเริ่มเข้มข้น โดดเกิน4 ครั้งไม่ได้ เค้าจะให้ดรอป นั้นหมายความว่า เงินแสนกว่าบาทจะหายไปเพราะความขี้เกียจในวินาทีเดียว
คือมีพี่คนนึงมาเรียนได้ เดือนกว่า แล้วเค้าก็ลาออกไปแบบทิ้งเงินก้อนนั้น พี่เค้าอารมณ์แบบคนโตแล้วอายุ30และอ่ะ เป้าหมายเค้าไม่ได้จะเอาภาษาไปเรียนต่อไง เค้าบอกว่า ชีวิตเค้ามีอะไรต้องทำมากกว่าเรียน เค้าต้องการชีวิตเที่ยวเล่นด้านนอกบ้าง พบปะเฮฮากับเพื่อนบ้าง ไม่ใช่เรียนเสร็จกลับบ้านไปนั่งทำการบ้าน ตื่นเช้า อาจารย์ writing นัดพบเพื่อแก้ essay นั่งเขียน essay draft 1 2 3 อะไรแบบนี้ พี่เค้าเลยย้ายไปเรียนที่ SOLEX ( SOLEX ก็เป็นสถาบันภาษาที่ดีอันหนึ่งของชิคาโก้ เกรดประมาณ INTRAX ) คือรับรองว่าเรียนที่นี้เขียนได้ดีขึ้นชัว แต่ก็ตามที่พี่เค้าบอกเลย มันไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นนอกอจาก เสาร์อาทิตย์ ส่วนเรื่องพูดก็ได้พูดน้อยกว่าที่ intrax เหมาะสำหรับ คนมีกำลังทรัพย์มากหน่อยและต้องการความเชี่ยวชาญในการเขียน
กิจกรรมวันฮาโลวีน
โรงเรียนสุดท้าย
BIR เป็นการเรียนที่มีวันน้อยมากก แต่เป็นโรงเรียนเดียวในชิคาโก้ที่มี ไอเอล คอร์ส เราเลยจำเป็นต้องเรียนที่นี้ เรียนอย่างน้อย1วันต่ออาทิตย์ แต่เรียนทั้งวันนะ หรือจะแยกเป็น2วัน เรียนแค่ครึ่งเช้า แล้วขยันหน่อยก็ลง work-shop อะไรแบบนี้ เหมือนมันเป็นโรงเรียนสำหรับคนเน้นมาทำงานรึป่าวเราก็ไม่แน่ใจ แต่คนทำงานส่วนใหญ่เรียนทีนี้ แต่เค้าจะเรียนที่อื่นก่อนแล้วค่อย transferมา พอเรียนน้อยค่าเทอมก็ถูกตาม เดือนละเกือบ 500$ คุณภาพก็ตามราคาเลย เพื่อนจะไม่เข้มข้นเท่า ดีพอล และอินแทรค แต่เห็นเค้าว่ากันว่า ถ้ามาโรงเรียนนี้จะแอบขอวีซ่ายากนิดนึง อันนี้เราก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่
นอกจากนี้ ที่ชิคาโก้ยังมีอีกหลายสถาบันภาษา เช่น Kaplan : โรงเรียนอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก , UIC ( university of illinios chicago) : คุณภาพพอพอกับ DEPAUL แต่เขียนไม่เข้มข้นเท่า (แต่การเรียนสปีกกิ้งน่าจะดีกว่า //อันนี้เพื่อนบอกมา) มหาลัยไม่ได้อยู่ในใจกลางเมือง แต่รถไฟต่อเดียวถึง เดินทางสะดวก เรียนตอนเย็นถึงค่ำ , ELS : อันนี้ไม่รู้ว่าการเรียนเป็นไง แต่ที่เรียนไกลมากกก นอกมากเมืองมากๆๆๆ ต้องต่อรถไฟและรถเมย์ อยู่ใน Dominican University แต่เพื่อนน่าจะเกาะกลุ่มกันเพราะอยู่นอกเมือง , CSI คุณภาพคล้าย BIR
ยังไม่จบขอต่อในคอมเม้นนะคะ
ไปเรียนภาษาที่เมืองนอกดีมั้ย ไม่มีคำตอบค่ะ แต่มีเรื่องเล่าให้ฟัง
ไม่มีคำตอบที่แน่นอนนะคะ มีแต่เรื่องจะเล่าให้ฟัง
สวัสดีค่ะ เราเป็นคนหนึ่งที่เคยตั้งคำถามเมื่อ 8 เดือนก่อนนู๊น ว่ามาแล้วจะพูดได้มั้ย จะคุ้มค่าเงินมั้ย จะอยู่รอดมั้ย วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ ขอบอกก่อนเลยว่า สิ่งที่เขียนนั้น มาจากประสบการณ์เราล้วนๆ คนอื่นอาจจะได้พบ ได้เจอสิ่งที่แตกต่างกันออกไป และการเรียนแต่ละรัฐก็จะแตกต่างกันออกไป ยังไงใครมีข้อมูลอะไรดีๆ ก็ช่วยแบ่งปันกันนะคะ
เราขอออกตัวก่อนเลยว่า ทางครอบครัวค่อนข้างซับพอตได้ในระดับนึง และเราไม่ได้เป็นคนเก่ง หรือมีพื้นฐานภาษาดีเลยค่ะ เราเรียนมหาลัย ตลอดเวลา 4ปี ได้เรียนภาษาอังกฤษอยู่แค่ตอนปี 1 ทำให้ลืมหมดเลยค่ะ ทั้งคำศัพท์ แกรมม่า ด้วยความที่สอบตรงติดด้วย แกรมม่าก็ไม่ค่อยแข็งแรง เพราะตอนสอบตรงเน้นท่องศัพท์แหลกเพื่อไปอ่านบทความ อีกทั้งเราไม่ได้เป็นคนขยัน หรือมีใจสู้ ฮึดเหิมเปิดเพลงบางระจันไรงี้ รับรองว่า รีวิวนี้ไม่มีเรื่อง เก่งภาษาอักฤษภายใน 10 วันแน่นอน ระดับภาษาอังกฤษเราอยู่ที่ แยกการใช้ do/does และ is/are ไม่ออก ใช้มั่วไปหมด Are you remember? งี้ หรือ I worry คือมันผิดไง ( และพึ่งรู้ด้วยว่าการเขียน I ที่แทนว่า ฉัน ต้องใช้ตัวใหญ่เสมอ /หนูไปอยู่ไหนมาลูกกก ) เอาง่ายๆคือ ต้องนึกก่อนประมาณ 5 วิ ว่าอะไร V อะไร Adj และถามว่าตอนนี้ที่มาให้คำแนะนำคนอื่นนี้ เก่งแล้วหรอ ? ก็ยังอ่ะ ฮ่าาาาา แต่แค่อยากมาให้ข้อมูลเป็นการตัดสินใจ การมาแต่ละทีก็ไม่ได้ใช้เงินน้อยๆน๊อ
ก่อนอื่นต้องถามตัวเองก่อนว่า ที่จะมาเรียนอ่ะ เรียนไปทำไม ?
อยากพูดได้
จะ ต่อ ป.โท
อยากมาเที่ยว
เราเรียนภาษามาทั้งหมด 3 สถาบัน และ เราเลือกเรียนที่ชิคาโก้คะ เพราะ 1. มีแฟนเพื่อนเราเรียนที่ UIC 2.เป็นเมืองที่เดินทางสะดวกไม่จำเป็นต้องซื้อรถ 3.เป็นเมืองแบบเมือง มีไรให้ทำเยอะ เราชอบตามหาร้านกาแฟใหม่ๆมานั่งเล่น
ในตอนแรก เราเรียนที่ Intrax school ที่ชิคาโก้ค่ะ ใน 2เดือนครึ่งแรก ( ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Stafford House แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม อาจารย์เซทเดิม เพิ่มเติมคือใช้ป้ายผ้าใบทับป้ายเดิม )
การเปิดเรียน : เปิดเกือบทุกวันจันทร์ของเดือน
ค่าเรียน : ก็ประมาณนึงเลยนะ แต่ถ้ายิ่งเรียนหลายเดือน ค่าเรียนยิ่งถูกลง ติดต่อทางเอเจนซี่ไปเค้าจะส่งตารางมาให้ว่าเรียนกี่เดือนเท่าไหร่ ของสถาบันไหนบ้างที่เราอยากรู้
การสมัคร : มีเอเจนซี่จัดการดูแลให้อย่างดี ทำการสมัครให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอาจะเพราะเอเจนซี่ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากโรงเรียนมั้งไม่แน่ใจ หลายคนบอกว่าใช้เอเจนซี่ถูกกว่า แต่ตอนเราเรียนจบ คอร์สเคยไปถามว่าถ้าจะต่ออีกคอร์สราคาเท่าไหร่ กลายเป็นราคาถูกกว่าตอนมากับเอเจนซี่แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นนักเรียนเก่ารึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
เลเวล : ตอนเราไปมันมีเลเวล 2- 10 วันแรกไปถึงก็จะมีสอบกับคอมพวกแกรมม่า ฟังนิดหน่อย แล้วก็สปีกกิ้งกับอาจารย์ 5นาที อาจารย์ก็จะถาม เวลาว่างทำไร ไรงี้ เราเริ่มต้นที่ ปลายเลเวล4 คือเรียนได้2อาทิตย์สอบขึ้นเลเวล 5 คนที่สอบได้เลเวล 7 ขึ้นไป จะสามารถเรียนพวก TOELF , english for BUSINESS ได้
จ่ายเงินมาแพงทั้งที คาดหวังซินะ ว่าจะพูดได้คล่องปร๋อแบบฝรั่ง? หึม ป่าวเลย
เพื่อนในโรงเรียนก็มีแต่คนมาเรียนภาษาอย่างเราๆนี่แหละ ยิ่งถ้าสอบได้เลเวลต่ำๆ ก็อึนๆกันทั้งคลาสนั้นแหละ แต่ดีหน่อยตรงที่ อาจารย์จะพูดช้า สอนช้าเพื่อให้นักเรียนเข้าใจ เพื่อนส่วนใหญ่จะเป็น ซาอุ หนุ่มสาวซาอุพูดภาษาอังกฤษเก่งนะ เหมือนเค้ามีความกล้าที่จะพูด แต่ถามว่าแกรมม่า คำศัพท์ใช้ถูกมั้ย บอกเลยว่า เรื่องนี้ยังไงก็ขอยกให้พี่ไทยค่ะ ทฤษฎีเราแน่นมาก
เค้ามีกิจกรรมให้เข้าร่วมทุกวัน เช่น ไปดูหนัง ไปพิพิธพัณฑ์ ถ้าตั้งใจหาเพื่อน จะพูดเก่งๆหน่อย ก็เข้าร่วมกิจกรรมเยอะๆ แต่ตัวเราอ่ะ ตอนนั้นเราพูดไม่คล่อง พอไปกับเพื่อนก็ไม่รู้จะพูดไร ไม่เข้าใจ รู้สึกไม่สนุก อึดอัด เกร็งๆ เลยไม่ไป แล้วด้วย ชิคาโก้เป็นเมืองแบบเมือง คงอารม เรียนที่อยู่ ฬ เรียนเสรจแล้วกลับบ้านใครบ้านมัน หรือเดินเที่ยวนิดๆหน่อยๆ ชอปปิ้ง กิจกรรมให้ทำก็มีไม่ค่อยมาก ส่วนใหญ่จะนัดกันไปบาร์ ซึ่งเราไม่ใช่ทางเรา ( ** เพื่อนเราเรียนอยู่ฝั่ง ซานฟราน อยู่บ้านกับโฮส จะได้ฝึกพูดมากกว่าแต่กฎระเบียนก็เยอะตาม และแถบนั้นจะมีกิจกรรมให้นักเรียนทำเยอะ เช่น ไปปั่นจักรยาน ไปปิคนิค นักเรียน เรียนเสรจนัดกันไปทำไร เพราะเมืองมันเล็กมั้ง บ้านอยู่โซนๆเดียวกัน )
เพื่อนในห้องค่ะ
ลักษณะการเรียน : เรียน จันทร์ - พฤหัส ครึ่งวัน บางคนได้ครึ่งเช้า บางคนได้ครึ่งบ่าย เรียนบ่าย2 ถึงเกือบ6โมง ส่วนใหญ่คนไทยจะได้ครึ่งบ่าย เพราะคนไทยชอบมาทำงาน เค้าเลยเอาคนไทยมาเรียนบ่ายให้เข้างานไม่ทัน ฮ่าาาา จะมี 2 คลาสใน 1วัน คลาสแรกเรียนน แกรมม่ากับเขียนนิดหน่อย นิดหน่อยแบบน้อยมา 10บรรทัดไรงี้ พักเบรคแล้วก็เป็นคลาส สปีกกิ้ง จะเน้นเรียนสนุก ได้พูดเยอะ มีเล่นเกมส์ ผ่อนคลาย การสอบเลื่อนแต่ละคลาสไม่ยาก ส่วนใหญ่ก็ผ่านหมดนะ
หลังจากเรียนที่นี้เสรจ เราก็รู้สึกเหมือนได้ทบทวนแกรมม่าที่เคยฝังอยู่รากลึกของสมองขึ้นมา การพูดจาเริ่มมี tense อดีต ปัจจุบัน อนาคต ปัจจุบันยังคงอยู่ ไรงี้บ้าง การบ้านจะง่ายมาก สอนศัพท์ง่าย เหมือนเรามาวอร์มอัพสมองที่นี้ เราเริ่มคุ้นเคยกับศัพท์ในชีวิตประจำวันเช่น ลงรถไฟ สถานีไหน , ฉันมีนัด , รอแปปนึง ฉันใกล้ถึงแล้ว, สองสิ่งนี้แตกต่างกันยังไง , มะนาว , สั่งสตาร์บัค เอานม non-fat หวานน้อย รอบเดียวพนักงานรู้เรื่อง (การทดสอบภาษาเราอย่างหนึ่งคือไปทดสอบที่สตาบัค เมื่อไหร่ที่พนักงานไม่ทำหน้างง นั้นแปลว่า เราเริ่มออกเสียงได้ดี แต่ถ้าเค้า ขมวดคิ้วนิดหน่อย ต้องไปฝึกมาใหม่นะ แล้วเราก็ไปทดสอบว่าเราควรใช้ชื่อฝรั่งอะไรดีที่สตาบัคด้วย ) แรกๆนี่ ถ้าจะกินขนมในตู้ไม่กล้าสั่งไรอย่างอื่น นอกจาก คุกกี้ กับ ครัวซองเลย นี่แหละศัพท์พื้นฐานที่เราพึ่งมารู้ตอน 2เดือนแรก ก็บอกแล้วว่าพื้นฐานติดลบ 55555555
พอเรียนจบก็รับประกาศนียบัตรมาแบบไก่กาชิงช้าม้าหมุน ไม่รู้จะเอาไปทำไร
ต่อมา ย้ายมาเรียน ELA ที่ Depaul University
ค่าเรียน: 3พันกว่าดอลล่าต่อ 10 อาทิตย์ ไม่รวมค่าหนังสือ ค่าหนังสืออีก เกือบ 200 ดอล แต่เราสามารถสั่งผ่าน amazon ได้ก็จะถูกลงหน่อย แต่ถ้าไม่อยากซื้อก็เช่าได้นะ เช่าทาง amazon
การสมัคร : การสมัครเรียนที่นี้ มีเอเจนซี่สมัครให้แต่น้อยมาก ตอนเราสมัคร เราสมัครเอง ทุกอย่างต้องทำเอง ขั้นแรกเข้าไปสมัครในเวปของมหาลัย https://ela.depaul.edu/ จ่ายค่าสมัครไปประมาณ80$ หลังจากนั้น สถาบันภาษาจะตอบเมล์แล้วส่งกระดาษเรียงความมาให้เราเขียนเกี่ยวกับตัวเราแล้วแสกนส่งไป จากนั้นเค้าจะส่งกำหนดการมาว่าเปิดเทอดวันไหน ต้องทำอะไรบ้าง
ตอนที่เราสมัครอ่ะ เค้าลืมส่งเรียงความมาให้เราเขียน เราต้องส่งอีเมล์ไปทวงว่าเรายังไม่ได้นะ ในตอนนั้นลำบากลำบนมาก ภาษาก็ไม่คล่อง เปิดดิกไป อ่านเมล์ไป แล้วที่รู้ว่าต้องได้รับไฟล์เรียงความเพราะเพื่อนซาอุจาก Intrax ก็สมัคร มันมาขอดูว่าเราเขียนยังไงมั้งมันจะเอาไปเป็นแนวทาง ก็ต้องขอบใจมันเนอะ
เลเวล : มี 4 เลเวล วันรายงานตัว เค้าจะให้ขียนเรียงความอีกที แล้ววันประถมนิเทศ เค้าจะให้ทำข้อสอบวัดระดับ ข้อสอบจะเป็นอารม TOELF paper base เป็นพาทฟัง แกรมม่า แล้วก็ อ่านเรื่อง ประมาณ สี่ ห้าเรื่อง หลังจากนั้นวันเปิดเรียนวันแรก อาจารย์จะให้สอบอีกที เพื่อเชคให้ชัวร์ว่านักเรียนมาถูกเลเวลมั้ย บางคนได้เลื่อน บางคนได้ลง ระดับความยากของระหว่างเลเวลจะต่างกันมาก จะยากต่างกันแบบก้าวกระโดด อาจารย์จะไม่ให้ผ่านง่ายๆ ถ้าไม่พร้อมไปเลเวลถัดไปจริงๆ
ถ้าเรียนถึงระดับ สูง สุดของที่นี้ สามารถ pathway เข้า Depaul ได้ หรือไม่ก็ตอนจบคอร์สเค้าจะมีให้สอบ toelf paper base อีกครั้ง ถ้าได้คะแนนเกิน 550 ก็เอาคะแนนยื่นดีพอลได้เลย แต่ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เล่นๆ ยิ่งถ้าเรียนถึงระดับสูงสุดที่ชื่อว่า UNIVERSITY BRIDGE ได้ก็สมควรเรียนมหาลัยได้อ่ะ เพราะเราเห็นเค้าเรียนเขียน แบบทำรายงานเขียนภาษาอังกฤษเป็นเล่มๆ 40 หน้า+
ลักษณะการเรียน : มี ฟัง พูด อ่าน เขียน เรียน จันทร์-ศุกร์ วันพุธ กับวันศุกร์เรียนครึ่งวัน ค่อนข้างเคร่งเครียด
รู้สึกยุ่งยาก ค่าเทอมแพงใช่มั้ย แต่ขอบอกเลยว่า เรียนแล้วฉลาดขึ้น มากกกกกกกกกกกกกกกก มากจิงๆ ตอนแรกที่เข้ามาเรียนที่นี้เรารู้สึก เกือบสามเดือนที่ผ่านมา ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษเลย เรียนที่นี้คุณจะเขียนเก่งขึ้นมาก มากถึงมากที่สุด แกรมม่าจะลึกซึ้ง การเรียนจะเรียนในลักษณะเตรียมตัวไปเรียนในมหาลัย และการบ้านจะเยอะแบบร้องขอชีวิต ทุกอย่างจะเข้มข้น เราใช้ความรู้ที่ได้จากการเรียนที่นี้ สองเทอม ไปสอบไอเอล พาทเขียน เราทำtask 1 ไม่เสร็จ เสร็จแค่ task 2 เราได้มา 6
เพื่อนร่วมห้องจะค่อนข้างมีคุณภาพ ทุกคนมีพื้นฐานที่ดีเพราะคนที่มาเรียนเค้าจริงจังอ่ะ ไม่จริงจังได้ไงค่าเรียนโคดแพง และส่วนใหญ่ตั้งใจเข้ามหาลัยที่เมกา ดังนั้นมันเริ่มเข้มข้น โดดเกิน4 ครั้งไม่ได้ เค้าจะให้ดรอป นั้นหมายความว่า เงินแสนกว่าบาทจะหายไปเพราะความขี้เกียจในวินาทีเดียว
คือมีพี่คนนึงมาเรียนได้ เดือนกว่า แล้วเค้าก็ลาออกไปแบบทิ้งเงินก้อนนั้น พี่เค้าอารมณ์แบบคนโตแล้วอายุ30และอ่ะ เป้าหมายเค้าไม่ได้จะเอาภาษาไปเรียนต่อไง เค้าบอกว่า ชีวิตเค้ามีอะไรต้องทำมากกว่าเรียน เค้าต้องการชีวิตเที่ยวเล่นด้านนอกบ้าง พบปะเฮฮากับเพื่อนบ้าง ไม่ใช่เรียนเสร็จกลับบ้านไปนั่งทำการบ้าน ตื่นเช้า อาจารย์ writing นัดพบเพื่อแก้ essay นั่งเขียน essay draft 1 2 3 อะไรแบบนี้ พี่เค้าเลยย้ายไปเรียนที่ SOLEX ( SOLEX ก็เป็นสถาบันภาษาที่ดีอันหนึ่งของชิคาโก้ เกรดประมาณ INTRAX ) คือรับรองว่าเรียนที่นี้เขียนได้ดีขึ้นชัว แต่ก็ตามที่พี่เค้าบอกเลย มันไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นนอกอจาก เสาร์อาทิตย์ ส่วนเรื่องพูดก็ได้พูดน้อยกว่าที่ intrax เหมาะสำหรับ คนมีกำลังทรัพย์มากหน่อยและต้องการความเชี่ยวชาญในการเขียน
โรงเรียนสุดท้าย BIR เป็นการเรียนที่มีวันน้อยมากก แต่เป็นโรงเรียนเดียวในชิคาโก้ที่มี ไอเอล คอร์ส เราเลยจำเป็นต้องเรียนที่นี้ เรียนอย่างน้อย1วันต่ออาทิตย์ แต่เรียนทั้งวันนะ หรือจะแยกเป็น2วัน เรียนแค่ครึ่งเช้า แล้วขยันหน่อยก็ลง work-shop อะไรแบบนี้ เหมือนมันเป็นโรงเรียนสำหรับคนเน้นมาทำงานรึป่าวเราก็ไม่แน่ใจ แต่คนทำงานส่วนใหญ่เรียนทีนี้ แต่เค้าจะเรียนที่อื่นก่อนแล้วค่อย transferมา พอเรียนน้อยค่าเทอมก็ถูกตาม เดือนละเกือบ 500$ คุณภาพก็ตามราคาเลย เพื่อนจะไม่เข้มข้นเท่า ดีพอล และอินแทรค แต่เห็นเค้าว่ากันว่า ถ้ามาโรงเรียนนี้จะแอบขอวีซ่ายากนิดนึง อันนี้เราก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่
นอกจากนี้ ที่ชิคาโก้ยังมีอีกหลายสถาบันภาษา เช่น Kaplan : โรงเรียนอยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก , UIC ( university of illinios chicago) : คุณภาพพอพอกับ DEPAUL แต่เขียนไม่เข้มข้นเท่า (แต่การเรียนสปีกกิ้งน่าจะดีกว่า //อันนี้เพื่อนบอกมา) มหาลัยไม่ได้อยู่ในใจกลางเมือง แต่รถไฟต่อเดียวถึง เดินทางสะดวก เรียนตอนเย็นถึงค่ำ , ELS : อันนี้ไม่รู้ว่าการเรียนเป็นไง แต่ที่เรียนไกลมากกก นอกมากเมืองมากๆๆๆ ต้องต่อรถไฟและรถเมย์ อยู่ใน Dominican University แต่เพื่อนน่าจะเกาะกลุ่มกันเพราะอยู่นอกเมือง , CSI คุณภาพคล้าย BIR
ยังไม่จบขอต่อในคอมเม้นนะคะ