เคยพยายามหนีจากตัวตนของเราเองไหม ?
เคยไหมที่เราไม่พอใจในชีวิตหรือตัวตนของเรา จนทำให้เราอยากลืมที่มาของตัวเอง ?
นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของหนังเรื่อง “สุขสันต์วันกลับบ้าน” ที่เป็นการค้นหาตัวตนของตัวละครหลักที่ชื่อ “แทน” ที่แสดงโดย มาริโอ เมาเรอร์ ที่นำเสนอในรูปแบบของหนังสยองขวัญในสไตล์ mind-bending phychological movie หรือเรียกสั้นๆว่า mind ซึ่งเป็นการเล่นกับลำดับภาพและการเล่าเรื่องที่ทำให้เกิดความสับสนทางจิตประสาท หนังประเภทนี้มักเป็นที่รู้จักกันดีในผลงานของผู้กำกับอย่าง คูบริก โนแลน หรือ เดวิด ลินช์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ดูความซับซ้อนที่มาพร้อมกับโทนการเล่าเรื่องที่ดีจากหนังเรื่องนี้ (กำกับโดย ก้องเกียรติ โขมศิริ) ซึ่งตัวเรื่องได้ถ่ายทอดออกมาภายใต้องค์ประกอบต่างๆที่ดี ไม่ว่าจะเป็น ฉากและแสง บทและการล่าเรื่อง รวมไปถึงการแสดง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของหนังสยองขวัญที่ดี แม้ว่าจะมีพล็อทเรื่องจะมีบางจุดที่ดูเหมือนว่าไปหยิบยืมมาจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นมาบ้าง แต่ตัวหนังโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ที่สามารถสร้างความรู้สึกกลัวและกดดันประสาทของเราได้เป็นอย่างดี อีกสองอย่างที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือ 1.เสียงและเพลงประกอบ ที่ทำออกมาได้ทันสมัยและไม่เชย กับ 2.การออกแบบตัวละครที่มีบุคคลิกที่ซับซ้อนบนความเรียบง่าย ที่สามารถสร้างความกลัวให้กับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าตัวละครแต่ละตัวมีเมฆหมอกสีดำที่ครอบคลุมอยู่ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาความสับสน และคาดเดาการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ โดยหนังได้บอกเล่าผ่านปมหลายปม ที่สุดท้ายแล้วก็สามารถนำมาโยงถึงกันได้อย่างลงตัว รวมไปถึงอิทธิพลความกลัวที่มาจากการออกแบบฉากที่ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบดูหนังสยองขวัญ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมาแทบไม่มีหนังสยองขวัญที่ดีจนน่าพอใจได้เลย เพราะหนังสยองขวัญส่วนใหญ่ในยุคนี้มักเน้นแต่เสียงที่ดังกับภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวแค่นั้นเอง ทำให้ส่วนที่เหลือของหนังก็มักจะวนอยู่กับเนื้อเรื่องและการนำเสนอแบบเดิมๆ ยิ่งถ้าเป็นหนังสยองขวัญไทย ที่มักใส่อารมณ์ขันเข้าไปด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกสูญเสียถึงความเป็นหนังสยองขวัญ และสามารถรับรู้ได้ว่าว่าคนทำหนังไม่กล้าที่จะสร้างหนังโดยคำนึงถึงแต่เนื้องานเป็นหลัก แต่มักต้องกังวลถึงความสำเร็จในยอดรายได้และความพึงพอใจของคนดูส่วนใหญ่ไปด้วย และสิ่งนั้นก็อาจครอบงำเราและทำให้ตัวตนการเสพย์หนังของเราตื้นเขินโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ดังนั้นความแตกต่างของ “สุขสันต์วันกลับบ้าน” จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญที่ดี ที่มาพร้อมกับความบิดเบี้ยวของเนื้อเรื่องและความบิดเบี้ยวของตัวละคร ที่สร้างความกดดันและความน่ากลัว ที่ส่งผลต่ออารมณ์ให้อยากค้นหาและติดตามอย่างน่าพึงพอใจ
ฝากติดตาม blog ด้วยครับ :
https://nospoil.wordpress.com
สุขสันต์วันกลับบ้าน กับภาพยนตร์แนว mindf-ck !
เคยพยายามหนีจากตัวตนของเราเองไหม ?
เคยไหมที่เราไม่พอใจในชีวิตหรือตัวตนของเรา จนทำให้เราอยากลืมที่มาของตัวเอง ?
นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของหนังเรื่อง “สุขสันต์วันกลับบ้าน” ที่เป็นการค้นหาตัวตนของตัวละครหลักที่ชื่อ “แทน” ที่แสดงโดย มาริโอ เมาเรอร์ ที่นำเสนอในรูปแบบของหนังสยองขวัญในสไตล์ mind-bending phychological movie หรือเรียกสั้นๆว่า mind ซึ่งเป็นการเล่นกับลำดับภาพและการเล่าเรื่องที่ทำให้เกิดความสับสนทางจิตประสาท หนังประเภทนี้มักเป็นที่รู้จักกันดีในผลงานของผู้กำกับอย่าง คูบริก โนแลน หรือ เดวิด ลินช์ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ดูความซับซ้อนที่มาพร้อมกับโทนการเล่าเรื่องที่ดีจากหนังเรื่องนี้ (กำกับโดย ก้องเกียรติ โขมศิริ) ซึ่งตัวเรื่องได้ถ่ายทอดออกมาภายใต้องค์ประกอบต่างๆที่ดี ไม่ว่าจะเป็น ฉากและแสง บทและการล่าเรื่อง รวมไปถึงการแสดง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของหนังสยองขวัญที่ดี แม้ว่าจะมีพล็อทเรื่องจะมีบางจุดที่ดูเหมือนว่าไปหยิบยืมมาจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นมาบ้าง แต่ตัวหนังโดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ที่สามารถสร้างความรู้สึกกลัวและกดดันประสาทของเราได้เป็นอย่างดี อีกสองอย่างที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้ก็คือ 1.เสียงและเพลงประกอบ ที่ทำออกมาได้ทันสมัยและไม่เชย กับ 2.การออกแบบตัวละครที่มีบุคคลิกที่ซับซ้อนบนความเรียบง่าย ที่สามารถสร้างความกลัวให้กับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าตัวละครแต่ละตัวมีเมฆหมอกสีดำที่ครอบคลุมอยู่ทำให้เราไม่สามารถคาดเดาความสับสน และคาดเดาการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ โดยหนังได้บอกเล่าผ่านปมหลายปม ที่สุดท้ายแล้วก็สามารถนำมาโยงถึงกันได้อย่างลงตัว รวมไปถึงอิทธิพลความกลัวที่มาจากการออกแบบฉากที่ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบดูหนังสยองขวัญ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในรอบหลายปีที่ผ่านมาแทบไม่มีหนังสยองขวัญที่ดีจนน่าพอใจได้เลย เพราะหนังสยองขวัญส่วนใหญ่ในยุคนี้มักเน้นแต่เสียงที่ดังกับภาพที่ปรากฏขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวแค่นั้นเอง ทำให้ส่วนที่เหลือของหนังก็มักจะวนอยู่กับเนื้อเรื่องและการนำเสนอแบบเดิมๆ ยิ่งถ้าเป็นหนังสยองขวัญไทย ที่มักใส่อารมณ์ขันเข้าไปด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกสูญเสียถึงความเป็นหนังสยองขวัญ และสามารถรับรู้ได้ว่าว่าคนทำหนังไม่กล้าที่จะสร้างหนังโดยคำนึงถึงแต่เนื้องานเป็นหลัก แต่มักต้องกังวลถึงความสำเร็จในยอดรายได้และความพึงพอใจของคนดูส่วนใหญ่ไปด้วย และสิ่งนั้นก็อาจครอบงำเราและทำให้ตัวตนการเสพย์หนังของเราตื้นเขินโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ดังนั้นความแตกต่างของ “สุขสันต์วันกลับบ้าน” จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญที่ดี ที่มาพร้อมกับความบิดเบี้ยวของเนื้อเรื่องและความบิดเบี้ยวของตัวละคร ที่สร้างความกดดันและความน่ากลัว ที่ส่งผลต่ออารมณ์ให้อยากค้นหาและติดตามอย่างน่าพึงพอใจ
ฝากติดตาม blog ด้วยครับ : https://nospoil.wordpress.com