แก้ปัญหาเรื่องการใช้ทางอย่างไร เมื่อบ้านใกล้เคียงเป็นร้านอาหารดัง

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ  ชาวพันทิป
เรื่องที่เล่าต่อไปนี้ เป็นแค่การระบายความคับแค้นใจของคนๆ หนึ่ง ซึ่งต้องทนกับปัญหาที่รอวันแก้ไข  ยินดีรับฟังความคิดเห็นทุกท่านค่ะ

เดิมทีซอยนี้มีบ้านเพียง 4 หลัง เรียกได้ว่าเป็นซอยส่วนบุคคล  และใกล้บ้านมีตึกแถวเป็นร้านอาหารตั้งแต่เมื่อกว่า 20 ปีก่อน  ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น คือลูกค้าบางคนจะจอดขวางทางเข้า-ออกประจำ  และเจ้าของหรือเด็กเสิร์ฟไม่เคยจะแจ้งให้ลูกค้ารับรู้เลยว่าเป็นทางเข้า-ออก  จอดรถตรงนี้ไม่ได้  แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราคือ ต้องจอดรถรออยู่กลางถนน เพื่อรอให้เค้ามาเลื่อนรถ  บางคนรีบเลื่อนรถและโค้งขอโทษอย่างสุภาพ  แต่บางคนทำเดินช้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว  ในขณะที่เราต้องโดนรถคันอื่นเปิดกระจกด่า บีบแตร หรือหนักไปกว่านั้นคือให้ของลับ  เราโวยวายร้านอาหารหลายครั้งก็ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาใดๆ  

ต่อมาเจ้าของร้านอาหารซื้อบ้านหลังหนึ่งในซอยส่วนบุคคลนี้  ทำให้มีรถเข้าออกมากขึ้น  ซึ่งเมื่อก่อนมีรถในซอยเพียง 3 คันเท่านั้น  ร้านมีชื่อเสียงและลูกค้ามากขึ้น  ทำให้เกิดปัญหาที่จอดรถ  เพราะเป็นร้านอาหารริมถนนที่อยู่ริมคลอง  ทำให้มีพื้นที่จำกัดในการจอดรถและติดเวลาห้ามจอดบนไหล่ถนนใหญ่จนกว่าจะถึงเวลาสองทุ่ม  ไม่นานเจ้าของร้านจึงขอซื้อที่ดิน (มรดก) ใต้สายไฟท้ายซอย เพื่อทำเป็นที่จอดรถให้กับลูกค้า

ดังนั้นซอยจึงต้องเปิดเป็นทางเข้า-ออกสำหรับรถลูกค้า  ซึ่งในเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับสำหรับเจ้าของทางทุกคนในซอย  ที่ต้องอดทนกับรถเข้า-ออกตลอดเวลาตั้งแต่ 16.00 – 23.00 น. (โดยประมาณ)  และทุกวันนี้ใช้ทางตลอดเวลา  จนบางครั้งไม่รู้ว่าเป็นรถของใคร  เหมือนเป็นทางสาธารณะ  และต้องอดทนที่สุดกับคนที่ขับรถด้วยความประมาทโดยใช้ความเร็วมากเกินไป  ทั้งที่ซอยมีความกว้างประมาณ 2.5 เมตร  (รถยนต์ไม่สามารถขับสวนกันได้) ความยาวประมาณ 110 เมตร

...ทำไมเราถึงต้องอดทน?  เพราะครอบครัวเราขายขนมหวานอยู่หน้าปากซอย  โดยระยะแรกลูกค้าส่วนใหญ่มาจากร้านอาหารนี้  เราจึงคิดเสมอว่าต้องอาศัยลูกค้าเค้า  และลูกค้าส่วนใหญ่ก็คิดอย่างนั้น  แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการใช้ทาง  ประเด็นนี้ขอไม่เล่านะคะ...

ปัญหาการใช้ทางเข้า-ออกเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือแทบทุกวัน คือ ลูกค้าบางคนขับรถด้วยความเร็วมากซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ พอสรุปได้คือ
1.    ด้วยซอยแคบทำให้รถไม่สามารถสวนทางได้  บางครั้งก็มีรถเข้า-ออกมาเจอกันตรงต้นซอยบ้าง กลางซอยบ้าง  ทำให้มีความขัดข้องใจกันหลายครั้ง เมื่อต้องมีรถถอยหลังเพื่อยอมให้ทาง  ก็จะเกิดอารมณ์โมโหฉุนเฉียวและขับรถด้วยความเร็วมาก  โดยเฉพาะคันที่ต้องถอยลงถนนใหญ่ที่ต้องเสี่ยงกับรถที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน  แต่เหตุการณ์นี้ไม่เคยได้รับการแก้ไขจนกระทั้งเดี๋ยวนี้  ถึงแม้ลูกค้าจะต่อว่า ลูกจ้างพูดแนะนำการแก้ไขปัญหา หรือญาติในบ้านเราไปบอกกับเจ้าของร้านว่าควรแก้ไข (เพราะญาติและเราต้องจอดรถรอกลางถนนใหญ่  และต้องโดนบีบแตรหรือเสียงตะโกนด่าเหมือนที่ผ่านมา)  แต่เจ้าของร้านไม่เคยคิดจะหาคนมาโบกรถ  หรือวิธีการใดเลยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขัดแย้งกันระหว่างลูกค้า ทุกวันนี้ลูกค้าต้องเคลียร์กันเองว่าใครจะเป็นคนถอย  หรือลงจากรถมาโบกกันเองเพื่อถอยรถลงไปในถนนใหญ่
2.    บางครั้งขณะที่ซอยว่าง โล่ง มองเห็นลานจอดหรือทางออกอย่างชัดเจนด้วยเป็นซอยตรง  ทำให้คนขับจะใช้ความเร็วมากเหมือนกับขับรถบนถนนใหญ่  โดยไม่คำนึงหรือระวังเลยว่า...หากมีเด็ก คนแก่ หรือสัตว์เลี้ยงเดินออกมาจากประตูบ้านที่อยู่ในซอย  แล้วจะเบรกรถได้ทันไหม  คนขับบางคนอ้างว่าคนโบกรถเร่งให้เค้าขับเร็ว  แต่บางคนก็ใช้ความเร็วมากโดยไม่ได้มีใครไปเร่ง  แต่อาจเกิดจากนิสัยการใช้รถใช้ถนนที่ไร้สำนึกต่อผู้อื่นเป็นส่วนตัว

หลายครั้งที่เราพบพฤติกรรมขับรถอย่างประมาท  เราจะยืนรอเพื่อบอกคนขับว่า  “อย่าขับรถด้วยความเร็วขนาดนี้  เพราะนี่คือซอยส่วนบุคคล  มีคนเดินไปมาตลอดเวลา (ก็คือลูกค้าของร้านเอง)  และถ้าหากมีเด็กหรือคนแก่เดินออกมาจากประตู  คุณจะไม่ทันเห็นและเบรกรถไม่ทัน”  เรารู้ว่าน้ำเสียงและสีหน้าของตัวเองไม่ดี  เพราะทุกครั้งที่เห็นอยู่บ่อยครั้งมันเพิ่มความโกรธมากขึ้น  แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ยอมรับฟังและกล่าวขอโทษ  เมื่อขับรถกลับออกจากลานจอดรถก็จะขับช้าอย่างระวัง  แต่ก็มีบางคนกลับย้อนเราว่า “ยุ่งอะไรด้วย” หรือ “ทำเป็นไม่สนใจที่เราพูด” หรือ “มองเป็นเรื่องตลก” อย่างนี้เราเองก็อารมณ์ขึ้นเหมือนกัน  เมื่อก่อนจะเดินไปต่อว่าถึงโต๊ะที่เค้านั่ง  ซึ่งเจ้าของร้านเห็นเราโวยวายเรื่องการขับรถเร็วของลูกค้ามาตลอดนานหลายปี   “...เราเป็นคนโมโหแล้วเสียงดัง  ไม่เกรงใจใคร  แต่เราไม่เคยด่าใครด้วยคำหยาบ  ไม่เคยทำร้ายร่างกายใคร  ไม่เคยทำลายข้าวของของใคร  และเราก็รู้ตัวดีว่าการกระทำของเราเหมือนคนบ้า  ที่พูดจาต่อว่าคนอื่นด้วยเสียงดังโวยวาย...”

จนกระทั้งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (28 ม.ค.59)  มีรถลูกค้ากำลังขับเข้าที่จอดรถ  หลังจากให้คนในรถลงด้านหน้าทางเข้า  เรากำลังเดินสวนกับรถคันดังกล่าวเพื่อออกไปที่หน้าร้านขนม  แต่ได้ยินเสียงล้อเสียดสีกับพื้นและเมื่อเราหันไปมอง  ก็พบว่ารถเร่งเครื่องขับเร็วมากจนฝุ่นตลบ  เราก็ตะโกนไล่หลังไปว่า “ทำไมถึงขับรถเร็วขนาดนี้”  และรอเพื่อบอกเค้าว่าขับรถอย่างนี้ไม่ได้...สิ่งที่ลูกค้าคนนี้ทำคือ กล่าวคำขอโทษ (แบบไม่เต็มใจนัก) เมื่อเดินผ่านเด็กเสิร์ฟและทักว่าเกิดอะไรขึ้นก็ทำท่ายิ้มเยาะ  เมื่อเค้าเดินถึงหน้าร้านก็ยกมือไหว้เจ้าของร้าน  และสนทนาอะไรบางอย่าง หันมามองทางเราและหัวเราะกัน

“...สำหรับเรามันไม่ใช่เรื่องตลก  การไร้มารยาทในการใช้ทางส่วนบุคคลก็แย่พออยู่แล้ว  ที่เราเจ็บไปกว่าคือถูกมองเป็นเรื่องตลก  กับสิ่งที่เราเตือนเรื่องความปลอดภัยในการใช้ทาง...”

เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก  แต่เราจะให้มันจบเป็นครั้งสุดท้าย  ในวันต่อมา (29 มี.ค.59) จึงตัดสินใจทำลูกคลื่นเพื่อชะลอความเร็วของรถ  เราทำด้วยปูนกับไม้หน้าสาม  เมื่อถึงเวลารถเข้าออก เราตั้งใจเอาเก้าอี้กั้นปูนที่ทำไว้ออก  แต่เมื่อลูกคลื่นโดนรถเหยียบปูนก็หลุดร่อนออกมา  เราก็เลยคิดว่ามันยังไม่แข็งดีพอ  และเห็นว่ารถหลายคันวิ่งผ่านทางได้  แต่ต้องขับเบียงไปอีกด้านอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง  เราเลยตัดสินใจตั้งเก้าอี้ไว้ก่อน  เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ขับรถช้าลงได้บ้าง

ตลอดเวลาตั้งแต่ 16.00 น. มีรถเข้า-ออกจำนวนมากและทุกอย่างผ่านไปด้วยดี  แต่เมื่อเวลาก่อน 2 ทุ่ม  มีรถกระบะโฟวิลล้อขนาดใหญ่  ขับชนเก้าอี้และเหยียบจนพัง  และยังทำต้นไม้หน้าบ้านหักด้วย  ตอนนั้นเรายืนคิดไม่ออกเลยว่า  ถ้าเก้าอี้คือเด็กที่ยืนหลบอยู่  แล้วเค้าขับรถผ่านโดยคิดว่าหลบพ้น  แต่มันไม่พ้น  สิ่งที่อยู่หน้าบ้านเราไม่ใช่เก้าอี้เหล็กที่พังยับ  แต่ต้องเป็นร่างเด็กนอนตายหน้าบ้านเราแน่ๆ  และเหตุการณ์นี้ทำให้เราทนไม่ได้แล้วจริงๆ  กับความประมาทครั้งนี้

เจ้าของร้านไม่มาพูดคุยอะไร  มีเพียงเด็กเสิร์ฟสองคนมาดูและขอโทษเรา  วันนี้เราตัดสินใจว่าเรื่องที่เราอดทนนี้ต้องจบซะที  เราโวยวายเสียงดังถึงที่สุด  เหมือนคนบ้าที่หาเรื่องไม่สิ้นสุด  จนกระทั้งทางร้านเอารถกระบะออกไปรับช่างมาทำล้อให้ลูกค้า  แต่ไม่มาถามเราเลยทำไมเราต้องทำอย่างนี้  เหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นที่สุดแล้ว  เราตัดสินใจปิดประตูใหญ่ของซอย  ไม่ให้รถเข้า-ออก  จนกว่าเจ้าของร้านจะเดินมาพูดคุย

ลูกค้าเริ่มออกันตรงหน้าปากซอย  เราต้องใจแข็งกับลูกค้าที่มีเด็กเล็กมาด้วย  และเราก็รู้ดีว่าลูกค้าไม่เกี่ยวกับปัญหานี้  แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เจ้าของร้านมารับรู้ปัญหาและควรแก้ไขอย่างจริงจัง  เราตะโกนท้าให้เค้าไปเรียกตำรวจมาเลย  และเป็นอย่างนั้นจริงๆ  เมื่อตำรวจมาถึงพวกเค้าถึงเดินมา  ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้  แต่ที่พลาดคือเราไม่ได้อัดคลิปไว้เป็นหลักฐานการทะเลาะกันครั้งนี้  เพราะหลายๆ คำพูดของเค้า  ทำให้เราและญาติๆ รู้เช่นเห็นชาติที่แท้จริงของสองเจ้าของร้านแห่งนี้  ทั้งที่ผ่านมาเราไม่เคยเชื่อว่าเค้านิสัยไม่ดี เอาเปรียบคนอื่น เห็นแก่ได้  เพราะเราไม่เคยเจอกับตัวเอง

จากนี้ขอสรุปประโยคสำคัญๆ ที่พวกเค้าพูดเมื่อตำรวจมาถึง
เจ้าของร้านผู้ชายเข้ามาต่อว่าเราทันที
“คุณทำอย่างนี้มันผิดนะ  ทางเข้า-ออกเป็นทางภาระจำยอม จะมาปิดอย่างนี้ไม่ได้” (แล้วเปิดประตูเพื่อให้ลูกค้าเข้าไปเอารถออกจากลานจอด)  
“บ้านใกล้กัน  มีอะไรก็น่าจะบอกกันดีๆ  ทางก็เป็นทางใช้ร่วมกัน”
“ทางก็แคบอยู่แล้ว  ยังมาทำปูนเอาเก้าอี้มาวาง ทางก็ยิ่งแคบ”

เจ้าของร้านผู้หญิงพูดว่า
“มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกกันดีๆ จะให้ทำอะไรก็บอก”
“อีนี่มันบ้า ชอบโวยวาย ชอบด่าลูกค้า”
“ฉันมันการศึกษาน้อย มีอะไรก็บอกมา ปัญหาบางอย่างฉันก็ไม่รู้ว่าต้องแก้ยังไง”
“ฉันเรียนมาน้อย แต่ฉันหน้าบาง ฉันอายเค้า”
“พูดเบาๆ ก็ได้ ฉันอายเค้า”

ลูกชายคนโตพูดว่า
“ลูกค้าที่มาซื้อขนม ก็เป็นลูกค้าของร้าน  จะโวยวายทำไม”

ตำรวจถามเราว่าเกิดอะไรขึ้น  เราจึงเล่าด้วยเสียงดังให้ได้ยินทั่วกันว่า
“...สิ่งที่ฉันต้องการคือความปลอดภัยจากการขับรถเข้า-ออกในซอยนี้  ทุกครั้งที่ฉันโวยวาย  เจ้าของร้านไม่เคยคิดแก้ไขปัญหาใดๆ เลย  และสิ่งที่ฉันโวยวายคือความปลอดภัยของทุกคน  ฉันไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากการโวยวายครั้งนี้เลย...”  และเราก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 2 วันที่ผ่านมา (28-29 มี.ค. 59)  และจบด้วยประโยค “ถ้าฉันบ้า  ฉันก็จะบ้าจนกว่าซอยนี้จะปลอดภัย”  ตำรวจบอกว่าถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ไปคุยที่โรงพัก  หรือถ้าเค้ายังไม่แก้ไขปัญหาอะไรให้ไปแจ้งที่โรงพักได้

เจ้าของร้านทั้งสองคน กดกริ่งหน้าบ้านและเรียกญาติผู้ใหญ่ของเราออกมาเจรจา  แล้วก็เล่านู้นนี่นั่น  แบบที่เค้าเรียกว่า “พูดเอาดีเข้าตัว  ไอ้ที่ชั่วๆ เอาใส่อีบ้าไป”  จากนั้นญาติผู้ใหญ่มาบอกเราว่า  เจ้าของร้านทั้งสองคน  จะทำลูกคลื่นชะลอความเร็ว  ตั้งแต่ปากซอย และเข้าไปในซอยเป็นระยะๆ

แต่ตอนนี้เราแก้ปัญหาเองแล้ว คือการทำลูกคลื่นด้วยปูนเฉพาะหน้าบ้านของเรา  ซึ่งตอนนี้มันแตกและพังไปทีละอัน (แค่ 5 วันที่ผ่านมา)  ด้วยจริงๆ แล้ว เราไม่ได้หวังให้มันเป็นลูกคลื่นที่แข็งแรงถาวร  แต่เราต้องการทำให้เค้าเห็นว่า วิธีแก้ปัญหาความเร็วของรถควรทำอย่างไร ซึ่งไม่รู้ว่าจะสื่อสารถึงเจ้าของร้านได้ผลหรือเปล่า  และทำป้ายติดหน้าปากซอย  “กรุณาขับช้า ขอบคุณค่ะ”  

สุดท้ายเราทำได้แค่รอว่าซอยนี้จะมีลูกคลื่นชะลอความเร็วปรากฏขึ้นไหมตามคำพูดที่สองเจ้าของร้านได้ให้ไว้  หรือซอยส่วนบุคคลนี้จะถูกฟ้องเป็นทางสาธารณะวันไหน  เพราะตอนนี้ซอยซึ่งเป็นสมบัติบรรพบุรุษ  มีลูกหลานเป็นเจ้าของทางและถือโฉนดถูกต้องตามกฎหมาย  ใช้ประโยชน์เข้า-ออกทางรถยนต์เพียงบ้านละ 1-2 คัน  และคนเดินผ่านทางรวมกันไม่เกิน 10 คน  แต่คนอื่นที่ใช้สิทธิภาระจำยอมหลังการซื้อขายที่ดินเพื่อทำที่จอดรถ  ใช้ประโยชน์จากทางมากกว่าหลายเท่า คือ (1) เป็นทางเข้า-ออกของรถลูกค้าวันละไม่ต่ำกว่า 100 คัน ตั้งแต่เวลา 16.00 – 23.00 น. โดยประมาณ (2) เป็นทางเข้า-ออกของรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับร้านอาหารตลอดทั้งวัน เช่น รถซื้อผัก รถส่งอาหารทะเล รถส่งแก๊ส รถลูก-หลานที่นำมาฝากจอดในลานจอดรถ (3) เป็นทางเดินและทางเข้า-ออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ของลูกจ้าง ลูก-หลานลูกจ้าง เพื่อนลูกจ้าง สามีของลูกจ้าง โดยลูกจ้างเกือบครึ่งเป็นคนต่างด้าว  ซึ่งใช้ทางตลอดเกือบ 24 ชั่วโมง

เรารู้ว่าการโวยวายและการใช้ลูกค้าเป็นเครื่องมือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ซึ่งเราน่าจะไปปรึกษาและพูดดีๆ กับเจ้าของร้านน่าจะแก้ปัญหาได้ดีกว่า  แต่สำหรับคนที่ไม่เคยสนใจใดๆในสังคมเลย  แม้กระทั้งความปลอดภัยของคนในครอบครัว ลูกจ้าง และลูกค้าของเค้าเอง  มันก็ต้องเลือกใช้วิธีที่หยาบคายและพฤติกรรมอย่างคนบ้าเพื่อจัดการกับปัญหา

แต่ตอนนี้เราต้องคิดและถือหลัก “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”  เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าเราโดนญาติผู้ใหญ่บางคนรังเกียจและไม่พูดด้วย  ทั้งๆ ที่เราทำเป็นบ้าๆบอๆ โวยวายเสียงดังเพื่อให้ในซอยมีความปลอดภัยมากขึ้น  กลับกลายเป็นว่าผู้ใหญ่มองเราเป็นตัวสร้างปัญหาซะเอง

ขอขอบคุณพันทิปที่เป็นสื่อกลางในการนำเสนอปัญหาครั้งนี้  และขอขอบคุณเพื่อนทุกคนที่อ่าน (ยาวมาก) พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่