✿
พนักงาน กกต. สุดทน ร่อนเอกสารฟ้อง ”นายกฯ” แฉพฤติกรรม 5 เสือ กกต. หลังเหินฟ้าทัวร์นอก ผลาญงบ 5 ล้านต่อครั้ง
-----------------
วิจารณ์แซดคาดฝีมือกลุ่มอำนาจของเลขาเก่า ผนึกกำลังภายนอกหวังเปลี่ยนยกชุด หวั่นโปรแกรมทัวร์ทำกระทบการออกระเบียบเตรียมงานประชามติ เหตุองค์ประชุมไม่ครบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน ได้มีการเผยแพร่หนังสือร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ระบุถึงนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นพนักงานกกต. ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ในหมู่นักการเมือง ผู้บริหารสำนักงาน กกต. ข้าราชการหน่วยงานอื่น รวมถึงผู้สื่อข่าว โดยมีใจความสำคัญระบุว่า
ตามที่ท่านเคยมีคำสั่ง ห้ามข้าราชการไปดูงานต่างประเทศเพราะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินนั้น คณะกรรมการ กกต. ตีความแล้วบอกว่า ท่านห้ามเฉพาะข้าราชการ แต่ กกต. ไม่ใช่ราชการ ฉะนั้นจึงไปได้ และจากนั้นมาคณะกรรมการ กกต. ไปดูงานต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น โดยอาศัยดูงาน 1 วัน และเที่ยว 5-8 วัน โดยขนทีมที่ปรึกษาไปเกือบทั้งหมดทุกครั้ง เสียงบประมาณ ครั้งละ 2-5 ล้าน ทุกครั้ง
หนังสือร้องเรียนระบุต่อว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ กกต. ต้องมีบทบาทอย่างยิ่งในการปฏิรูปประเทศ ต้องเตรียมจัดทำประชามติ เตรียมความพร้อมของการลงคะแนน แต่คณะกรรมการ กกต. ทั้ง 5 คน สนใจที่จะพานักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) ไปดูงานต่างประเทศ โดยแบ่งเป็น 4 ประเทศ คือ อเมริกา ออสเตรีย สกอตแลนด์ และเกาหลี จัดให้มีเหลื่อมวันไป เพื่อจะได้ไปให้มากที่สุด โดยอ้างว่าจะไปดูการเลือกตั้ง แต่กำหนดการ คือ ดูเลือกตั้ง 1 วัน อีก 8-10 วันที่เหลือเที่ยว
หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่า นอกจากนี้ กกต. ชุดนี้ ยังจัดสรรงบประมาณ การดูงานของนักศึกษา จากเดิมหัวละ 50,000 บาท ก็เพิ่มให้เป็นหัวละ 70,000 บาท ทั้งๆ ที่นักศึกษา กลุ่มนี้มีอันจะกินกันทุกคน และงบประมาณนี้ก็เป็นงบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น และช่วงนี้การเงินของ กกต. ก็ฝืดเคือง แต่คณะกรรมการ กกต. ก็คิดที่จะตัดเงินที่พึงจะได้ของพนักงานออก และเอาไปเพิ่มให้นักศึกษากลุ่มนี้
“สำหรับคณะกรรมการกลุ่มนี้ นอกจากจะเบิกค่าเดินทางค่าอาหารและที่พักตามสิทธิแล้ว ยังเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงตามสิทธิอีกด้วย ทั้งๆ ที่ทัวร์คิดรวมหมดแล้ว ไม่ต้องมีเบี้ยเลี้ยง แต่ก็ยังเบิกกันเต็มที่ และสำหรับค่าทัวร์ เช่น เกาหลี ปกติ ค่าทัวร์ 5-7 วันประมาณ 30,000-40,000บาท แต่ทัวร์ของ กกต. ชุดนี้ 70,000 บาท และเมื่อเทียบกับทัวร์อื่นแล้ว ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ มีการกินหัวคิวค่าทัวร์ ส่วนทัวร์ประเทศอื่น ก็มีเก็บเงินเพิ่ม แต่มากน้อย เช่น ออสเตรีย เพิ่ม 2,000 บาท จริงๆแล้วอ่านตามหนังสือพิมพ์ ค่าทัวร์ 8 วัน 60,000-70,000 บาทก็พอ แต่ก็ทำเป็นเก็บเงิน ” หนังสือร้องเรียน ระบุ
หนังสือร้องเรียน ยังระบุด้วยว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการละทิ้งหน้าที่อันสำคัญ ที่ควรจะเดินสายไปจังหวัดต่างๆ เพื่อเตรียมการลงประชามติ พนักงาน กกต. ก็ได้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถออกเสียงอะไรได้ เพราะถ้าใครไม่เชื่อก็จะถูกรังแก เหมือนเลขาธิการ กกต. ที่ถูกปลดออกไป ทั้งนี้ช่วงท้ายของหนังสือร้องเรียนดังกล่าวระบุด้วยว่า
“ถ้าเขาอยากไปเที่ยว ก็ให้ไปเถอะ ขอคณะกรรมการชุดใหม่ มาทำหน้าที่ แทนได้ไหมคะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ทั้งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่มที่อ้างตัวเป็นพนักงาน กกต. ลักษณะเดียวกันนี้ ก็ได้มีการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ กกต. กรณีมีแนวคิดจะตัดเงินค่าตอบแทนต่างๆ ของพนักงาน เพื่อแก้ไขปัญหางบประมาณสำนักงาน กกต. ไม่เพียงพอพร้อมมีการตั้งคำถามต่อผู้บริหาร กกต. ว่าจะยอมเสียสละค่าตอบแทนก่อนเพื่อไม่ให้กระทบพนักงานหรือไม่ มาแล้วครั้งหนึ่ง และการเผยแพร่ก็กระทำในทำนองเดียวกัน ทำให้มีการวิเคราะห์กันในหมู่ผู้บริหาร กกต. ว่า การกระทำดังกล่าวน่าจะมาจากพนักงานกลุ่มอำนาจเก่าที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญใน กกต. เพราะข้อมูลในหนังสือร้องเรียนทั้งสองครั้งนั้น ไม่ใช่ข้อมูลที่พนักงาน กกต. ทั่วไปจะทราบ
นอกจากนี้ยังเห็นว่าลักษณะการเผยแพร่ข้อมูลมีการเชื่อมกับผู้มีอำนาจภายนอกองค์กรโดยมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยน กกต. ยกชุด เพื่อที่ต้องการวางฐานใหม่ในองค์กร กกต.
ขณะเดียวกันโดยข้อเท็จจริงการไปศึกษาดูงานต่างประเทศของ กกต. ร่วมกับนักศึกษา พตส. ในครั้งนี้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พนักงาน กกต. ถึงความเหมาะสมค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ กกต. ต้องรับผิดชอบการจัดออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่ กกต. กลับติดภารกิจไปต่างประเทศโดยตามกำหนดการระหว่างวันที่ 8-15 เมษายนที่ผ่านมา
นายประวิช รัตนเพียร และ
นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ ต้องเดินทางไปดูงานที่ประเทศเกาหลี แต่
นายประวิชได้ตัดสินใจยกเลิก เพราะต้องการไปร่วมประชุมระหว่าง กกต. กับ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา
ขณะที่วันที่ 19-26 เมษายน
นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต.จะเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วงเวลาเดียวกัน
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ก็จะเดินทางไปดูงานประเทศออสเตรีย โดยจะออกเดินทางวันที่ 18 เมษายน ส่วนนายบุญส่ง จะเดินทางไปดูงานที่ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพฤษภาคม จึงทำให้เกรงว่าจะกระทบต่อการเตรียมงานจัดการออกเสียงประชามติ ยิ่งในช่วงสัปดาห์นี้ที่คาดการณ์ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะมีผลใช้บังคับ และ กกต. จะต้องมีการประชุมพิจารณาเพื่อออกระเบียบสำคัญอย่างน้อย 4 ฉบับรองรับ ประกอบด้วย
1. ระเบียบว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
2. ระเบียบการพิจารณาการคัดค้าน
3. ระเบียบการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และการจัดสรรเวลาออกอากาศ และ
4. ระเบียบการใช้จ่ายเงินในการออกเสียงฯ
ดังนั้นการไปต่างประเทศของ กกต. อาจมีผลกระทบให้การออกระเบียบต่างๆ ล่าช้าไป หรือกรณีมีปัญหาร้องเรียนจากการรณรงค์ที่อาจเกิดขึ้นแล้วต้องการให้ กกต. วินิจฉัยโดยเร็วว่าทำได้หรือไม่ เนื่องจาก กกต. จะมีปัญหาองค์ประชุม เพราะแม้มาตรา 8 ของ พ.ร.บ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. จะกำหนดว่า องค์ประชุมต้องไม่น้อยกว่า 3 คน แต่บทบัญญัติหลักก็กำหนดให้ 3 ใน 4 ของกรรมการเท่าที่มีอยู่เป็นองค์ประชุมซึ่งที่ผ่านมา กกต. ตีความว่าต้อง 4 คนจึงเป็นองค์ประชุม อีกทั้งกรณีเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในทางปฎิบัติที่ผ่านมา กกต. จะยึดว่าต้องอยู่ครบ 5 คนจึงพิจารณาวินิจฉัย
✿ ✿ ✿ ✿ ✿
ถึงจะบอกว่า กกต. ไม่ใช่ข้าราชการก็เถอะ แต่เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่า ที่คอรัปชั่นหรือเอาเงินไปละลายแม่น้ำกัน ก็คือ ข้าราชการ และพวกกึ่งราชการเหล่านี้แหละ
ต่อให้นักการเมืองตายกันไปจนหมดประเทศ มันก็ไม่ได้ช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น
สิ่งที่ควรจัดการคือ "ข้าราชการ" ที่ทุจริต และต้องไม่เลือกฝัก เลือกฝ่าย เล่นแต่ฝ่ายตรงข้ามตน แต่มันต้องเล่นทั้งหมด
จะมานั่งบอกว่า นั่นเป็น
"ส่วนต่าง" หรือ
"ค่าที่ปรึกษา" คอรัปชั่นมันไม่มีวันหมดไปหรอกนะครับ
http://www.matichon.co.th/news/108650
✿ พนักงาน กกต. สุดทน ฟ้อง ”นายกฯ” แฉ 5 เสือ กกต. เหินฟ้าทัวร์นอก ใช้งบอื้อ..ที่คอรัปชั่นมากที่สุดคือ ข้าราชการนี่แหละ!!
✿ พนักงาน กกต. สุดทน ร่อนเอกสารฟ้อง ”นายกฯ” แฉพฤติกรรม 5 เสือ กกต. หลังเหินฟ้าทัวร์นอก ผลาญงบ 5 ล้านต่อครั้ง
-----------------
วิจารณ์แซดคาดฝีมือกลุ่มอำนาจของเลขาเก่า ผนึกกำลังภายนอกหวังเปลี่ยนยกชุด หวั่นโปรแกรมทัวร์ทำกระทบการออกระเบียบเตรียมงานประชามติ เหตุองค์ประชุมไม่ครบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 เมษายน ได้มีการเผยแพร่หนังสือร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ระบุถึงนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าเป็นพนักงานกกต. ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ในหมู่นักการเมือง ผู้บริหารสำนักงาน กกต. ข้าราชการหน่วยงานอื่น รวมถึงผู้สื่อข่าว โดยมีใจความสำคัญระบุว่า
ตามที่ท่านเคยมีคำสั่ง ห้ามข้าราชการไปดูงานต่างประเทศเพราะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินนั้น คณะกรรมการ กกต. ตีความแล้วบอกว่า ท่านห้ามเฉพาะข้าราชการ แต่ กกต. ไม่ใช่ราชการ ฉะนั้นจึงไปได้ และจากนั้นมาคณะกรรมการ กกต. ไปดูงานต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น โดยอาศัยดูงาน 1 วัน และเที่ยว 5-8 วัน โดยขนทีมที่ปรึกษาไปเกือบทั้งหมดทุกครั้ง เสียงบประมาณ ครั้งละ 2-5 ล้าน ทุกครั้ง
หนังสือร้องเรียนระบุต่อว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงที่ กกต. ต้องมีบทบาทอย่างยิ่งในการปฏิรูปประเทศ ต้องเตรียมจัดทำประชามติ เตรียมความพร้อมของการลงคะแนน แต่คณะกรรมการ กกต. ทั้ง 5 คน สนใจที่จะพานักศึกษาหลักสูตรพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง (พตส.) ไปดูงานต่างประเทศ โดยแบ่งเป็น 4 ประเทศ คือ อเมริกา ออสเตรีย สกอตแลนด์ และเกาหลี จัดให้มีเหลื่อมวันไป เพื่อจะได้ไปให้มากที่สุด โดยอ้างว่าจะไปดูการเลือกตั้ง แต่กำหนดการ คือ ดูเลือกตั้ง 1 วัน อีก 8-10 วันที่เหลือเที่ยว
หนังสือร้องเรียนระบุด้วยว่า นอกจากนี้ กกต. ชุดนี้ ยังจัดสรรงบประมาณ การดูงานของนักศึกษา จากเดิมหัวละ 50,000 บาท ก็เพิ่มให้เป็นหัวละ 70,000 บาท ทั้งๆ ที่นักศึกษา กลุ่มนี้มีอันจะกินกันทุกคน และงบประมาณนี้ก็เป็นงบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น และช่วงนี้การเงินของ กกต. ก็ฝืดเคือง แต่คณะกรรมการ กกต. ก็คิดที่จะตัดเงินที่พึงจะได้ของพนักงานออก และเอาไปเพิ่มให้นักศึกษากลุ่มนี้
“สำหรับคณะกรรมการกลุ่มนี้ นอกจากจะเบิกค่าเดินทางค่าอาหารและที่พักตามสิทธิแล้ว ยังเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงตามสิทธิอีกด้วย ทั้งๆ ที่ทัวร์คิดรวมหมดแล้ว ไม่ต้องมีเบี้ยเลี้ยง แต่ก็ยังเบิกกันเต็มที่ และสำหรับค่าทัวร์ เช่น เกาหลี ปกติ ค่าทัวร์ 5-7 วันประมาณ 30,000-40,000บาท แต่ทัวร์ของ กกต. ชุดนี้ 70,000 บาท และเมื่อเทียบกับทัวร์อื่นแล้ว ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ มีการกินหัวคิวค่าทัวร์ ส่วนทัวร์ประเทศอื่น ก็มีเก็บเงินเพิ่ม แต่มากน้อย เช่น ออสเตรีย เพิ่ม 2,000 บาท จริงๆแล้วอ่านตามหนังสือพิมพ์ ค่าทัวร์ 8 วัน 60,000-70,000 บาทก็พอ แต่ก็ทำเป็นเก็บเงิน ” หนังสือร้องเรียน ระบุ
หนังสือร้องเรียน ยังระบุด้วยว่า อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการละทิ้งหน้าที่อันสำคัญ ที่ควรจะเดินสายไปจังหวัดต่างๆ เพื่อเตรียมการลงประชามติ พนักงาน กกต. ก็ได้แค่ทำตามคำสั่ง ไม่สามารถออกเสียงอะไรได้ เพราะถ้าใครไม่เชื่อก็จะถูกรังแก เหมือนเลขาธิการ กกต. ที่ถูกปลดออกไป ทั้งนี้ช่วงท้ายของหนังสือร้องเรียนดังกล่าวระบุด้วยว่า “ถ้าเขาอยากไปเที่ยว ก็ให้ไปเถอะ ขอคณะกรรมการชุดใหม่ มาทำหน้าที่ แทนได้ไหมคะ”
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ทั้งนี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่มที่อ้างตัวเป็นพนักงาน กกต. ลักษณะเดียวกันนี้ ก็ได้มีการทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ กกต. กรณีมีแนวคิดจะตัดเงินค่าตอบแทนต่างๆ ของพนักงาน เพื่อแก้ไขปัญหางบประมาณสำนักงาน กกต. ไม่เพียงพอพร้อมมีการตั้งคำถามต่อผู้บริหาร กกต. ว่าจะยอมเสียสละค่าตอบแทนก่อนเพื่อไม่ให้กระทบพนักงานหรือไม่ มาแล้วครั้งหนึ่ง และการเผยแพร่ก็กระทำในทำนองเดียวกัน ทำให้มีการวิเคราะห์กันในหมู่ผู้บริหาร กกต. ว่า การกระทำดังกล่าวน่าจะมาจากพนักงานกลุ่มอำนาจเก่าที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสำคัญใน กกต. เพราะข้อมูลในหนังสือร้องเรียนทั้งสองครั้งนั้น ไม่ใช่ข้อมูลที่พนักงาน กกต. ทั่วไปจะทราบ
นอกจากนี้ยังเห็นว่าลักษณะการเผยแพร่ข้อมูลมีการเชื่อมกับผู้มีอำนาจภายนอกองค์กรโดยมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยน กกต. ยกชุด เพื่อที่ต้องการวางฐานใหม่ในองค์กร กกต.
ขณะเดียวกันโดยข้อเท็จจริงการไปศึกษาดูงานต่างประเทศของ กกต. ร่วมกับนักศึกษา พตส. ในครั้งนี้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พนักงาน กกต. ถึงความเหมาะสมค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ กกต. ต้องรับผิดชอบการจัดออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ แต่ กกต. กลับติดภารกิจไปต่างประเทศโดยตามกำหนดการระหว่างวันที่ 8-15 เมษายนที่ผ่านมา นายประวิช รัตนเพียร และนายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์ ต้องเดินทางไปดูงานที่ประเทศเกาหลี แต่นายประวิชได้ตัดสินใจยกเลิก เพราะต้องการไปร่วมประชุมระหว่าง กกต. กับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา
ขณะที่วันที่ 19-26 เมษายน นายศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต.จะเดินทางไปดูงานที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วงเวลาเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ก็จะเดินทางไปดูงานประเทศออสเตรีย โดยจะออกเดินทางวันที่ 18 เมษายน ส่วนนายบุญส่ง จะเดินทางไปดูงานที่ประเทศสก็อตแลนด์ในเดือนพฤษภาคม จึงทำให้เกรงว่าจะกระทบต่อการเตรียมงานจัดการออกเสียงประชามติ ยิ่งในช่วงสัปดาห์นี้ที่คาดการณ์ว่าร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญจะมีผลใช้บังคับ และ กกต. จะต้องมีการประชุมพิจารณาเพื่อออกระเบียบสำคัญอย่างน้อย 4 ฉบับรองรับ ประกอบด้วย
1. ระเบียบว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
2. ระเบียบการพิจารณาการคัดค้าน
3. ระเบียบการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และการจัดสรรเวลาออกอากาศ และ
4. ระเบียบการใช้จ่ายเงินในการออกเสียงฯ
ดังนั้นการไปต่างประเทศของ กกต. อาจมีผลกระทบให้การออกระเบียบต่างๆ ล่าช้าไป หรือกรณีมีปัญหาร้องเรียนจากการรณรงค์ที่อาจเกิดขึ้นแล้วต้องการให้ กกต. วินิจฉัยโดยเร็วว่าทำได้หรือไม่ เนื่องจาก กกต. จะมีปัญหาองค์ประชุม เพราะแม้มาตรา 8 ของ พ.ร.บ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. จะกำหนดว่า องค์ประชุมต้องไม่น้อยกว่า 3 คน แต่บทบัญญัติหลักก็กำหนดให้ 3 ใน 4 ของกรรมการเท่าที่มีอยู่เป็นองค์ประชุมซึ่งที่ผ่านมา กกต. ตีความว่าต้อง 4 คนจึงเป็นองค์ประชุม อีกทั้งกรณีเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งในทางปฎิบัติที่ผ่านมา กกต. จะยึดว่าต้องอยู่ครบ 5 คนจึงพิจารณาวินิจฉัย
ถึงจะบอกว่า กกต. ไม่ใช่ข้าราชการก็เถอะ แต่เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่า ที่คอรัปชั่นหรือเอาเงินไปละลายแม่น้ำกัน ก็คือ ข้าราชการ และพวกกึ่งราชการเหล่านี้แหละ
ต่อให้นักการเมืองตายกันไปจนหมดประเทศ มันก็ไม่ได้ช่วยให้บ้านเมืองดีขึ้น
สิ่งที่ควรจัดการคือ "ข้าราชการ" ที่ทุจริต และต้องไม่เลือกฝัก เลือกฝ่าย เล่นแต่ฝ่ายตรงข้ามตน แต่มันต้องเล่นทั้งหมด
จะมานั่งบอกว่า นั่นเป็น "ส่วนต่าง" หรือ "ค่าที่ปรึกษา" คอรัปชั่นมันไม่มีวันหมดไปหรอกนะครับ
http://www.matichon.co.th/news/108650