"เทงาน เทใจ เทไปกับแสงดาว" ประโยคที่เกิดขึ้นเมื่อเด็กถาปัตฯสามคนแอบเทงานหนีเที่ยว หนีแสงไฟโต๊ะเขียนแบบไปดูแสงดาว พาร่างกายอันบอบช้ำจากงาน งาน และงานไปพักฟื้นกับธรรมชาติ
ลงทุนหนีงานมาเที่ยวขนาดนี้ก็จะมาเที่ยวที่ธรรมดาได้ไง นี่เลยเราจะขึ้นเหนือสัมผัสดินแดนชายขอบวัฒนธรรมล้านนา ทรงคุณค่าของสถาปัตยกรรม เต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีชีวิต และที่พีคกว่านั้นก็คือมีธรรมชาติและภูมิประเทศที่สวยงาม หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าที่ไหน อาจจะนึกว่าเชียงใหม่ เชียงรายใช่มั้ย ผิดค่ะ!! เพราะเราจะไปกันที่จังหวัดแพร่ และน่าน กัน
________________________________________________________________________________________________
[ ออกเดินทาง และเริ่มผจญภัยวันแรก : 04 - 04 - 2559 ถึง 05 - 04 - 2559 ]
6 โมงเย็นนิสิตถาปัตฯสามคนตาดำๆที่อดนอนมาหลายวัน แบกร่างและแบกกระเป๋าไปสถานีรถไฟ หัวลำโพง เพื่อขึ้นรถไฟไปลงที่สถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ เห็นหน้าเหนื่อยๆแบบนี้ แต่บอกเลย!!ข้างในแฮปปี้มาก แฮปปี้กว่าตอนทำงานมาก555
พอประมาณสองทุ่มกว่าๆ รถไฟก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลา เป็นการเริ่มต้นทริปนี้อย่างแท้จริง พวกเราจองรถไฟแบบตู้นอนมาเตียงล่างคนนึง เตียงบนสองคน ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ นั่งเล่นกันอยู่สักพักก็เริ่มง่วงละ อ่ะ!! นอนค่ะ เด๋ววันรุ่งขึ้นค่อยว่ากันเนอะ
อยู่บนรถไฟเบื่อๆก็ขอสเก็ตช์รูปเล่นเรื่อยเปื่อยก็แล้วกัน
นอนฟังเพลงบนรถไฟได้บรรยากาศจริง ต้องมาลองนะพูดเลย ถึงแม้รถไฟจะสั่นไปนิด5555
ถึงสถานีเด่นชัย จังหวัดแพร่ด้วยความหกโมงเช้า บอกเลยว่าง่วงและหิวมาก
เดินออกจากสถานีมองขวาเดินตรงไปซักพักก็เจอตลาด ด้วยความหิวโหยและความนอนไม่หลับจากรถไฟที่สั่นไปสั่นมาเมื่อคืน ทำให้พวกเราตกลงปลงใจวางสัมภาระใบใหญ่ นั่งพักร่างพังๆ ทานอาหารเช้าที่ร้านข้างทางที่ดูเผินๆ ก็ดูธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดานะพูดเลย
ระหว่างที่กินข้าวนั้นมองไปรอบๆก็เห็นผู้คนออกมาจับจ่ายกับข้าว ผู้คนจอแจ รถเข็นผักวิ่งไปมา พระเดินบิณฑบาตร เป็นการซึมซับความตลาดเช้าและวิถีชีวิตแบบต่อนยอนได้อย่างที่หาไม่ได้ในเมืองหลวงแน่ๆ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของคาวเราก็ต่อกันด้วยของหวานที่เป็นพุดดิ้งมะพร้าวอ่อนแสนอร่อยจากร้านข้างๆกันไม่ใกล้ไม่ไกล
เอาหละ..กินอิ่มทั้งของคาวและของหวานกันเสร็จก็พร้อมออกเดินทางแล้วค่าาา เป็นการเริ่มวันแรกในจังหวัดแพร่อย่างแฮปปี้สุดๆ
เข็มนาฬิกาชี้เวลา 10 โมงตรง ญาติเพื่อนที่นัดไว้มารับพอดี อิ่มท้อง และได้นั่งพักฟื้นพลังก็พร้อมลุยกันแล้ว ที่แรกที่เราจะไปคือที่ที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดที่เรามากินข้าวมาก จากตลาดมุ่งหน้าทิศตะวันตกไปตามทางหลวงหมายเลข 101 ประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะสะดุดกับความสวยงามของวัดสุโทนมงคลคีรี เป็นวัดขนาดใหญ่ ที่ผสมผสานศิลปะหลากหลายยุคสมัยและหลายรูปแบบเช่นกัน ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมสะสมของเก่าและของหายากตั้งแต่อดีตไว้ด้วย ภายในวัดมีความเงียบสงบคนไม่เยอะมาก เหมาะกับคนที่ต้องการจะปลีกวิเวกมาเสพความสงบและไหว้พระมากๆเลยทีเดียว





อิ่มบุญและอิ่มอกอิ่มใจกับความสวยงามของวัดสุโทนมงคลคีรีกันไปแล้ว ต่อไปเราก็จะมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองแพร่กัน(อ้าว!!นี่ไม่ได้อยู่ในเมืองหรอ555) แน่นอนค่ะ!!ตอนนี้เราอยู่นอกตัวเมืองแพร่มากๆ จะขับรถเข้าตัวเมืองก็นี่เลย ซิ่งไปตามทางหลวง 101 ทางเดิม จากหน้าวัดสุโทนฯมุ่งหน้าทิศตะวันออก ใช้เวลาไม่นานมากประมาณครึ่งชั่วโมงได้แหละมั้ง ประกอบกับช่วงนี้โลว์ซีซันด้วยไง คนไม่ค่อยเที่ยว คนขับรถเราเลยซิ่งแบบที่FAST8 ก็ทำไม่ได้!!!! นั่งหลับไปซักพัก ลืมตามาอ้าวนี่ในตัวเมืองแพร่ วินาทีนั้นรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของล้านนา ความเก่าแก่ ความสโลว์ไลฟ์ของวิถีชีวิต และความน่าเกรงขามของสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมไปถึงบ้านวงศ์บุรี ที่เป็นจุดหมายต่อไปของเรา จากทางหลวง101 เบี่ยงเข้าถนนยันตรกิจโกศล เลี้ยวขวาเข้าถนนเจริญเมือง ขับไปสักพักก็เลี้ยวขวาอีกทีเข้าสู่ถนนคำลือ ซึ่งเป็นถนนที่มีชื่อเก๋ๆว่า “ถนนแห่งศิลปะ” หรือ Road of Art ของเมืองแพร่กันเลยเชียวนะ เป็นถนนที่ผสานความลงตัวของเมืองแพร่ ทั้งศิลปะและวัฒนธรรมเก่าแก่ของเมืองนี้ บ้านวงศ์บุรีที่เราจะมาก็อยู่บนถนนเส้นนี้นี่แหละ ขับมาอีกหน่อยก็เจอแล้วนะเออ รถขับถึงหน้าบ้าน เงยหน้าขึ้นมาดู ป้าดดดด!!! บ้านสีชมพูทั้งหลังเริ่ดมาก ตัวบ้านมีความย้อนยุคเบาๆดูคลาสสิคสุดๆ เป็นเรือนปั้นหยา สองชั้น แบบยุโรปประยุกต์ ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าพรหม(หลวงพงษ์พิบูลย์) ผู้สืบเชื้อสายมาจากอดีตเจ้าเมืองแพร่ และ เจ้าสุนันทา วงศ์บุรี ธิดาเจ้าบุรี (พระยาบุรีรัตน์) นั่นเอง

อ่ะ...ไหนลองเข้าไปดูในตัวบ้านกัน ข้างในบ้านเป็นยังไงน้าาาา....ข้างในก็สวยไม่แพ้ข้างนอกเลย บ้านนี้ยังใช้ถ่ายละครมาหลายเรื่องแล้วนะ เช่นเรื่อง รอยไหม อันโด่งดัง บอกเลยว่าติ่งละครหลังข่าวต้องมานะ...พูดแค่นี้
ถัดไปจากบ้านวงศ์บุรีเลี้ยวเข้าสู่ถนนคุ้มเดิมไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี้เองคือคุ้มเจ้าหลวงอันเป็นบ้านสุดฮอตของเมืองแพร่ ซึ่งเป็นบ้านของเจ้าหลวงเมืองแพร่องค์สุดท้าย สร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ.2435 ก่อนสมัยเงี้ยวปล้นเมืองแพร่ อาคารหลังนี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยผสมยุโรป ที่งดงามด้วยลวดลายฉลุไม้ ด้วยรูปทรงอาคารที่ดูโดดเด่น ข้างบนบ้านก็ไม่มีไรมาก ฟังก์ชันเปนที่อยู่ทั่วไป ห้องนอน ห้องรับแขก แต่มีดีก็ที่ของใช้ต่างๆที่ว่างอยู่นี่แหละ มีความวินเทจสุดๆ ย้อนยุคสุดๆ เหมือนขึ้นไทม์แมชชีนย้อนเวลามาเลยละค่ะ





ด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่แน่นปึกของบ้านหลังนี้ แน่นอนค่ะว่า...ภายใต้ความสวยงามของบ้านหลังนี้ก็มีความลี้ลับที่สร้างความกลัวชวนขนหัวลุกให้กับคนท้องถิ่นในระแวกนั้นอีกด้วยนะ ลงบันไดไปชั้นล่างเข้าประตูน้อยๆที่อยู่ข้างหน้า หรือที่เค้ารู้จักกันดีในนาม”ประตูคุก”นั่นเอง แต่เดี๋ยวค่ะ!!!!! อย่าเพิ่งเดินเข้าไป เพราะเข้ามีเคล็ดว่า... อย่าเดินหน้าหันหน้าเข้าคุกแต่ให้เดินถอยหลังเข้าคุกแทน …น่ากลัวไหมล่ะแก!! ในห้องคุมขังถูกแบ่งออกเป็น 3 ห้อง โดยห้องกลางเป็นห้องทึบที่แสงไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้เลย มีไว้สำหรับขังข้าทาสที่กระทำความผิดขั้นร้ายแรงไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันกันเลยทีเดียว ส่วนห้องด้านข้างทั้งซ้ายและขวายังมีแสงผ่านเข้ามาได้บ้าง ใช้คุมขังทาสที่มีความผิดชั้นลหุโทษเป็นเวลานานกว่า 50 ปี บรรยากาศในนี้ดูวังเวงมากก เดินชมคุกกันอยู่ไม่นานมาก เพราะกลัวค่ะ55555 ก็เดินออกมา แต่ก่อนจะออกก็มีเคล็ดอีกว่า..ออกมาแล้วอย่าหันหลังไปมองคุก เพราะอาจจะทำให้ต้องโทษเข้าคุกในอนาคตได้นะ ถึงที่นี่จะดูน่ากลัวไปนิดแต่ก็ถือว่ามีเสน่ห์อยู่มากเลยทีเดียว ด้วยเรื่องราวขนหัวลุกนี่เองแหละ ทำให้ที่นี่ดูมีstoryในตัวมัน และมีนักท่องเที่ยวอยากจะมาชม แนะนำเลย..ใครชอบอารมณ์บ้านเก่า ลี้ลับๆเบาๆ อารมณ์ริวจิตสัมผัส ก็มาที่นี่เลย


[SR] เมื่อเด็กถาปัตฯสัมผัสแดนเหนือ NANxPHRAE-Breath of the North
________________________________________________________________________________________________
เข็มนาฬิกาชี้เวลา 10 โมงตรง ญาติเพื่อนที่นัดไว้มารับพอดี อิ่มท้อง และได้นั่งพักฟื้นพลังก็พร้อมลุยกันแล้ว ที่แรกที่เราจะไปคือที่ที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดที่เรามากินข้าวมาก จากตลาดมุ่งหน้าทิศตะวันตกไปตามทางหลวงหมายเลข 101 ประมาณ 4 กิโลเมตร ก็จะสะดุดกับความสวยงามของวัดสุโทนมงคลคีรี เป็นวัดขนาดใหญ่ ที่ผสมผสานศิลปะหลากหลายยุคสมัยและหลายรูปแบบเช่นกัน ด้านในยังมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมสะสมของเก่าและของหายากตั้งแต่อดีตไว้ด้วย ภายในวัดมีความเงียบสงบคนไม่เยอะมาก เหมาะกับคนที่ต้องการจะปลีกวิเวกมาเสพความสงบและไหว้พระมากๆเลยทีเดียว