เลิกกับแฟนที่คบกันมาหกปี เพราะไปซื้อบ้าน

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ

สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นความจริงค่ะ หลังจากอัดอั้นมาหลายวัน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ และเพื่อตั้งคำถาม และอยากได้ความคิดเห็นจากเพื่อนๆด้วยค่ะ

ปัจจุบันดิฉันอายุ 34 ปีค่ะ เป็นคนหน้าตาดีค่ะ หน้าที่การงานอยู่ในระดับผู้บริหารค่ะ เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน แล้วมีลูกหนึ่งคนอายุ 8 ขวบ ตอนนี้กับพ่อของเด้กก้เป็นเพื่อนกันไป ไม่ได้มีปัญหาทะเลาะกันแล้วค่ะ เราเลิกกันไปตั้งแต่ลูกอายุแค่ขวบกว่าๆ สาเหตุเพราะเราค่อนข้างอึดอัดกับการที่ต้องเข้าไปอยู่บ้านเขา และแม่สามี ก็จู้จี้ ดิฉันค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง เพื่อนก็น้อยค่ะ แต่เพื่อนรักดิฉันทุกคนนะคะ ตอนนี้ลูกก็ไปๆมาค่ะ คืออยู่กับพ่อเขาวันธรรมดา และอยู่กับดิฉันวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ค่ะ

ต่อมาดิฉันได้พบรักกับแฟนใหม่ เป็นคนที่ทำงานที่เดียวกันค่ะ ณ ขณะนั้น ดิฉันรายได้น้อยกว่าเขามาก เราคบกันมาเรื่อยๆ จนตอนนี้รายได้ดิฉันมากกว่าของเขาเยอะแล้วค่ะ ดิฉันอายุมากกว่าเขาหกปี เขาเป็นผู้ชายหน้าตาธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษ เขาเคยบอกว่าได้คบกับดิฉันดีใจยิ่งกว่าตอนเขาเอนทรานซ์ติดซะอีก เขาจบจากมหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ตอนนั้นเขาเรียนจบใหม่ๆ และพึ่งทำงานได้ไม่นาน เขาเป็นคนดีสำหรับดิฉันมากๆค่ะ คอยช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน หรือความเดือดร้อนต่างๆ ดิฉันได้แต่คิดว่าเราโชคดีแค่ไหนที่มีคนรับเราได้ กับผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ก่อนมาเจอแฟนคนนี้ ดิฉันมีเพื่อนที่ทำงาน และเนื่องด้วยดิฉันเป็นคนค่อนข้างลุยๆ เพื่อนผู้ชายจึงเยอะกว่าผู้หญิง แต่หลังคบกะแฟน ดิฉันไม่ได้ไปเจอเพื่อนๆเหมือนก่อนค่ะ  เขาก็ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง ดิฉันกับเขาจึงตัวติดกันมาก ตอนกลางวันก็ต้องไปทานข้าวด้วยกัน แทบจะไม่ได้ไปกับเพื่อนที่ทำงานเลย ถ้าเห็นเขาที่ไหน ก็ต้องมีดิฉันอยู่ข้างๆเสมอ เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน และโลกใบนั้นก็มีแค่เราสองคนตลอดมาค่ะ

เราคบกันค่อนข้างมีความสุข เราไปเที่ยวด้วยกัน เราอยู่ด้วยกันทุกวันที่ลูกดิฉันไม่ได้มา เป็นอย่างนี้มาตลอด แต่ปัญหาก็มีอยู่บ้างค่ะ ดิฉันเป็นคนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ เวลาทะเลาะกัน ชอบทะเลาะกัน รุนแรง และก็ลงท้ายด้วยการต่อยหรือตบเขาค่ะ ต่อมาเมื่อปัญหาเรื่องนี้มีมากขึ้น เขาพาดิฉันไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่ง กินยามาได้ 1 ปีกว่าแล้วค่ะ อาการดีขึ้นมา เวลาโมโหก็ไม่ตบตีเหมือนเมื่อก่อน แต่เงียบไปบ้างหรือบ่นๆบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยพาดิฉันไปเจอพ่อแม่เขาเลย จนฉันต้องเอ่ยปาก เขาพูดแต่เพียงว่า ดิฉันเป็นแฟนคนแรกของเขา เขาไม่รู้หรอกว่าต้องทำยังไง จะอยากให้เขาทำอะไรให้บอก นั่นล่ะ เขาจึงพาดิฉันไปเจอพ่อแม่เขา เชื่อไหมคะ จากวันแรกจนถึงวันนี้ตลอดระยะเวลาหกปี ฉันได้เจอพ่อแม่เขาแค่สี่ครั้ง ดิฉันไม่เคยไปบ้านเขา เขาไม่เคยชวน ดิฉันรู้แค่ว่า บ้านเขาอยู่ตรงไหน ที่บ้านเขาไปเที่ยวกันบ่อยๆ เขาก็ไม่เคยชวนดิฉันเลยค่ะ อ้อ ลืมบอกไปว่าแฟนเป็นลูกคนเล็กค่ะ พ่อแม่เขามีพี่น้องสามคน เป็นครอบครัวคนจีน ส่วนฉันเป็นลูกคนโตและเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องดูแลพ่อ แม่ น้องสาวที่ยังคงเรียนอยู่มหาลัย เมื่อทุกอย่างเริ่มคงที่ ดิฉันเริ่มคิดถึงอนาคตค่ะ และได้ตัดสินใจซื้อคอนโด ตอนคบกันตอนช่วงปีที่สี่ ดิฉันไปจองกับลูกค่ะ เพราะอยากมีอะไรเป็นของตัวเอง และไม่อยากจะเช่าหออยู่อีกแล้ว ดิฉันยังจำไ้ดว่า ณ ตอนนั้นเขาก็ไม่เห็นด้วยที่ดิฉันซื้อคอนโด ต่อมาดิฉันเริ่มพูดเรื่องแต่งงานกับเขาตอนช่วงปีที่สี่ พูดมาตลอด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ ที่สำคัญ ตลอดมาเขาไม่เคยถามถึงลูกดิฉันเลย เวลาดิฉันพูดถึงลูก เขาก็ไม่ค่อยสนใจค่ะ อันนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ดิฉันไม่อยากให้ลูกดิฉันมาเจอกับเขามากนัก เพราะลึกๆแล้วดิฉันก้รู้สึกว่า เขาไม่พยายามจะมารักลูก มาเจอลูกดิฉันเลย ตั้งแต่คบกันมา เขาเจอกับลูกดิฉันได้ไม่ถึงห้าครั้งนะคะ  

ต่อมา เราทะเลาะกันอีก เรื่องเขาไม่ยอมทำอะไรเรื่องอนาคตของเราสักที หนำซ้ำ เขาไม่เคยพูดกับพ่อแม่เขาเลยค่ะ ว่าดิฉันเคยผ่านการแต่งงานและมีลูกติด ดิฉันรู้สึกแย่มากๆ จนวันครบรอบปีที่ผ่านมา เขาซื้อแหวนมาให้แล้วบอกว่าแต่งงานกันนะ ดิฉันก็ดีใจค่ะ แต่.. ก็ไม่มีอะไรเกิดข้น เขาก็ยังคงเที่ยวเล่นสนุกสนาน ไม่ได้มาคุยกัยจริงจังเรื่องแผนอนาคต จนทะเลาะกันอีก เป็นอย่างนี้มาโดยตลอดหกปีค่ะ  ทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดีกัน ดิฉันบอกเขาว่า อันดับแรกเขาควรจะไปแจ้งพ่อแม่ให้รับทราบถึงอดีตของดิฉัน แล้วก็เก็บเงินเปิดบัญชีร่วมกันไหม เขาก็บอกว่า ทำไมต้องเปิด้วยกัน ก็ต่างคนต่างเก็บก็ได้ .. จนมาวันนึง ดิฉันได้เป้นหนี้บัตรเครดิต และเขาก้ไม่ทราบจากการอ่านข้อความจากมือถือของดิฉัน ซึ่งดิฉันไม่ได้อยากบอกให้เขารับรู้อยู่แล้ว เขาโกรธมากค่ะ และได้เอาเงินของเขาออกมาช่วยเป็นจำนวน 150,000 บาท ดิฉันรู้สึกแย่มาก และขอบคุณเขามากๆ ที่เขามีน้ำใจและให้เงินเป็นจำนวนมากมาเพื่อใช้ปิดหนี้บัคร

ต่อมาเดือนที่แล้ว เขาได้ไปเที่ยวเวียดนามกับพ่อแม่ ก่อนเขาไป เราก็ทะเลาะกัน สุดท้ายลงเอยด้วยว่า เดี๋ยวเขากลับมาจากเวียดนามก่อนแล้วเขาจะบอกพ่อแม่เรื่องดิฉันและเรื่องแต่งงาน

ช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ ดิฉันก็เปิดโครงการบ้านดูไปเรื่อย ดิฉันอยากซื้อบ้าน ให้พ่อแม่ เนื่องจากตอนนี้พ่อของดิฉันอยู่ต่างจังหวัด และดิฉันอยากดูแลท่าน ดิฉันจึงได้ตัดสินใจไปซื้อโครงการแห่งหนึ่ง แถวบ้านเขา ถัดไปไม่กี่ซอย เพราะดิฉันตระหนักว่า เขารักพ่อแม่เขามาก เขาจะได้ดูแลพ่อแม่เขาและดิฉันก็จะได้ดูแลพ่อแม่ดิฉัน โดยที่เรายังได้อยู่ใกล้ๆกันอีกด้วย บ้านที่ดิฉันซื้อมีสองห้องนอนค่ะ และเนื้อที่ตรงสวน ยังสามารถต่อเติมได้อีกห้องในอนาคตถ้าเราจะลงหลักปักฐาน ดิฉันคิดอย่างนี้ และได้ตัดสินใจจองไป ในใจก็ไม่คิดอะไรมากค่ะ แต่คิดว่า เขาคงจะบ่นๆนิดหน่อย เรื่องทำอะไรไม่ปรึกษา แต่คิดว่า เขาน่าจะดีใจที่ดิฉันไปซื้อบ้านอยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งบ้านที่ดิฉันไปซื้อนั้น สาเหตุเดียวเพราะอยากอยู่ใกล้ๆกัน ละแวกนั้นดิฉันยังไม่เคยไปเลยค่ะ ไม่คุ้นชินเส้นทางด้วยจนวันเขากลับมาดิฉันเล่าให้เขาฟัง เขาโกรธมากค่ะ และก็ให้เหตุผลว่าเขาจะไม่บอกพ่อแม่เรื่องฉันแล้ว เพราะดิฉันไปสร้างปัญหาด้วยการซื้อบ้านใหม่มาก่อน.. ดิฉันงงมากค่ะ ว่ามันเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร

เราไม่พูดกันหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นดิฉันก็โทรหาง้อเขา ดีกันได้วันนึงค่ะ วันรุ่งขึ้นดิฉันบอกให้เขาไปจัดการบอกพ่อแม่ได้แล้วเรื่องดิฉันมีลูก บอกเขาไปว่า จัดการให้เสร็จแล้วค่อยมาเจอกัน เขาโกรธอีกล่ะค่ะ เขาบอกว่า เขาไม่เอาแล้ว เขาเหนื่อย เขาไม่ไหวแล้ว บอกกับดฉันว่า ซื้อบ้านก็แค่สองห้องนอน จะให้เขาไปอยู่ไหน นอนกระต๊อบเหรอ เขาต่อว่าดิฉันว่า ดิฉันอยากอยู่ใกล้ๆเขา แต่ไม่ได้อยากอยู่กับเขา ตลกไหมคะ ดิฉันพยายามอธิบายว่า ที่แถวนั้นดิฉันไม่เคยไปเลย ดิฉันไปซื้อตรงอื่นไม่ดีกว่าเหรอ เขาบอกว่ามันก็เหมือนกัน ดิฉันตัดสินใจซื้อไปแล้ว ดิฉันบอกว่า คอนโดดิฉันก็มี เราไปอยู่กันคอนโดก็ได้ เขาบอกว่า เขาไม่ชอบอยู่ที่แคบๆ เขาแพลนจะซื้อบ้านอยู่แล้ว ดิฉันมาทำเรื่องซะก่อน ตลกมากค่ะ เขาไม่เคยพูดเรื่องจะซื้อบ้านกับดิฉัน อนาคตก็ไม่เคยพูดถึง ได้แต่พูดลมๆแล้งๆว่าเราอยู่กันไปจนแก่เฒ่า แล้วเขาก็ใช้เหตุผลนี้มาเลิกกัน เขายังบอกอีกว่าคอนโดที่ดิฉันอยู่ ต่อไปก็ต้องให้ลูกดิฉัน เขากับดิฉันมีอะไรร่วมกันไม่ได้เลย และต่อไปถ้าอยู่ด้วยกัน ดิฉันก็ต้องให้เวลาลูกน้อยลง ?? ดิฉันจุกมาก พูดไม่ออก ดิฉันเลยถามไปว่า ที่ไม่ทำอะไรนี่ เพราะฉันมีลูกใช่ไหม เขาตอบว่าไม่ใช่ ดิฉันเป็นแม่คนค่ะ ถ้าฝห้ดิฉันเลือกระหวางลูกกับผู้ชาย ลูกก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วค่ะ

ดิฉันเสียดายเวลาค่ะ เสียดายเวลาหกปีที่ผ่านอะไรด้วยกันมามากมาย เวลามันไม่ได้พิสูจน์คนเลยนะคะ เพื่อนๆคืดว่าไงกับเรื่องนี้คะ ดิฉันผิดมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ ที่ไปซื้อบ้านใกล้ๆเขา รู้สึกแต่เพียงว่า เหมือนเขามาให้ความหวัง คบไปฆ่าเวลาเพื่อรอให้เขามีคนใหม่ อยากได้ความเห็นจากเพื่อนๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่