บทที่ 1 ความหวัง ตอนที่1/2
เสียงนกร้องทักทายกันยามรุ่งอรุณ ตัดสลับกับลมหายใจที่หืดหอบไม่เข้าจังหวะ แลเสียงฝีเท้าที่ย่ำกิ่งไม้ ฟังดูจะเป็นการวิ่งที่ไม่ดีนัก กล้ามเนื้อที่เต็มกลืนด้วยความอ่อนล้า ทำให้ขาเริ่มชา แลหนักอึ้งราวกับมีโซ่มาดึงรั้ง สายตาเริ่มพล่ามัว พื้นดินดูสั่นไหวราวกับจะแกล้งให้ต้นไม้โดยรอบหักโค่นถล่มลงมา การวิ่งที่แสนยาวนานทุกเช้า คือสิ่งที่ข้าเกลียด วิ่งแล้วก็วิ่งอีกเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ทำไมนะหรือ ก็เพราะข้าคือความหวังนะซิ
“ที่สุดท้าย เจ้ายังคงครองลำดับนี้ไว้อย่างเหนียวแน่นนะ ตินนาส” ชายร่างกำยำ ผิวเข้ม สูงเสียดต้นอิคค่า เอ่ยวาจาราบเรียบเสียดแทงผู้เป็นศิษย์
“พรุ่งนี้ข้าจะพยายามให้เร็วกว่านี้” ไม่ทันสิ้นเสียง ชายที่ยืนกอดอกอยู่เบื้องหน้าก็กราดเกรี้ยวกลับทันที
“จะพยายามหรือ อย่าได้สักแต่พ่นวาจาพล่อยๆขึ้นมาอีก เฉพาะเจ้าเท่านั้น ตินนาส เจ้าต้องเร็วกว่า ต้องแกร่งกว่าทุกคนในโรงฝึกนี้ ต้องมากกว่าข้า หรือเก็น ท่านพ่อของเจ้า จำเอาไว้”
แม้เสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ได้ทะลุทะลวงออกมาจากปากของท่าครูซีทาน แต่เด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้ากลับไม่มีทีท่าตื่นกลัวเลยซักนิด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึก กับจิตใจที่แสนจะเย็นชาไม่รับรู้ถึงอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่เบื้องหน้า ความบอบช้ำของร่างกายที่เป็นร่างทรงของโรคภัย และการฝึกฝนเพื่อให้เหนือกว่าทุกคน ยังไม่เจ็บปวดเท่ากับชายผู้เป็นที่รัก ไม่เคยชายตาลงมามองบุตรของตนเลย เพียงเพราะว่าข้าอ่อนแอ หรือเป็นเพราะท่านไม่เคยต้องการข้ากันนะ เสียงเพรียกร้องภายในใจ ช่างเป็นเพลงขับกล่อมให้เด็กสาววัยสิบสอง เป็นคนเย็นชาไร้หัวใจได้ดีจริงๆ
“ไปกันเถอะ ตินนาส ข้าว่ายาเจ้าหมดแล้ว คงต้องไปเติมที่โรงพักฟื้นแล้วละ”
“การเอื้อนเอ่ยของเจ้ายังไร้มารยาทเหมือนเดิมนะ นาฬิเวียส บิดาเจ้านอกจากวิชาแพทย์แล้ว ไม่เคยสอนมารยาทสังคมให้เจ้าเลยหรือ”
“ท่านมิต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก บิดาข้าได้พร่ำสอนเช้าเย็น ว่าหากใครให้ความเคารพแก่เรา เราย่อมยื่นความเคารพนั้นตอบแทน จริงหรือไม่ ซีทาน”
“ เจ้า!!!!!” ซีทานอุทานออกมาด้วยความเจ็บแค้น แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ เพราะลานฝึกเต็มไปด้วยศิษย์น้อยใหญ่ที่จ้องมองอยู่
“ไปกันเถอะ ข้าหายใจไม่ออก” ตินนาส รีบตัดบท
อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน อาการของข้าก็เริ่มแย่ลงเช่นกัน น่าแปลกผู้คนรอบกายข้า ก็แลดูแข็งแรง ไร้โรคภัย แต่ทำไมข้าถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ โรคหอบหืดที่แทบจะทำลายล้างข้าทุกวินาทีนั้น สืบทอดมาจากไหนกัน คงมิใช่เพียงข้าที่สงสัย ผู้คนตระกูลแพทย์ก็คงขบคิดเช่นกัน
“ตินนาส !!!!” ข้าตกใจเสียงของ นาฬิเวียส
“เจ้าอย่าเอาแต่เหม่อซิ เพราะเช่นนี้ ซีทานถึงชอบหาเรื่องตำหนิเจ้า เจ้าต้องมีสมาธิมากกว่านี้นะ เอ้า!!! ข้าเติมลมหายใจให้เจ้าแล้ว รับไว้ซิ หากข้าไม่อยู่ใครจะดูแลเจ้ากัน ข้าละปวดหัวเสียจริง” แม้แลดูเหมือนเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา แต่ท่าทางที่แสดงออกมาของนาฬิเวียสก็ดูน่าสงสัยไม่น้อย
“เจ้าจะไปไหนหรือนาฬิเวียส” ชายหนุ่มเงียบ ยืนก้มหน้าได้แต่ยิ้มมุมปาก ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่ลมก็ยังไม่พัดผ่าน แสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าที่เล็ดลอดผ่านช่องผนังเข้ามา สัมผัสผิวสากๆของโต๊ะพยาบาลในโรงพักฟื้น ลมหายใจแผ่วเบาเข้าออก ช่างดูเศร้าสร้อยและเงียบเหงาเหลือเกิน เช้าที่แสนเหน็ดเหนื่อยนี้ มันยังไงกันนะ มีแต่เรื่องให้คิดจริงๆ
“อีกสามวันเจ้าจะมีเรียนสรรพเวทย์ใช่หรือไม่ ก่อนเข้าห้องเรียนข้ามีเวทย์จะสอนเจ้าก่อน”
“ไม่ละ ถ้าข้ารู้ก่อน โยบีจะจับได้ว่าเจ้าสอนข้า ทีนี้ละเมื่อถึงเวลาเย็น เจ้าได้โดนบิดาสับเละกลางโต๊ะอาหารเป็นแน่”นาฬิเวียสหัวเราะ
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก แต่ได้โปรดเถิด ตินนาส ข้าอยากให้เจ้ารู้ก่อนจริงๆ”
น่ากลัว สีหน้าและแววตาที่เคร่งขรึมจริงจังแบบนี้ของ นาฬิเวียส มักจะซ่อนอะไรไว้เบื้องหลังเสมอ เหมือนเมื่อตอนข้าหกขวบ ข้าหยิบหนังสือแห่งชีวิตออกจากห้องท่านพ่อ ครั้งนั้นเค้าก็พูดกับข้าด้วยสีหน้าเช่นเดียวกันนี้ “ไม่ต้องกังวลข้าจะปกป้องท่านเอง” คำพูดนี้อาจจะฟังดูเป็นคำพูดโง่ๆ ที่เอ่ยออกมาจากปากแพทย์ฝึกหัดที่ไม่ประสีประสาอะไรต่อโลก ดวงตาใสซื่อ ที่มองอะไรก็สวยงามไปหมด คำพูดที่เรียบง่าย แต่เชื่อถือได้ พอเอ่ยเสร็จเค้าก็รับผิดแทนข้า ทำไมนะ ข้าถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
“ข้าไม่ชอบเลย เวลาที่เจ้าแสดงสีหน้าเช่นนี้”
“เวทย์นี้เรียกว่าเวทย์คนทรง เจ้าจะสามารถควบคุมสิ่งที่เคยมีชีวิตได้ทุกอย่าง”
“สิ่งที่เคยมีชีวิต” ตินนาสย้ำ
“ใช่ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่ตายไปแล้ว เจ้าสามารถเรียกกลับขึ้นมาใช้งาน ใช้ทุกความสามารถที่คนเหล่านั้นเคยมีได้ เหมือนครั้งที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่”
“มันเป็นเวทย์ต้องห้ามของหน่วยแพทย์ ขนาดเจ้าที่เป็นแพทย์หากไม่ได้รับอนุญาตจากตุลาการ ก็ใช่ว่าจะฝึกได้ และที่สำคัญข้าว่าโยบีคงไม่สอนข้าแน่ ถึงกระนั้นแม้แต่คุณสมบัติขั้นต้นสำหรับการฝึกเวทย์ระดับสูง ข้ายังไม่มีเลย”
“ตินนาส ฟังข้า เจ้าฝึกได้แน่ เจ้าเป็นผู้ถูกเลือก เป็นบุตรของเก็น ราชาแห่งการแพทย์ ผู้ปกครองเปเทียส เจ้าจงตั้งใจฟังข้า อย่าให้ข้าต้องมานั่งคอยระวังหลังให้เจ้าทั้งชีวิต”
“รู้มั้ยนาฬิเวียส สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคืออะไร คือความหวังลมๆแล้งๆที่ทุกคนล้วนโยนให้ข้าแบกนี่แหละ น่ารังเกียจยิ่งนัก ข้าไม่มีดีอะไรให้เจ้าหวัง กลับไปซะ ข้าจะไปโรงฝึก”
สิ่งที่หน้าเศร้ากว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตข้า ก็คือการที่ข้าคาดหวังว่าจะมีใครเข้าใจ ซักคนเดียวก็ยังดี แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีใครเลย แม้แต่นาฬิเวียส ผู้ที่เป็นดั่งเงาคอยคุ้มภัย กลับไม่เข้าใจข้าเลยซักนิด หรือเป็นเพราะคำสั่งของท่านพ่อที่ให้เจ้าคอยปัดเป่าโรคภัยของข้า คำสั่งที่ทำให้เจ้าจำใจต้องคอยดูแลข้า ทำไมนะ ทำไมต้องมายัดเยียดภาระที่ข้าไม่อยากรับมาให้ข้าแบก รู้หรือไม่นาฬิเวียสว่าวันนี้เจ้าทำให้เช้าที่แสนจะหม่นหมองของข้า มืดครึ้มขึ้นไปอีก
ตินนาส บทที่1/2
เสียงนกร้องทักทายกันยามรุ่งอรุณ ตัดสลับกับลมหายใจที่หืดหอบไม่เข้าจังหวะ แลเสียงฝีเท้าที่ย่ำกิ่งไม้ ฟังดูจะเป็นการวิ่งที่ไม่ดีนัก กล้ามเนื้อที่เต็มกลืนด้วยความอ่อนล้า ทำให้ขาเริ่มชา แลหนักอึ้งราวกับมีโซ่มาดึงรั้ง สายตาเริ่มพล่ามัว พื้นดินดูสั่นไหวราวกับจะแกล้งให้ต้นไม้โดยรอบหักโค่นถล่มลงมา การวิ่งที่แสนยาวนานทุกเช้า คือสิ่งที่ข้าเกลียด วิ่งแล้วก็วิ่งอีกเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ทำไมนะหรือ ก็เพราะข้าคือความหวังนะซิ
“ที่สุดท้าย เจ้ายังคงครองลำดับนี้ไว้อย่างเหนียวแน่นนะ ตินนาส” ชายร่างกำยำ ผิวเข้ม สูงเสียดต้นอิคค่า เอ่ยวาจาราบเรียบเสียดแทงผู้เป็นศิษย์
“พรุ่งนี้ข้าจะพยายามให้เร็วกว่านี้” ไม่ทันสิ้นเสียง ชายที่ยืนกอดอกอยู่เบื้องหน้าก็กราดเกรี้ยวกลับทันที
“จะพยายามหรือ อย่าได้สักแต่พ่นวาจาพล่อยๆขึ้นมาอีก เฉพาะเจ้าเท่านั้น ตินนาส เจ้าต้องเร็วกว่า ต้องแกร่งกว่าทุกคนในโรงฝึกนี้ ต้องมากกว่าข้า หรือเก็น ท่านพ่อของเจ้า จำเอาไว้”
แม้เสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ได้ทะลุทะลวงออกมาจากปากของท่าครูซีทาน แต่เด็กน้อยที่อยู่เบื้องหน้ากลับไม่มีทีท่าตื่นกลัวเลยซักนิด ใบหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งความรู้สึก กับจิตใจที่แสนจะเย็นชาไม่รับรู้ถึงอารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่เบื้องหน้า ความบอบช้ำของร่างกายที่เป็นร่างทรงของโรคภัย และการฝึกฝนเพื่อให้เหนือกว่าทุกคน ยังไม่เจ็บปวดเท่ากับชายผู้เป็นที่รัก ไม่เคยชายตาลงมามองบุตรของตนเลย เพียงเพราะว่าข้าอ่อนแอ หรือเป็นเพราะท่านไม่เคยต้องการข้ากันนะ เสียงเพรียกร้องภายในใจ ช่างเป็นเพลงขับกล่อมให้เด็กสาววัยสิบสอง เป็นคนเย็นชาไร้หัวใจได้ดีจริงๆ
“ไปกันเถอะ ตินนาส ข้าว่ายาเจ้าหมดแล้ว คงต้องไปเติมที่โรงพักฟื้นแล้วละ”
“การเอื้อนเอ่ยของเจ้ายังไร้มารยาทเหมือนเดิมนะ นาฬิเวียส บิดาเจ้านอกจากวิชาแพทย์แล้ว ไม่เคยสอนมารยาทสังคมให้เจ้าเลยหรือ”
“ท่านมิต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก บิดาข้าได้พร่ำสอนเช้าเย็น ว่าหากใครให้ความเคารพแก่เรา เราย่อมยื่นความเคารพนั้นตอบแทน จริงหรือไม่ ซีทาน”
“ เจ้า!!!!!” ซีทานอุทานออกมาด้วยความเจ็บแค้น แต่ต้องข่มอารมณ์ไว้ เพราะลานฝึกเต็มไปด้วยศิษย์น้อยใหญ่ที่จ้องมองอยู่
“ไปกันเถอะ ข้าหายใจไม่ออก” ตินนาส รีบตัดบท
อากาศเริ่มเย็นลงทุกวัน อาการของข้าก็เริ่มแย่ลงเช่นกัน น่าแปลกผู้คนรอบกายข้า ก็แลดูแข็งแรง ไร้โรคภัย แต่ทำไมข้าถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ โรคหอบหืดที่แทบจะทำลายล้างข้าทุกวินาทีนั้น สืบทอดมาจากไหนกัน คงมิใช่เพียงข้าที่สงสัย ผู้คนตระกูลแพทย์ก็คงขบคิดเช่นกัน
“ตินนาส !!!!” ข้าตกใจเสียงของ นาฬิเวียส
“เจ้าอย่าเอาแต่เหม่อซิ เพราะเช่นนี้ ซีทานถึงชอบหาเรื่องตำหนิเจ้า เจ้าต้องมีสมาธิมากกว่านี้นะ เอ้า!!! ข้าเติมลมหายใจให้เจ้าแล้ว รับไว้ซิ หากข้าไม่อยู่ใครจะดูแลเจ้ากัน ข้าละปวดหัวเสียจริง” แม้แลดูเหมือนเป็นคำพูดที่แสนธรรมดา แต่ท่าทางที่แสดงออกมาของนาฬิเวียสก็ดูน่าสงสัยไม่น้อย
“เจ้าจะไปไหนหรือนาฬิเวียส” ชายหนุ่มเงียบ ยืนก้มหน้าได้แต่ยิ้มมุมปาก ไม่มีเสียงตอบกลับ ไม่มีเสียงใดๆ แม้แต่ลมก็ยังไม่พัดผ่าน แสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าที่เล็ดลอดผ่านช่องผนังเข้ามา สัมผัสผิวสากๆของโต๊ะพยาบาลในโรงพักฟื้น ลมหายใจแผ่วเบาเข้าออก ช่างดูเศร้าสร้อยและเงียบเหงาเหลือเกิน เช้าที่แสนเหน็ดเหนื่อยนี้ มันยังไงกันนะ มีแต่เรื่องให้คิดจริงๆ
“อีกสามวันเจ้าจะมีเรียนสรรพเวทย์ใช่หรือไม่ ก่อนเข้าห้องเรียนข้ามีเวทย์จะสอนเจ้าก่อน”
“ไม่ละ ถ้าข้ารู้ก่อน โยบีจะจับได้ว่าเจ้าสอนข้า ทีนี้ละเมื่อถึงเวลาเย็น เจ้าได้โดนบิดาสับเละกลางโต๊ะอาหารเป็นแน่”นาฬิเวียสหัวเราะ
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก แต่ได้โปรดเถิด ตินนาส ข้าอยากให้เจ้ารู้ก่อนจริงๆ”
น่ากลัว สีหน้าและแววตาที่เคร่งขรึมจริงจังแบบนี้ของ นาฬิเวียส มักจะซ่อนอะไรไว้เบื้องหลังเสมอ เหมือนเมื่อตอนข้าหกขวบ ข้าหยิบหนังสือแห่งชีวิตออกจากห้องท่านพ่อ ครั้งนั้นเค้าก็พูดกับข้าด้วยสีหน้าเช่นเดียวกันนี้ “ไม่ต้องกังวลข้าจะปกป้องท่านเอง” คำพูดนี้อาจจะฟังดูเป็นคำพูดโง่ๆ ที่เอ่ยออกมาจากปากแพทย์ฝึกหัดที่ไม่ประสีประสาอะไรต่อโลก ดวงตาใสซื่อ ที่มองอะไรก็สวยงามไปหมด คำพูดที่เรียบง่าย แต่เชื่อถือได้ พอเอ่ยเสร็จเค้าก็รับผิดแทนข้า ทำไมนะ ข้าถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเลย
“ข้าไม่ชอบเลย เวลาที่เจ้าแสดงสีหน้าเช่นนี้”
“เวทย์นี้เรียกว่าเวทย์คนทรง เจ้าจะสามารถควบคุมสิ่งที่เคยมีชีวิตได้ทุกอย่าง”
“สิ่งที่เคยมีชีวิต” ตินนาสย้ำ
“ใช่ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่ตายไปแล้ว เจ้าสามารถเรียกกลับขึ้นมาใช้งาน ใช้ทุกความสามารถที่คนเหล่านั้นเคยมีได้ เหมือนครั้งที่พวกเค้ายังมีชีวิตอยู่”
“มันเป็นเวทย์ต้องห้ามของหน่วยแพทย์ ขนาดเจ้าที่เป็นแพทย์หากไม่ได้รับอนุญาตจากตุลาการ ก็ใช่ว่าจะฝึกได้ และที่สำคัญข้าว่าโยบีคงไม่สอนข้าแน่ ถึงกระนั้นแม้แต่คุณสมบัติขั้นต้นสำหรับการฝึกเวทย์ระดับสูง ข้ายังไม่มีเลย”
“ตินนาส ฟังข้า เจ้าฝึกได้แน่ เจ้าเป็นผู้ถูกเลือก เป็นบุตรของเก็น ราชาแห่งการแพทย์ ผู้ปกครองเปเทียส เจ้าจงตั้งใจฟังข้า อย่าให้ข้าต้องมานั่งคอยระวังหลังให้เจ้าทั้งชีวิต”
“รู้มั้ยนาฬิเวียส สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดคืออะไร คือความหวังลมๆแล้งๆที่ทุกคนล้วนโยนให้ข้าแบกนี่แหละ น่ารังเกียจยิ่งนัก ข้าไม่มีดีอะไรให้เจ้าหวัง กลับไปซะ ข้าจะไปโรงฝึก”
สิ่งที่หน้าเศร้ากว่าทุกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตข้า ก็คือการที่ข้าคาดหวังว่าจะมีใครเข้าใจ ซักคนเดียวก็ยังดี แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีใครเลย แม้แต่นาฬิเวียส ผู้ที่เป็นดั่งเงาคอยคุ้มภัย กลับไม่เข้าใจข้าเลยซักนิด หรือเป็นเพราะคำสั่งของท่านพ่อที่ให้เจ้าคอยปัดเป่าโรคภัยของข้า คำสั่งที่ทำให้เจ้าจำใจต้องคอยดูแลข้า ทำไมนะ ทำไมต้องมายัดเยียดภาระที่ข้าไม่อยากรับมาให้ข้าแบก รู้หรือไม่นาฬิเวียสว่าวันนี้เจ้าทำให้เช้าที่แสนจะหม่นหมองของข้า มืดครึ้มขึ้นไปอีก