เริ่มต้นตั้งแต่ พฤศจิกายน 2558 นั่งทำงานอยู่ๆ เหมือนโดนยุงหรือแมลงอะไรกัดที่ต้นขาเลยเกา หลังจากนั้นมันก็เป็นตุ่มๆแดงๆ เหมือนยุ่งกัดแหล่ะค่ะ ก็เลยชิวคิดว่าเดี๋ยวก็หาย ผ่านไป 2-3 อาทิตย์เป็นจ้ำแดงๆ แข็งๆ เจ็บนิดหน่อย ไม่หายซักที เลยตัดสินใจไปหาหมอที่ รพ.เอกชนแห่งนึง แต่หมอไม่รู้ว่าเป็นอะไร หมอบอกว่าเหมือนผิวหนังอักเสบเลยให้ยาฆ่าเชื้อมากิน 2 อาทิตย์ ช่วงนั้นปลายปีจะต้องไปเที่ยวฮ่องกงด้วย เลยคิดว่าไปก่อนเดี๋ยวกลับมาลองเปลี่ยนหมอดูใหม่
ไปเที่ยวเดินทั้งวันจนแผลปูดขึ้นมาใส่กางเกงไม่ได้เลย T__T จับดูร้อนมาก และนุ่มๆ แต่เอาตรงๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันคือฝี คือไม่รู้จักค่ะ ขนาดประมาณเหรียญ 10 บาทได้ พอกลับมาวันกลับไข้ขึ้น รุ่งขึ้นเลยไปหาหมอภูมิแพ้ผิวหนัง (ยังคิดว่าเป็นภูมิแพ้) หมอบอกเป็นฝีนะ ดูเหมือนมันจะมีหลายหัวข้างในหรือเปล่าเพราะมองไม่เห็นหัวข้างนอกเลย หมอเลยให้ยามากินอีก 3 อาทิตย์ เสียเวลาไปอีก โดยที่ไม่หาย สุดท้ายวันนึงกำลังออกไปข้างนอก ฝีแตกค่ะ หนองไหลเยอะมาก เลอะกางเกงหมด
เราก็ดีใจคิดว่าเดี๋ยวก็หาย พอรุ่งขึ้นก็ปูดเหมอืนเดิมอีก กดหนองออกอีก แต่ในใจทนไม่ไหวแล้วเลยไปหาหมอที่อีก รพ.หนึ่งที่เคยไปประจำ หมอบอกว่าเป็นฝีหนองนะ ผ่าเลย จับขึ้นเตียงผ่าเดี๋ยวนั้น น้ำตาไหลเลย คือเป็นคนกลัวความเจ็บปวดอยู่แล้ว เห้อออ... ระหว่างผ่าหมอคว้านเนื้อที่ตายและหนองออกเจ็บมาก ยาชา 3 เข็มแล้วยังเอาไม่อยู่ ไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน เสร็จเรียบร้อยกลับบ้าน นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะว่าหมอบอกว่าต้องมาทำแผลทุกวัน แล้วอ่านเจอในเนตคือหลอนสุดๆ จนเช้าก็มาถึง รีบไปทำแผลแต่เช้า อื้อหือ เจ็บจริงๆ เจ็บตอนเอาผ้าก๊อซออกจากแผล มันติดเลือดแห้งๆ และแผลสด น้ำตาไหล เพิ่งเข้าใจว่าเจ็บถึงขั้วหัวใจมันเป็นยังไง ... แต่จริงๆ มันก็เจ็บแบบทนได้ ไม่มากเท่าที่คิดตอนแรก
ทำแผลเจ็บแค่ประมาณ 3 วันแรก วันต่อๆไปก็ไม่ค่อยมาก จนประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ก็เริ่มไม่เจ็บ แต่ๆๆๆ ผลเพาะเชื้อหนองเราออกแล้ว กลายเป็นติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ชื่อเชื้อ abscessus mycobacterium เลยต้องไปหาหมอฆ่าเชื้อต่อ คุณหมอบอกว่าดีแล้วที่รู้ว่าเป็นอะไร เหมือนเราสู้กับโจรที่เห็นหน้า และมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ตอนแรกยังกังวลว่าจะติดเชื้อ TB ถ้าอันนั้นต้องกินยาเยอะมากๆ ต่อมื้อ และนาน 6 เดือนขึ้นไป แต่เชื้อตัวนี้มันติดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เอาตรงๆ เราก็คุมลำบากนะ เพราะหมอบอกว่ามันอยู่ตามอากาศ แม่น้ำ น้ำ ดิน ทั่วไป ส่วนเชื้อตัวนี้ ต้องกินยา 2 ตัวคู่กันไปนาน 4-6 เดือน (ยาวนานไม่แพ้กันเลย ดีตรงที่ยาแค่ 2 ตัว)
กินยาไป แล้วก็ทำแผลไปเรื่อยๆ แผลติดเชื้อเป็นอะไรที่หายช้ามากๆ หลังๆมันไม่เจ็บเลยแต่น่ารำคานมากกว่า ต้องปิดแผลไว้กันน้ำเข้า และไปทำแผลเรื่อยๆ แผลดูดีขึ้น แห้งขึ้น แต่หลุมที่หมอคว้านออกมันลึกมันเลยไม่เต็มซักที จะย้ายมาทำคลีนิคราคาไม่แพงก็ไม่กล้า เพราะเห็นหลายคนติดเชื้ออีก ถือว่าฟาดเคราะห์ครั้งใหญ่เลยปีนี้ ทั้งที่เริ่มจากแผลเล็กๆ
เราเริ่มผ่าฝีตั้งแต่ 25 ม.ค. จนถึงวันนี้แผลยังไม่หายนะคะ แค่ดีขึ้น ตอนนี้ก็ไม่ต้องใส่ก๊อชแล้วรอให้ผิวหนังตรงหลุมตื้นขึ้น เริ่มทำแผล 4-5 วันครั้ง แต่ต้องปิดพลาสเตอร์กันน้ำอยู่ ผ่านมา 2 เดือนแล้ว เป็นแผลที่หายช้าที่สุดเท่าที่เคยเป็นเลย (เราเคยผ่าซีส ตอนนั้นแผลผ่าตัดใหญ่ยังหายเร็วกว่านี้มาก พักแค่เดือนเดียว) ที่อยากมาแชร์เพราะว่า คุณหมอรักษาติดเชื้อแกดีมาก อธิบายให้ฟังอย่างละเอียดให้เราเข้าใจ และไม่ต้องตกใจ จดชื่อทุกอย่างมาให้เราไปหาข้อมูล หมอบอกเผื่ออยากรู้ หาแทบจะหมด google แล้วไม่ค่อยเจอแผลฝีติดเชื้อแบบนี้เลย ลำพังข้อมูลเชื้อตัวนี้ก็หาอ่านยาก เราเลยอยากจะมาแชร์เป็นประสบการณ์ให้ฟังค่ะ เผื่อมีเพื่อนคนไหนเป็น หรือสงสัยว่าจะเป็น ส่งตรวจเชื้อเลยค่ะ จะได้ไม่ต้องมาคลำทางรักษากันไปเรื่อยๆ
ส่วนยาที่เรากิน ครั้งแรกหมอให้กิน 2 ตัว คือ
ยาหลัก คือ ยาคลาลิโธรมัยซิน (Clarithromycin) ชื่อยี่ห้อ FASCAR 500 >>ยาตัวนี้กินแล้วจะรู้สึกขมปากขมคอ เป็นปกติของอาการข้างเคียงนะคะ ไม่ต้องตกใจ
ยาตัวที่ 2 คือ ยาไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
พอกินไปได้แค่ 3 วัน วัดความดัน หัวใจทุกวันใจเต้น 110-130 ตลอดเวลา รู้สึกหวิวๆ เหนื่อยง่าย นอนก็นอนไม่หลับใจสั่น หัวใจเต้นจนดังออกมาได้ยินตลอดเวลา เลยรีบกลับไปหาหมอ หมอบอกว่าน่าจะเป็นตัวที่ 2 เพระาว่าผลข้างเคียงทางยามันก็เป็นอาการแบบนั้นได้ หมอเลยลองให้หยุดยา 2 วัน แล้วลองกินเฉพาะยาหลักใหม่ว่ามีอาการเดิมหรือเปล่า ปรากฏตัวยาหลักกินได้ ดีใจที่สุดเพราะหมอบอกตัวนี้เป็นยาหลักเลย หมอเปลี่ยนยาตัวที่ 2 ให้มากินแทน
ยาตัวที่ 2 ที่เปลี่ยนใหม่ คือ ยากลุ่ม Salfamethoxazole + Trimethoprim ชื่อยี่ห้อ Potrim หรือ Bactrim พอเปลี่ยนมาเป็นกินตัวนี้ก็ปกติ นอนหลับได้ ใจไม่สั่น แต่จากที่ค้นข้อมูลดู เห็นว่ายากลุ่มซัลฟานี้จะมีตะกอนง่าย จึงแนะนำให้ดื่มน้ำตามเยอะๆ เพื่อไม่ให้ตะกอนตกค้างเป็นนิ่วในไต ช่วงนี้เลยกินน้ำเยอะเว่อร์ค่ะ
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเวลาเรากินยาอะไรไปแล้วมีผลกับร่างกายอย่างเห็นได้ชัดจะเรียกว่า แพ้ยา แต่จากที่ไปอ่านตามเว็บหมอต่างๆ อาการผลข้างเคียงของยา กับการแพ้ยา มันต่างกันมากนะคะ ผลข้างเคียงยาสามารถเกิดขึ้นได้กับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าทนได้หมอก็แนะนำให้ทน แต่ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนยา (ในกรณีของเรามันเป็นเรื่องหัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย หมอเลยบอกมันกระทบกับการใช้ชีวิต เค้าจึงเปลี่ยนยาให้)
ตัวอย่างยาหลักที่เรากินแล้วขมปาก ยาคลาลิโธรมัยซิน (Clarithromycin) น้ำลายขมตลอดเวลา ไปหาข้อมูลก็บอกว่า คนที่จะขมคอจากการสุ่มวิจัยจะมี 3% ของคนที่ใช้ยานี้ (เราไม่ค่อยเชื่อนะ เพราะลองหาใน pantip มีคนกินยานี้แล้วขมคอเยอะเลย 55555)
ถ้าเพื่อนๆ อยากรู้ว่ายาแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงยังไง ก็ลองเอาชื่อยา search ได้เลยค่ะ ส่วนการแพ้ยาจะเป็นอาการที่รุนแรงมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน เป็นหลัก ชม. หรือ ออกผลใน 2-3 วันหลังกินยา เช่น มีผื่นแดงเต็มตัว หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก อะไรแบบนี้ค่ะ
เล่ามายาวแค่อยากเขียนเอาไว้ เผื่อมีใครเป็นเหมือนกันมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน หรือเผื่อใครเจอเชื้อ หรือต้องกินยาตัวนี้ จะได้รู้ว่ามีเพื่อนอยู่นะคะ ทุกวันนี้ภาวนาอย่างเดียวขอให้แผลหายเร็วๆ เพราะยาต้องกินนานอยู่แล้วทำอะไรไม่ได้

ถ้าแผลหายแล้วจะมาอัพเดทนะคะ

แชร์ประสบการณ์เป็นฝีครั้งแรก และยาวนานที่สุด
ไปเที่ยวเดินทั้งวันจนแผลปูดขึ้นมาใส่กางเกงไม่ได้เลย T__T จับดูร้อนมาก และนุ่มๆ แต่เอาตรงๆ เราก็ไม่รู้ว่ามันคือฝี คือไม่รู้จักค่ะ ขนาดประมาณเหรียญ 10 บาทได้ พอกลับมาวันกลับไข้ขึ้น รุ่งขึ้นเลยไปหาหมอภูมิแพ้ผิวหนัง (ยังคิดว่าเป็นภูมิแพ้) หมอบอกเป็นฝีนะ ดูเหมือนมันจะมีหลายหัวข้างในหรือเปล่าเพราะมองไม่เห็นหัวข้างนอกเลย หมอเลยให้ยามากินอีก 3 อาทิตย์ เสียเวลาไปอีก โดยที่ไม่หาย สุดท้ายวันนึงกำลังออกไปข้างนอก ฝีแตกค่ะ หนองไหลเยอะมาก เลอะกางเกงหมด
เราก็ดีใจคิดว่าเดี๋ยวก็หาย พอรุ่งขึ้นก็ปูดเหมอืนเดิมอีก กดหนองออกอีก แต่ในใจทนไม่ไหวแล้วเลยไปหาหมอที่อีก รพ.หนึ่งที่เคยไปประจำ หมอบอกว่าเป็นฝีหนองนะ ผ่าเลย จับขึ้นเตียงผ่าเดี๋ยวนั้น น้ำตาไหลเลย คือเป็นคนกลัวความเจ็บปวดอยู่แล้ว เห้อออ... ระหว่างผ่าหมอคว้านเนื้อที่ตายและหนองออกเจ็บมาก ยาชา 3 เข็มแล้วยังเอาไม่อยู่ ไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน เสร็จเรียบร้อยกลับบ้าน นอนไม่หลับทั้งคืน เพราะว่าหมอบอกว่าต้องมาทำแผลทุกวัน แล้วอ่านเจอในเนตคือหลอนสุดๆ จนเช้าก็มาถึง รีบไปทำแผลแต่เช้า อื้อหือ เจ็บจริงๆ เจ็บตอนเอาผ้าก๊อซออกจากแผล มันติดเลือดแห้งๆ และแผลสด น้ำตาไหล เพิ่งเข้าใจว่าเจ็บถึงขั้วหัวใจมันเป็นยังไง ... แต่จริงๆ มันก็เจ็บแบบทนได้ ไม่มากเท่าที่คิดตอนแรก
ทำแผลเจ็บแค่ประมาณ 3 วันแรก วันต่อๆไปก็ไม่ค่อยมาก จนประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ก็เริ่มไม่เจ็บ แต่ๆๆๆ ผลเพาะเชื้อหนองเราออกแล้ว กลายเป็นติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ชื่อเชื้อ abscessus mycobacterium เลยต้องไปหาหมอฆ่าเชื้อต่อ คุณหมอบอกว่าดีแล้วที่รู้ว่าเป็นอะไร เหมือนเราสู้กับโจรที่เห็นหน้า และมันก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ตอนแรกยังกังวลว่าจะติดเชื้อ TB ถ้าอันนั้นต้องกินยาเยอะมากๆ ต่อมื้อ และนาน 6 เดือนขึ้นไป แต่เชื้อตัวนี้มันติดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เอาตรงๆ เราก็คุมลำบากนะ เพราะหมอบอกว่ามันอยู่ตามอากาศ แม่น้ำ น้ำ ดิน ทั่วไป ส่วนเชื้อตัวนี้ ต้องกินยา 2 ตัวคู่กันไปนาน 4-6 เดือน (ยาวนานไม่แพ้กันเลย ดีตรงที่ยาแค่ 2 ตัว)
กินยาไป แล้วก็ทำแผลไปเรื่อยๆ แผลติดเชื้อเป็นอะไรที่หายช้ามากๆ หลังๆมันไม่เจ็บเลยแต่น่ารำคานมากกว่า ต้องปิดแผลไว้กันน้ำเข้า และไปทำแผลเรื่อยๆ แผลดูดีขึ้น แห้งขึ้น แต่หลุมที่หมอคว้านออกมันลึกมันเลยไม่เต็มซักที จะย้ายมาทำคลีนิคราคาไม่แพงก็ไม่กล้า เพราะเห็นหลายคนติดเชื้ออีก ถือว่าฟาดเคราะห์ครั้งใหญ่เลยปีนี้ ทั้งที่เริ่มจากแผลเล็กๆ
เราเริ่มผ่าฝีตั้งแต่ 25 ม.ค. จนถึงวันนี้แผลยังไม่หายนะคะ แค่ดีขึ้น ตอนนี้ก็ไม่ต้องใส่ก๊อชแล้วรอให้ผิวหนังตรงหลุมตื้นขึ้น เริ่มทำแผล 4-5 วันครั้ง แต่ต้องปิดพลาสเตอร์กันน้ำอยู่ ผ่านมา 2 เดือนแล้ว เป็นแผลที่หายช้าที่สุดเท่าที่เคยเป็นเลย (เราเคยผ่าซีส ตอนนั้นแผลผ่าตัดใหญ่ยังหายเร็วกว่านี้มาก พักแค่เดือนเดียว) ที่อยากมาแชร์เพราะว่า คุณหมอรักษาติดเชื้อแกดีมาก อธิบายให้ฟังอย่างละเอียดให้เราเข้าใจ และไม่ต้องตกใจ จดชื่อทุกอย่างมาให้เราไปหาข้อมูล หมอบอกเผื่ออยากรู้ หาแทบจะหมด google แล้วไม่ค่อยเจอแผลฝีติดเชื้อแบบนี้เลย ลำพังข้อมูลเชื้อตัวนี้ก็หาอ่านยาก เราเลยอยากจะมาแชร์เป็นประสบการณ์ให้ฟังค่ะ เผื่อมีเพื่อนคนไหนเป็น หรือสงสัยว่าจะเป็น ส่งตรวจเชื้อเลยค่ะ จะได้ไม่ต้องมาคลำทางรักษากันไปเรื่อยๆ
ส่วนยาที่เรากิน ครั้งแรกหมอให้กิน 2 ตัว คือ
ยาหลัก คือ ยาคลาลิโธรมัยซิน (Clarithromycin) ชื่อยี่ห้อ FASCAR 500 >>ยาตัวนี้กินแล้วจะรู้สึกขมปากขมคอ เป็นปกติของอาการข้างเคียงนะคะ ไม่ต้องตกใจ
ยาตัวที่ 2 คือ ยาไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin)
พอกินไปได้แค่ 3 วัน วัดความดัน หัวใจทุกวันใจเต้น 110-130 ตลอดเวลา รู้สึกหวิวๆ เหนื่อยง่าย นอนก็นอนไม่หลับใจสั่น หัวใจเต้นจนดังออกมาได้ยินตลอดเวลา เลยรีบกลับไปหาหมอ หมอบอกว่าน่าจะเป็นตัวที่ 2 เพระาว่าผลข้างเคียงทางยามันก็เป็นอาการแบบนั้นได้ หมอเลยลองให้หยุดยา 2 วัน แล้วลองกินเฉพาะยาหลักใหม่ว่ามีอาการเดิมหรือเปล่า ปรากฏตัวยาหลักกินได้ ดีใจที่สุดเพราะหมอบอกตัวนี้เป็นยาหลักเลย หมอเปลี่ยนยาตัวที่ 2 ให้มากินแทน
ยาตัวที่ 2 ที่เปลี่ยนใหม่ คือ ยากลุ่ม Salfamethoxazole + Trimethoprim ชื่อยี่ห้อ Potrim หรือ Bactrim พอเปลี่ยนมาเป็นกินตัวนี้ก็ปกติ นอนหลับได้ ใจไม่สั่น แต่จากที่ค้นข้อมูลดู เห็นว่ายากลุ่มซัลฟานี้จะมีตะกอนง่าย จึงแนะนำให้ดื่มน้ำตามเยอะๆ เพื่อไม่ให้ตะกอนตกค้างเป็นนิ่วในไต ช่วงนี้เลยกินน้ำเยอะเว่อร์ค่ะ
หลายคนมักเข้าใจผิดว่าเวลาเรากินยาอะไรไปแล้วมีผลกับร่างกายอย่างเห็นได้ชัดจะเรียกว่า แพ้ยา แต่จากที่ไปอ่านตามเว็บหมอต่างๆ อาการผลข้างเคียงของยา กับการแพ้ยา มันต่างกันมากนะคะ ผลข้างเคียงยาสามารถเกิดขึ้นได้กับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าทนได้หมอก็แนะนำให้ทน แต่ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนยา (ในกรณีของเรามันเป็นเรื่องหัวใจเต้นเร็ว อ่อนเพลีย หมอเลยบอกมันกระทบกับการใช้ชีวิต เค้าจึงเปลี่ยนยาให้)
ตัวอย่างยาหลักที่เรากินแล้วขมปาก ยาคลาลิโธรมัยซิน (Clarithromycin) น้ำลายขมตลอดเวลา ไปหาข้อมูลก็บอกว่า คนที่จะขมคอจากการสุ่มวิจัยจะมี 3% ของคนที่ใช้ยานี้ (เราไม่ค่อยเชื่อนะ เพราะลองหาใน pantip มีคนกินยานี้แล้วขมคอเยอะเลย 55555)
ถ้าเพื่อนๆ อยากรู้ว่ายาแต่ละชนิดมีผลข้างเคียงยังไง ก็ลองเอาชื่อยา search ได้เลยค่ะ ส่วนการแพ้ยาจะเป็นอาการที่รุนแรงมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน เป็นหลัก ชม. หรือ ออกผลใน 2-3 วันหลังกินยา เช่น มีผื่นแดงเต็มตัว หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก อะไรแบบนี้ค่ะ
เล่ามายาวแค่อยากเขียนเอาไว้ เผื่อมีใครเป็นเหมือนกันมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน หรือเผื่อใครเจอเชื้อ หรือต้องกินยาตัวนี้ จะได้รู้ว่ามีเพื่อนอยู่นะคะ ทุกวันนี้ภาวนาอย่างเดียวขอให้แผลหายเร็วๆ เพราะยาต้องกินนานอยู่แล้วทำอะไรไม่ได้