สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้ที่ 2ของ แหม่มที่อยากเล่าเรื่องราวที่ได้ไปเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง ลาว

ถึงแม้ว่าแหม่มจะเคยไปเที่ยวยุโรปมาหลายประเทศ แต่ว่านี่ถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้ออกไปเที่ยวประเทศในแทบ South East Asia อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยเหตุผลที่กลัวและหลายๆ อย่างทำให้มากล้าที่จะออกไปเยือนประเทศแทบนี้แบบจริงๆ จังก็เป็นได้ ไหนๆ แล้วตอนนี้ก็มีเวลาว่างตั้งสามอาทิตย์ (ปิดเทอม) เลยตกลงกับเพื่อนออกเดินทางจาก
กรุงเทพ - วังเวียง - หลวงพระบาง
1st Day: 3rd April 2016
เราเริ่มออกเดินทางกันวันที่ 3 เมษายน จากสนามบินดอนเมืองบินตรงสู่จังหวัดอุดรธานีค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบิน Lion air + ค่าน้ำหนักกระเป๋าตกอยู่ที่ราวๆ 1,xxx บาท พอไปถึงที่สนามบินราวๆ เวลา 7 โมงเช้า ด้วยความที่ว่าเรามีกันทั้งหมด 9 คน เราจึงต้องเหมา รถตู้จากสนามบินไปที่ บขส. อุดร ค่าเหมารถตู้อยู่ที่ 600 บาทต่อคันค่ะ ระหว่างทางคุณลุงคนขับรถตู้ให้คำแนะนำดีมาก เขาถามว่าเราจะรถไปไหน ควรไปทำอะไรต่อ ซื้อตั๋วยังไง ถ้าพลาดรถ ควรทำอย่างไร มีประโยชน์มากๆ ค่ะ พอมาถึง บขส. เราก็ตรงไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อจะไปวังเวียงกัน ค่าโดยสารอยู่ที่คนล่ะ 350 บาทนั่งตรงจากอุดรไปวังเวียง เข้าทางด่านหนองคายอ้อมเมืองเวียงจันทร์ไป การเดินทางเส้นทางนี้โดยรวมถือว่ายังโอเคค่ะ ไม่น่ากลัวเท่าไหร่
พอมาถึงที่ด่าน เราก็ลงไปประทับตรา passport + จ่ายค่าดำเนินการ 55 บาทค่ะ เห็นว่าเมื่อว่าเมื่อก่อนแค่ 50 บาทเท่านั้น สงสัยราคาจะขึ้น
ระหว่างทาง รถก็แวะพัก 1ครั้งเพื่อทานข้าวเที่ยงกัน โดนไปเลยค่ะมาม่าหนึ่งกระป๋องราคา 10,000 กีบ มื้อแรก ณ ลาว เสียไปเป็นหมื่น ฮ่าๆ เรามาถึงวังเวียงกันตอนประมาณบ่ายสองโมง มีรถฟรีมารับจากท่ารถไปส่งที่คล้ายๆ กับ tourist information centre แล้วเราเดินต่อไปพักที่ Hostel ที่จองไว้ ยออมรับเลยค่ะว่าเหนื่อยมากๆ วันแรก เก็บของเสร็จออกมา ว่าจะชมเมืองสักหน่อย เพราะเย็นแล้วคงไปทำกิจกรรมอะไรไม่ได้ เลยเดินตามหาแม่น้ำซองกัน ที่ใช้คำว่าตามหาคือเราตามหากันจริงๆ จนมาเจอวิวที่ดีและสวยมากๆ ของวังเวียง
2nd Day: 4th April 2016
วันที่สองเป็นวันที่ได้เริ่มทำกิจกรรมกันแบบจริงๆ จังๆ สักที กิจกรรมทั้งวันก็มีไปนอนในห่วงยางเข้าไปในถ้ำ สวยมากๆ แต่แบบเมื่อแขนไปหน่อย เพราะเราต้องคอยดึงเชือกกันให้ลอยไปในทิศทางเดียวกันกัน แรกๆ มันก็ก็ดี ตอนขากลับนี่สิ เชือกมันมีแค่เส้นเดียวไง เลยคนที่พึ่งเข้ามาก็ต้องดึงเชือก เราถึงกับต้องสละเชือกแล้วหันไปจับมือกับข้อเท้าเพื่อนแทน… รู้จักกันมาสองสามปีต้องมาจับข้อเท้ากันเอาชีวิตรอดในถ้ำให้ได้ สุดท้ายปลอดภัยรอดออกมา กิจกรรมที่สองเป็นพายเรือคายัค ความพีคอยู่ที่คนอื่นๆ มีไกด์พายให้ ลำแหม่มใจกล้าไม่มีไกด์นั่งกันสามคนพายอย่างมันใจรั้งท้ายทุกกรณี แถมยังติดหินไปไหนไม่รอดต้องลงมาเข็นตลอดทาง ประสบการณ์จริงๆ โชคดีมากที่เรือไม่คว่ำเสียก่อน เนื่องจากว่าตอนทำกิจกรรมพวกนี้เราต้องเก็บโทรศัพท์เอาไว้ในเป้กันน้ำ เลยไม่สามารถเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปได้ มีช็อตเดียวที่ทำได้คือตอนกำลังจะนั่งรถไปสถานทีถัดไป
ถ้ามาวังเวียงใครๆ ก็คงต้องบอกว่าให้ไปที่บลูลากูนแน่ๆ และมันก็ควรไปจริงๆ นะ น้ำมันสวยมาก มีปลาว่ายในน้ำให้ดูด้วย นั่งชิวๆ กินเบียร์ถือว่าสบายเลยจริงๆ
3rd Day: 5th April 2016
วันนี้ตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวกินอาหารเช้าดื่มกาแฟเตรียมตัวไปหลวงพระบางกัน รถที่นั่งเป็นรถตู้ ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 6 ชั่วโมง… เหนื่อยมาก จำได้ว่าตอนนั้นที่เที่ยวยุโรปนั่งบัสมันเหนื่อยน้อยกว่านี้มากๆ อาจจะเป็นเพราะว่านี้มันรถตู้แคบไม่มีพื้นที่ให้ยืดเส้นยืดสายมากนักบวกกันถนนที่สมบุกสมบันของประเทศลาวและสกิลในการขับรถที่แสนจะน่ากลัวของพี่คนขับ สรุปคือหลับหนีความกลัวตลอดทางแบบไม่ต้องสงสัย มีจังหวะหนึ่งแหม่มตื่นมาช่วงที่เขากำลังขับผ่านทางแบบริมเหวหลับหลุม แม่เจ้า พูดเลยว่าจะสวดมนต์แต่นึกอะไรไม่ออก จบตรงหลับต่อ… คิดในใจว่าถ้าเป็นไรไปตอนหลับก็ไม่ตกใจเท่าไหร่ (มั้ง) ผ่านจุดนั้นมาได้สักพักพี่คนขับในดีก็แวะพักจุดชมวิวบอกให้เราลงไปดูวิว แต่หลายคนไม่ลงหรอกเพราะเขาอยากไปให้ถึงไวๆ พี่คนขับเล่นแวะตลอดทาง รับคนบ้าง บ้านญาติบ้าง กินข้าวบ้าง นานมากกกกกก กว่าจะถึงหลวงพระบาง แต่แหม่มลงไปชมวิวนะเลยได้ช็อตนี้มา
คุณเห็นเหวนั้นไหม เห็นแบบนั้นบอกเลยว่าตอนขับผ่านมาน่ากลัวจริงๆ…
ในที่สุดเราก็มาถึงหลวงพระบาง บรรยากาศแตกต่างจากวังเวียงสิ้นเชิง อากาศมีแต่กลิ้นควันไหม้จากการเผาป่า แต่หลวงพระบางได้กลิ่นไอของความเจริญมาก หลังจากเก็บของในHostel เสร็จ เราก็แพลนว่าจะไปหาอะไรกินก่อนเพราะไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เช้า แล้วหลังจากนั้นจะไปที่พระธาตุขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินตอนหกโมงครึ่ง หลังจากที่เดินหาร้านกันอยู่ครู่นึงก็มาจบที่ร้านก๋วยเตี๊ยวที่แนะนำให้ไปกิน ราคา 15,000 - 20,000 กีบต่อชาม รสชาติถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เป็นร้านเก่าๆ ใช้เตาถ่านในการทำกับข้าวหน้าร้านมีร่มPepsi… (ข้อมูลน้อย ถ้าอยากลองต้องตามหากันหน่อยนะคะ) หลังจากท้องอิ่มก็ได้เวลาขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกัน บันไดอันแสนยาวไกลกับเงินที่เสียไปให้กับค่าผ่านทาง 20,000 กีบ เผื่อเดินบันได้ขึ้นไปนั้น ทำให้เราได้เห็นบรรยาการโดยรวมของหลวงพระบางจริงๆ ระหว่งที่นั่งรอชมพระอาติย์ท่ามกลางควันนั้นเอง ฝรั่งข้างหลังก็คุยกันว่า “We’re waiting for the sunset going into the smoke.” ถูกค่ะ เขาบอกว่าเรากำลังรอดูพระอาทิตย์ตกลงไปในควัน เพราะมันคือควันจริงๆ ถอดใจ give up เดินลงจากบันไดลงมา เจอเพื่อนร่วมทางที่นั่งรถตู้มาด้วยกันจากวังเวียงบอกเขาว่ามันตกลงไปในควัน เพื่อนเขาแทรกมาอีกว่า “it took me for weeks staying in Luang Phrabang, so I cound see the sunset.” จบค่ะ เขายังใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆ ไอเรามาสองคืน ยอมแพ้จริงๆ คงอาจจะได้เจอกันโอกาสหน้าแล้วล่ะ…

ลงจากพระธาตุมาก็ไปเดินตลาดมืดกัน ของขายเยอะแต่ขายเหมือนๆ ของในบ้านเราค่ะ แต่ที่นี่ต่อราคาง่ายเพราะคนลาวไม่ดุแบบคนไทย เค้าแค่ชัดสีหน้าแต่ก็พยายามที่จะขายเราต่อไปนั้นแหละ
4th Day: 6th April 2016
วันนี้เป็นอีกวันที่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมทั้งวันในลาว เราเลือกที่จะซื้อทริปล่องเรือในแม่น้ำโขง เพื่อนไปที่ถ้ำติ่ง หมู่บ้านผลิตเหล้า และน้ำตกกวางสีค่ะ เรือออกตอนยาวๆ แปดโมงครึ่ง ทำให้ยังเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอยู่ สวยมากๆ ค่าเข้าถ้ำคนละ 20,000 กีบ
ขาไปนั่งเรือกันราวๆ สองชั่วโมง นานมากๆ เป็นเหตุให้หลับกันไปตามๆ กัน พอขากลับกลับรู้สึกว่ามันเร็วกว่าอย่างแปลกใจ เรากลับมาถึงตัวเมืองเร็วกว่าเวลาที่คาดไว้เลยเดินหาข้าวกินกันก่อน แล้วจริงมารอรถตู้เพื่อไปยังน้ำตกกวางสี แลนด์มาร์คอีกแห่งของที่นี่
รถจากตัวเมืองมาน้ำตกกวางสีใช้เวลาประมาณ 40 นาทีค่ะ พอมาถึงก็จ่ายค่าเข้าน้ำตกคนละ 20,000 กีบ แล้วเดินไปดูหมีที่อยู่ระหว่างทางผ่าน หลังจากนั้นเราก็ไปดูน้ำตก ส่วนตัวชอบน้ำตกเวราวัณมาก เพราะคิดว่านั้นก็สวยมากแล้ว พอมาเจอน้ำตกที่ลาว บอกเลยว่าคนละเรื่องกันเลย ที่นี่น้ำตกสวยมากจริงๆ ค่ะ
คุณลุงคนขับรถให้เราเที่ยวเล่นในน้ำตกได้จนถึงราวๆ สี่โมงก่อนที่จะกลับมาส่งที่ตัวเมือง หลังจากนั้นเราก็ไปที่พักเพื่อพักนิดหน่อยก่อนจะออกมาเดินหาอะไรกินแล้วเดินเที่ยวตลาดมืดกัน ระหว่างที่เดินก็มีลมพักแรงมาก พร้อมกัยสัญญาณเตือนภัย ทำให้เกิดการจลาจล แม่ค้าเก็บของกันนักท้องเที่ยววิ่งกลับที่พัก เราพยายามถามคนที่Hostel ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้คำตอบ ฝรั่งก็พยายามถามก็ไม่ได้คำตอบ พอกลับมานั่งในห้อง ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนอีกรอบตามด้วยไฟดับ… ตกใจมาก แต่ดับแบบแปปเดียวไปก็มา แล้วทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เปลี่ยนอารมณ์กันไวมากจริงๆ
Last Day: 7th April 2016
เนื่องจากว่าไฟล์กลับของแหม่มคนเดียวคือตอบห้าโมงเย็นและรถที่จะไปทางใต้ของลาวของเพื่อนคือตอนสองทุ่ม ตอนเช้าเราเลยเดินเตรๆ กันในเมืองก่อน จนถึงเวลาราวๆ บ่ายๆ ก็เรียกสามล้อไปสนามบิน จ่ายไป 40,000 กีบ พอมาถึงสนามบินไม่มีแอร์! ร้อนมาก แบบทำอะไรไม่ถูกเลย เช็คอินก็ยังไม่ได้ต้องรอบ่ายสามโมง สรุปคือต้องรอราวๆ สองชั่วโมง เห็นฝรั่งผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังคนเดียว เลยหันไปคุยด้วย ได้เพื่อนใหม่ทันที เพราะคุยกันนานมากราวๆ สองชั่วโมง สรุปแลกเฟสบุ๊คกันเพราะมีแพลนจะไปเที่ยวพระเทศนางพอดี แต่เร็วๆ นี้ไหมอีกเรื่องนึง :p
การเดินทางครั้งนี้สอนอะไรแหม่มหลายอย่างพอสมควรค่ะ ครั้งแรกที่Backpack เพราะไปแลกเปลี่ยนในยุโรป ทำให้เรามีโอกาสไปเที่ยวที่ใหม่ๆ แต่ทางนั้นทุกอย่างเข้าพัฒนาไปมากทั้งถนนและสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับลาวมันคนละแบบกัน ลาวยังคงความเป็นธรรมชาติทั้งสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ผู้คนยังคงมีสภาพชีวิตที่เรื่อยๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่เร่งรีบเท่าไหร่นัก นอกจากนั้นเรื่องอื่นๆ แหม่มคิดว่าหลายๆ สถานที่ก็เหมือนกัน อย่างเช่นเวลาเราไปพักในHostel เราก็จะเจอคนหลากหลาย เวลาเราคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นเราก็จะได้ฟังเรื่องราวของเรา มุมมองที่แตกต่างออกไป เรื่องราวที่เขาไปเจอ ที่ๆ เขาเคยไปเที่ยว ประสบการณ์ของเขา หลายๆ อย่างที่ถ้านั่งอ่านรีวิวของคนหลายๆ คน อาจจะทำให้เข้าใจแต่ไม่อาจจะทำให้รู้สึกอินไปกับมัน
ถ้าใครสนใจติดตามก็ตามนี้นะคะ

Instagram: @mamlalita
Facebook:
https://www.facebook.com/mamlalitajourney/
#mamlalitajourney2016 #mamlalitainLaos
[CR] Laos for the first time, ไปเที่ยวลาวกัน #mamlalitaInLaos
1st Day: 3rd April 2016
เราเริ่มออกเดินทางกันวันที่ 3 เมษายน จากสนามบินดอนเมืองบินตรงสู่จังหวัดอุดรธานีค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบิน Lion air + ค่าน้ำหนักกระเป๋าตกอยู่ที่ราวๆ 1,xxx บาท พอไปถึงที่สนามบินราวๆ เวลา 7 โมงเช้า ด้วยความที่ว่าเรามีกันทั้งหมด 9 คน เราจึงต้องเหมา รถตู้จากสนามบินไปที่ บขส. อุดร ค่าเหมารถตู้อยู่ที่ 600 บาทต่อคันค่ะ ระหว่างทางคุณลุงคนขับรถตู้ให้คำแนะนำดีมาก เขาถามว่าเราจะรถไปไหน ควรไปทำอะไรต่อ ซื้อตั๋วยังไง ถ้าพลาดรถ ควรทำอย่างไร มีประโยชน์มากๆ ค่ะ พอมาถึง บขส. เราก็ตรงไปที่ช่องขายตั๋วเพื่อจะไปวังเวียงกัน ค่าโดยสารอยู่ที่คนล่ะ 350 บาทนั่งตรงจากอุดรไปวังเวียง เข้าทางด่านหนองคายอ้อมเมืองเวียงจันทร์ไป การเดินทางเส้นทางนี้โดยรวมถือว่ายังโอเคค่ะ ไม่น่ากลัวเท่าไหร่
พอมาถึงที่ด่าน เราก็ลงไปประทับตรา passport + จ่ายค่าดำเนินการ 55 บาทค่ะ เห็นว่าเมื่อว่าเมื่อก่อนแค่ 50 บาทเท่านั้น สงสัยราคาจะขึ้น
ระหว่างทาง รถก็แวะพัก 1ครั้งเพื่อทานข้าวเที่ยงกัน โดนไปเลยค่ะมาม่าหนึ่งกระป๋องราคา 10,000 กีบ มื้อแรก ณ ลาว เสียไปเป็นหมื่น ฮ่าๆ เรามาถึงวังเวียงกันตอนประมาณบ่ายสองโมง มีรถฟรีมารับจากท่ารถไปส่งที่คล้ายๆ กับ tourist information centre แล้วเราเดินต่อไปพักที่ Hostel ที่จองไว้ ยออมรับเลยค่ะว่าเหนื่อยมากๆ วันแรก เก็บของเสร็จออกมา ว่าจะชมเมืองสักหน่อย เพราะเย็นแล้วคงไปทำกิจกรรมอะไรไม่ได้ เลยเดินตามหาแม่น้ำซองกัน ที่ใช้คำว่าตามหาคือเราตามหากันจริงๆ จนมาเจอวิวที่ดีและสวยมากๆ ของวังเวียง
2nd Day: 4th April 2016
วันที่สองเป็นวันที่ได้เริ่มทำกิจกรรมกันแบบจริงๆ จังๆ สักที กิจกรรมทั้งวันก็มีไปนอนในห่วงยางเข้าไปในถ้ำ สวยมากๆ แต่แบบเมื่อแขนไปหน่อย เพราะเราต้องคอยดึงเชือกกันให้ลอยไปในทิศทางเดียวกันกัน แรกๆ มันก็ก็ดี ตอนขากลับนี่สิ เชือกมันมีแค่เส้นเดียวไง เลยคนที่พึ่งเข้ามาก็ต้องดึงเชือก เราถึงกับต้องสละเชือกแล้วหันไปจับมือกับข้อเท้าเพื่อนแทน… รู้จักกันมาสองสามปีต้องมาจับข้อเท้ากันเอาชีวิตรอดในถ้ำให้ได้ สุดท้ายปลอดภัยรอดออกมา กิจกรรมที่สองเป็นพายเรือคายัค ความพีคอยู่ที่คนอื่นๆ มีไกด์พายให้ ลำแหม่มใจกล้าไม่มีไกด์นั่งกันสามคนพายอย่างมันใจรั้งท้ายทุกกรณี แถมยังติดหินไปไหนไม่รอดต้องลงมาเข็นตลอดทาง ประสบการณ์จริงๆ โชคดีมากที่เรือไม่คว่ำเสียก่อน เนื่องจากว่าตอนทำกิจกรรมพวกนี้เราต้องเก็บโทรศัพท์เอาไว้ในเป้กันน้ำ เลยไม่สามารถเอาโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปได้ มีช็อตเดียวที่ทำได้คือตอนกำลังจะนั่งรถไปสถานทีถัดไป
ถ้ามาวังเวียงใครๆ ก็คงต้องบอกว่าให้ไปที่บลูลากูนแน่ๆ และมันก็ควรไปจริงๆ นะ น้ำมันสวยมาก มีปลาว่ายในน้ำให้ดูด้วย นั่งชิวๆ กินเบียร์ถือว่าสบายเลยจริงๆ
3rd Day: 5th April 2016
วันนี้ตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวกินอาหารเช้าดื่มกาแฟเตรียมตัวไปหลวงพระบางกัน รถที่นั่งเป็นรถตู้ ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 6 ชั่วโมง… เหนื่อยมาก จำได้ว่าตอนนั้นที่เที่ยวยุโรปนั่งบัสมันเหนื่อยน้อยกว่านี้มากๆ อาจจะเป็นเพราะว่านี้มันรถตู้แคบไม่มีพื้นที่ให้ยืดเส้นยืดสายมากนักบวกกันถนนที่สมบุกสมบันของประเทศลาวและสกิลในการขับรถที่แสนจะน่ากลัวของพี่คนขับ สรุปคือหลับหนีความกลัวตลอดทางแบบไม่ต้องสงสัย มีจังหวะหนึ่งแหม่มตื่นมาช่วงที่เขากำลังขับผ่านทางแบบริมเหวหลับหลุม แม่เจ้า พูดเลยว่าจะสวดมนต์แต่นึกอะไรไม่ออก จบตรงหลับต่อ… คิดในใจว่าถ้าเป็นไรไปตอนหลับก็ไม่ตกใจเท่าไหร่ (มั้ง) ผ่านจุดนั้นมาได้สักพักพี่คนขับในดีก็แวะพักจุดชมวิวบอกให้เราลงไปดูวิว แต่หลายคนไม่ลงหรอกเพราะเขาอยากไปให้ถึงไวๆ พี่คนขับเล่นแวะตลอดทาง รับคนบ้าง บ้านญาติบ้าง กินข้าวบ้าง นานมากกกกกก กว่าจะถึงหลวงพระบาง แต่แหม่มลงไปชมวิวนะเลยได้ช็อตนี้มา
คุณเห็นเหวนั้นไหม เห็นแบบนั้นบอกเลยว่าตอนขับผ่านมาน่ากลัวจริงๆ…
ในที่สุดเราก็มาถึงหลวงพระบาง บรรยากาศแตกต่างจากวังเวียงสิ้นเชิง อากาศมีแต่กลิ้นควันไหม้จากการเผาป่า แต่หลวงพระบางได้กลิ่นไอของความเจริญมาก หลังจากเก็บของในHostel เสร็จ เราก็แพลนว่าจะไปหาอะไรกินก่อนเพราะไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เช้า แล้วหลังจากนั้นจะไปที่พระธาตุขึ้นไปรอดูพระอาทิตย์ตกดินตอนหกโมงครึ่ง หลังจากที่เดินหาร้านกันอยู่ครู่นึงก็มาจบที่ร้านก๋วยเตี๊ยวที่แนะนำให้ไปกิน ราคา 15,000 - 20,000 กีบต่อชาม รสชาติถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว เป็นร้านเก่าๆ ใช้เตาถ่านในการทำกับข้าวหน้าร้านมีร่มPepsi… (ข้อมูลน้อย ถ้าอยากลองต้องตามหากันหน่อยนะคะ) หลังจากท้องอิ่มก็ได้เวลาขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกกัน บันไดอันแสนยาวไกลกับเงินที่เสียไปให้กับค่าผ่านทาง 20,000 กีบ เผื่อเดินบันได้ขึ้นไปนั้น ทำให้เราได้เห็นบรรยาการโดยรวมของหลวงพระบางจริงๆ ระหว่งที่นั่งรอชมพระอาติย์ท่ามกลางควันนั้นเอง ฝรั่งข้างหลังก็คุยกันว่า “We’re waiting for the sunset going into the smoke.” ถูกค่ะ เขาบอกว่าเรากำลังรอดูพระอาทิตย์ตกลงไปในควัน เพราะมันคือควันจริงๆ ถอดใจ give up เดินลงจากบันไดลงมา เจอเพื่อนร่วมทางที่นั่งรถตู้มาด้วยกันจากวังเวียงบอกเขาว่ามันตกลงไปในควัน เพื่อนเขาแทรกมาอีกว่า “it took me for weeks staying in Luang Phrabang, so I cound see the sunset.” จบค่ะ เขายังใช้เวลาเป็นอาทิตย์ๆ ไอเรามาสองคืน ยอมแพ้จริงๆ คงอาจจะได้เจอกันโอกาสหน้าแล้วล่ะ…
ลงจากพระธาตุมาก็ไปเดินตลาดมืดกัน ของขายเยอะแต่ขายเหมือนๆ ของในบ้านเราค่ะ แต่ที่นี่ต่อราคาง่ายเพราะคนลาวไม่ดุแบบคนไทย เค้าแค่ชัดสีหน้าแต่ก็พยายามที่จะขายเราต่อไปนั้นแหละ
4th Day: 6th April 2016
วันนี้เป็นอีกวันที่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมทั้งวันในลาว เราเลือกที่จะซื้อทริปล่องเรือในแม่น้ำโขง เพื่อนไปที่ถ้ำติ่ง หมู่บ้านผลิตเหล้า และน้ำตกกวางสีค่ะ เรือออกตอนยาวๆ แปดโมงครึ่ง ทำให้ยังเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอยู่ สวยมากๆ ค่าเข้าถ้ำคนละ 20,000 กีบ
ขาไปนั่งเรือกันราวๆ สองชั่วโมง นานมากๆ เป็นเหตุให้หลับกันไปตามๆ กัน พอขากลับกลับรู้สึกว่ามันเร็วกว่าอย่างแปลกใจ เรากลับมาถึงตัวเมืองเร็วกว่าเวลาที่คาดไว้เลยเดินหาข้าวกินกันก่อน แล้วจริงมารอรถตู้เพื่อไปยังน้ำตกกวางสี แลนด์มาร์คอีกแห่งของที่นี่
รถจากตัวเมืองมาน้ำตกกวางสีใช้เวลาประมาณ 40 นาทีค่ะ พอมาถึงก็จ่ายค่าเข้าน้ำตกคนละ 20,000 กีบ แล้วเดินไปดูหมีที่อยู่ระหว่างทางผ่าน หลังจากนั้นเราก็ไปดูน้ำตก ส่วนตัวชอบน้ำตกเวราวัณมาก เพราะคิดว่านั้นก็สวยมากแล้ว พอมาเจอน้ำตกที่ลาว บอกเลยว่าคนละเรื่องกันเลย ที่นี่น้ำตกสวยมากจริงๆ ค่ะ
คุณลุงคนขับรถให้เราเที่ยวเล่นในน้ำตกได้จนถึงราวๆ สี่โมงก่อนที่จะกลับมาส่งที่ตัวเมือง หลังจากนั้นเราก็ไปที่พักเพื่อพักนิดหน่อยก่อนจะออกมาเดินหาอะไรกินแล้วเดินเที่ยวตลาดมืดกัน ระหว่างที่เดินก็มีลมพักแรงมาก พร้อมกัยสัญญาณเตือนภัย ทำให้เกิดการจลาจล แม่ค้าเก็บของกันนักท้องเที่ยววิ่งกลับที่พัก เราพยายามถามคนที่Hostel ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้คำตอบ ฝรั่งก็พยายามถามก็ไม่ได้คำตอบ พอกลับมานั่งในห้อง ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนอีกรอบตามด้วยไฟดับ… ตกใจมาก แต่ดับแบบแปปเดียวไปก็มา แล้วทุกคนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เปลี่ยนอารมณ์กันไวมากจริงๆ
Last Day: 7th April 2016
เนื่องจากว่าไฟล์กลับของแหม่มคนเดียวคือตอบห้าโมงเย็นและรถที่จะไปทางใต้ของลาวของเพื่อนคือตอนสองทุ่ม ตอนเช้าเราเลยเดินเตรๆ กันในเมืองก่อน จนถึงเวลาราวๆ บ่ายๆ ก็เรียกสามล้อไปสนามบิน จ่ายไป 40,000 กีบ พอมาถึงสนามบินไม่มีแอร์! ร้อนมาก แบบทำอะไรไม่ถูกเลย เช็คอินก็ยังไม่ได้ต้องรอบ่ายสามโมง สรุปคือต้องรอราวๆ สองชั่วโมง เห็นฝรั่งผู้หญิงคนนึงนั่งอยู่เก้าอี้ด้านหลังคนเดียว เลยหันไปคุยด้วย ได้เพื่อนใหม่ทันที เพราะคุยกันนานมากราวๆ สองชั่วโมง สรุปแลกเฟสบุ๊คกันเพราะมีแพลนจะไปเที่ยวพระเทศนางพอดี แต่เร็วๆ นี้ไหมอีกเรื่องนึง :p
การเดินทางครั้งนี้สอนอะไรแหม่มหลายอย่างพอสมควรค่ะ ครั้งแรกที่Backpack เพราะไปแลกเปลี่ยนในยุโรป ทำให้เรามีโอกาสไปเที่ยวที่ใหม่ๆ แต่ทางนั้นทุกอย่างเข้าพัฒนาไปมากทั้งถนนและสิ่งแวดล้อม เมื่อเทียบกับลาวมันคนละแบบกัน ลาวยังคงความเป็นธรรมชาติทั้งสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ผู้คนยังคงมีสภาพชีวิตที่เรื่อยๆ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่เร่งรีบเท่าไหร่นัก นอกจากนั้นเรื่องอื่นๆ แหม่มคิดว่าหลายๆ สถานที่ก็เหมือนกัน อย่างเช่นเวลาเราไปพักในHostel เราก็จะเจอคนหลากหลาย เวลาเราคุยกับนักท่องเที่ยวคนอื่นเราก็จะได้ฟังเรื่องราวของเรา มุมมองที่แตกต่างออกไป เรื่องราวที่เขาไปเจอ ที่ๆ เขาเคยไปเที่ยว ประสบการณ์ของเขา หลายๆ อย่างที่ถ้านั่งอ่านรีวิวของคนหลายๆ คน อาจจะทำให้เข้าใจแต่ไม่อาจจะทำให้รู้สึกอินไปกับมัน
ถ้าใครสนใจติดตามก็ตามนี้นะคะ
Instagram: @mamlalita
Facebook: https://www.facebook.com/mamlalitajourney/
#mamlalitajourney2016 #mamlalitainLaos
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น