เนื้อความทั้งหมดเป็นปกิณกะ เขียนขึ้นเพื่อส่งอาจารย์ในรายวิชาการเขียนนะคะ อยากให้ผู้รู้หรือผู้ที่สนใจในด้านการเขียน วรรณกรรมต่างๆ ช่วยติชม วิจารณ์ แนะนำ เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไปหน่อยนะคะ เป็นงานเขียนชิ้นแรกที่จขกท.ตั้งใจมากๆ กระทู้พลีชีพค่ะ วิจารณ์ได้เต็มที่เลยค่า ขอบคุณค่ะ
“ เมื่อวานแม่ได้ยินประกาศเสียงตามสายจากเทศบาล กว่านพะเยาบ้านเราตอนนี้กำลังแล้งจัดในรอบ10ปี เราจะเหลือน้ำใช้อีกแค่55วันเองนะลูก”
เสียงบอกเล่าผ่านโทรศัพท์ของแม่ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงอดีต เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ทุกๆเย็นวันเสาร์พ่อกับแม่มักจะพาฉันไปนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจและรับประทานมื้อเย็นริมกว๊านพะเยา เพื่อผ่อนคลายความเครียดและความเหน็ดเหนื่อยจากสัปดาห์ของการเรียนและการทำงานเสมอ
ภาพผืนน้ำที่กระทบกับแสงแดดจนเป็นประกายระยับจับตา สัมผัสเย็นๆจากสายลมที่พัดโชยมาปะทะตัว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คนที่มักจะมาปั่นจักรยานและวิ่งออกกำลังกายยามเย็น หนุ่มสาววัยรุ่นที่มักจะเห็นได้เป็นประจำหลังเวลาเลิกเรียน ชาวประมงที่กำลังหาปลาอยู่บนเรือพายลำเล็ก เหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพแห่งความทรงจำของชาวจังหวัดพะเยา ทะเลสาปผืนใหญ่ที่เป็นดั่งสายธารแห่งชีวิตของชาวจังหวัดพะเยา จะเหลือเพียงแค่ความทรงจำจริงๆหรือ แล้วเพราะเหตุใดกันเล่า ‘กว๊านพะเยาแหล่งชีวิต’ ของพวกเราจึงเหลือเพียงแค่ผืนดินอันแตกระแหงเช่นนี้
บ้างก็ว่าเป็นเพราะปีที่ผ่านมาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล บ้างก็ว่าเป็นเพราะแนวทางการจัดการน้ำของทางการยังไม่ดีพอ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงจะเป็นคำบอกเล่าและกระแสวิจารณ์ของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ว่า
กว๊านพะเยาที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของพวกเรานั้น กำลังต้องด้วยคำสาปของ “พญาธุมะสิกขี” ผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งหนองน้ำแห่งนี้..
หลายๆคนคงจะเกิดความสงสัยแล้วล่ะว่า
พญาธุมะสิกขีนั้นคือใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับกว๊านพะเยา
จากตำนานความเชื่อเรื่องกว๊านพะเยา เชื่อว่า ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่บริเวณหนองเอี้ยงหรือกว๊านพะเยา หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ พระอานนท์ได้เดินลงไปริมหนองน้ำ เพื่อตักน้ำมาถวายแด่พระพุทธเจ้า แต่กลับถูกพญาธุมะสิกขีขัดขวาง พร้อมแสดงความความเป็นเจ้าของหนองน้ำแห่งนี้ ทำให้พระพุทธเจ้าต้องลงมากำราบโดยแสดงปาฏิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้สูงใหญ่กว่าพญาธุมะสิกขี
พญาธุมะสิกขีเมื่อเห็นในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ พร้อมกับถวายตนเป็นผู้รับใช้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เมื่อตถาคตปรินิพพาน ล่วงไปได้ 5 พันปี ท่านจงมาสร้างรากฐานพระพุทธศาสนาไว้ที่หนองน้ำแห่งนี้
ครั้นกาลเวลาล่วงผ่านครบตามกำหนด พญาธุมะสิกขีได้แปลงเป็นบุรุษนุ่งขาวห่มขาวแล้วไปเล่าให้สองตายายผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาที่อาศัยอยู่ริมหนองฟัง พร้อมกับมอบทองคำจำนวนมากที่นำมาจากเมืองพญานาคให้สองตายายนำไปสร้างพระพุทธรูปขึ้น ซึ่งพระพุทธรูปที่สร้างนั้นก็คือ “พระเจ้าตนหลวง” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยาที่ประดิษฐานอยู่ที่ “วัดศรีโคมคำ” ในตัวเมืองพะเยานั่นเอง
ซึ่งจากตำนานพญาธุมะสิกขี ทางเมืองพะเยาจึงนำไปต่อยอดด้วยการสร้างประติมากรรมพญานาคสีขาว 2 ตน หันหน้าเข้าหากัน โดยมีองค์พระธาตุสีทองตั้งอยู่ระหว่างพญานาคทั้งสอง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ริมฝั่งกว๊านพะเยา ตรงข้ามกับลานพ่อขุนงำเมือง หลังจากสร้างเสร็จแล้วก็ได้กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวขึ้นมาทันที และยังถือเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของกว๊านพะเยาด้วยเช่นกัน
แต่พญานาค 2 ตัวนี้มีตัวเพียงครึ่งเดียวเฉพาะในด้านที่หันเข้าหาฝั่ง กล่าวคือเป็นพญานาคที่มีเกล็ดมีหน้าตาเฉพาะด้านหน้าส่วนด้านหลังนั้นปล่อยโล่งไว้เฉยๆ เป็นพญานาคที่ไม่มีหน้า ไม่มีเกล็ด มีเพียงโครงเหล็กและปูนเปลือยเปล่า นอกจากนี้หากมองลงไปที่ส่วนฐานของพญานาค ยังมีการนำเอาท่อน้ำซีเมนต์มาตั้งเป็นฐานรองรับ ไม่ได้มีการตกแต่งให้เกิดความสวยงามใดใด เมื่อถึงฤดูร้อน น้ำแห้งลง จึงเผยให้เห็นถึงความน่าเกลียดและน่าอับอายต่อสายตาของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
แล้วพญาธุมะสิกขีเกี่ยวข้องอะไรกับความแห้งแล้งครั้งนี้ และประติมากรรมพญานาคริมว๊านพะเยามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ฉันยังจำคำพูดของคุณตาชาวประมงพื้นบ้านคนนั้นได้เป็นอย่างดี
“ ที่กว๊านพะเยาของเราแห้งแล้งขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะพญาธุมะสิกขีท่านคงโกรธที่สร้างสัญลักษณ์แทนตัวท่านออกมาได้น่าอับอายเช่นนี้ งบประมาณเป็นล้านๆ แต่กลับสร้างประติมากรรมแย่ๆออกมาเหมือนกับใช้เงินเพียงไม่กี่บาท แม้กระทั่งกับรูปปั้นของท่านเองก็ยังทำได้อย่างไม่ละลายใจ พวกผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราคงคิดว่าทำแค่ด้านเดียวอีกด้านใครคงไม่เห็น แต่สุดท้ายพอน้ำแห้ง ความจริงก็เปิดเผย .. ก็อย่างว่า น้ำลดตอก็ผุดเป็นธรรมดา ”
ฟังๆดูแล้วก็น่าคิดเหมือนกันว่าท่านคงอยากลงโทษมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ใช้น้ำอย่างไม่รู้คุณค่า นึกถึงแต่ประโยชน์ของตน ยามมีน้ำให้ใช้ก็ใช้กันอย่างสิ้นเปลืองแต่พอไม่มีน้ำใช้ขึ้นมาก็โทษธรรมชาติบ้าง โทษทางการบ้าง โทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง แต่มนุษย์ก็มักหลงลืมที่จะโทษตัวเองว่าตนนั่นแหละคือตัวการที่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ ..
บอกไขเล่าขาน"ตำนานกว๊านพะเยา"
“ เมื่อวานแม่ได้ยินประกาศเสียงตามสายจากเทศบาล กว่านพะเยาบ้านเราตอนนี้กำลังแล้งจัดในรอบ10ปี เราจะเหลือน้ำใช้อีกแค่55วันเองนะลูก”
เสียงบอกเล่าผ่านโทรศัพท์ของแม่ทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงอดีต เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็ก ทุกๆเย็นวันเสาร์พ่อกับแม่มักจะพาฉันไปนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจและรับประทานมื้อเย็นริมกว๊านพะเยา เพื่อผ่อนคลายความเครียดและความเหน็ดเหนื่อยจากสัปดาห์ของการเรียนและการทำงานเสมอ
ภาพผืนน้ำที่กระทบกับแสงแดดจนเป็นประกายระยับจับตา สัมผัสเย็นๆจากสายลมที่พัดโชยมาปะทะตัว รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คนที่มักจะมาปั่นจักรยานและวิ่งออกกำลังกายยามเย็น หนุ่มสาววัยรุ่นที่มักจะเห็นได้เป็นประจำหลังเวลาเลิกเรียน ชาวประมงที่กำลังหาปลาอยู่บนเรือพายลำเล็ก เหล่านี้ล้วนแต่เป็นภาพแห่งความทรงจำของชาวจังหวัดพะเยา ทะเลสาปผืนใหญ่ที่เป็นดั่งสายธารแห่งชีวิตของชาวจังหวัดพะเยา จะเหลือเพียงแค่ความทรงจำจริงๆหรือ แล้วเพราะเหตุใดกันเล่า ‘กว๊านพะเยาแหล่งชีวิต’ ของพวกเราจึงเหลือเพียงแค่ผืนดินอันแตกระแหงเช่นนี้
บ้างก็ว่าเป็นเพราะปีที่ผ่านมาฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล บ้างก็ว่าเป็นเพราะแนวทางการจัดการน้ำของทางการยังไม่ดีพอ แต่ที่น่าสนใจที่สุดคงจะเป็นคำบอกเล่าและกระแสวิจารณ์ของผู้เฒ่าผู้แก่ที่ว่า
กว๊านพะเยาที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของพวกเรานั้น กำลังต้องด้วยคำสาปของ “พญาธุมะสิกขี” ผู้ซึ่งเป็นเจ้าแห่งหนองน้ำแห่งนี้..
หลายๆคนคงจะเกิดความสงสัยแล้วล่ะว่า พญาธุมะสิกขีนั้นคือใคร และเกี่ยวข้องอะไรกับกว๊านพะเยา
จากตำนานความเชื่อเรื่องกว๊านพะเยา เชื่อว่า ครั้นเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่บริเวณหนองเอี้ยงหรือกว๊านพะเยา หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ พระอานนท์ได้เดินลงไปริมหนองน้ำ เพื่อตักน้ำมาถวายแด่พระพุทธเจ้า แต่กลับถูกพญาธุมะสิกขีขัดขวาง พร้อมแสดงความความเป็นเจ้าของหนองน้ำแห่งนี้ ทำให้พระพุทธเจ้าต้องลงมากำราบโดยแสดงปาฏิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้สูงใหญ่กว่าพญาธุมะสิกขี
พญาธุมะสิกขีเมื่อเห็นในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ พร้อมกับถวายตนเป็นผู้รับใช้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เมื่อตถาคตปรินิพพาน ล่วงไปได้ 5 พันปี ท่านจงมาสร้างรากฐานพระพุทธศาสนาไว้ที่หนองน้ำแห่งนี้
ครั้นกาลเวลาล่วงผ่านครบตามกำหนด พญาธุมะสิกขีได้แปลงเป็นบุรุษนุ่งขาวห่มขาวแล้วไปเล่าให้สองตายายผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาที่อาศัยอยู่ริมหนองฟัง พร้อมกับมอบทองคำจำนวนมากที่นำมาจากเมืองพญานาคให้สองตายายนำไปสร้างพระพุทธรูปขึ้น ซึ่งพระพุทธรูปที่สร้างนั้นก็คือ “พระเจ้าตนหลวง” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยาที่ประดิษฐานอยู่ที่ “วัดศรีโคมคำ” ในตัวเมืองพะเยานั่นเอง
ซึ่งจากตำนานพญาธุมะสิกขี ทางเมืองพะเยาจึงนำไปต่อยอดด้วยการสร้างประติมากรรมพญานาคสีขาว 2 ตน หันหน้าเข้าหากัน โดยมีองค์พระธาตุสีทองตั้งอยู่ระหว่างพญานาคทั้งสอง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ริมฝั่งกว๊านพะเยา ตรงข้ามกับลานพ่อขุนงำเมือง หลังจากสร้างเสร็จแล้วก็ได้กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวขึ้นมาทันที และยังถือเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของกว๊านพะเยาด้วยเช่นกัน
แต่พญานาค 2 ตัวนี้มีตัวเพียงครึ่งเดียวเฉพาะในด้านที่หันเข้าหาฝั่ง กล่าวคือเป็นพญานาคที่มีเกล็ดมีหน้าตาเฉพาะด้านหน้าส่วนด้านหลังนั้นปล่อยโล่งไว้เฉยๆ เป็นพญานาคที่ไม่มีหน้า ไม่มีเกล็ด มีเพียงโครงเหล็กและปูนเปลือยเปล่า นอกจากนี้หากมองลงไปที่ส่วนฐานของพญานาค ยังมีการนำเอาท่อน้ำซีเมนต์มาตั้งเป็นฐานรองรับ ไม่ได้มีการตกแต่งให้เกิดความสวยงามใดใด เมื่อถึงฤดูร้อน น้ำแห้งลง จึงเผยให้เห็นถึงความน่าเกลียดและน่าอับอายต่อสายตาของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
แล้วพญาธุมะสิกขีเกี่ยวข้องอะไรกับความแห้งแล้งครั้งนี้ และประติมากรรมพญานาคริมว๊านพะเยามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ฉันยังจำคำพูดของคุณตาชาวประมงพื้นบ้านคนนั้นได้เป็นอย่างดี
“ ที่กว๊านพะเยาของเราแห้งแล้งขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะพญาธุมะสิกขีท่านคงโกรธที่สร้างสัญลักษณ์แทนตัวท่านออกมาได้น่าอับอายเช่นนี้ งบประมาณเป็นล้านๆ แต่กลับสร้างประติมากรรมแย่ๆออกมาเหมือนกับใช้เงินเพียงไม่กี่บาท แม้กระทั่งกับรูปปั้นของท่านเองก็ยังทำได้อย่างไม่ละลายใจ พวกผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราคงคิดว่าทำแค่ด้านเดียวอีกด้านใครคงไม่เห็น แต่สุดท้ายพอน้ำแห้ง ความจริงก็เปิดเผย .. ก็อย่างว่า น้ำลดตอก็ผุดเป็นธรรมดา ”
ฟังๆดูแล้วก็น่าคิดเหมือนกันว่าท่านคงอยากลงโทษมนุษย์ที่มีแต่ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ใช้น้ำอย่างไม่รู้คุณค่า นึกถึงแต่ประโยชน์ของตน ยามมีน้ำให้ใช้ก็ใช้กันอย่างสิ้นเปลืองแต่พอไม่มีน้ำใช้ขึ้นมาก็โทษธรรมชาติบ้าง โทษทางการบ้าง โทษสิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง แต่มนุษย์ก็มักหลงลืมที่จะโทษตัวเองว่าตนนั่นแหละคือตัวการที่ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงขนาดนี้ ..