จาก ประชาชาติธุรกิจ
"ผ้าห่มผืนสุดท้าย" ละครเวทีที่ไม่ได้มีดีแค่ดราม่า
นับว่าผิดคาดมากสำหรับละครเวที "ผ้าห่มผืนสุดท้าย" ที่ "กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)" ร่วมกับ "ซีเนริโอ" นำเสนอ เพราะถ้าดูแค่ชื่อคงพลอยเดาไปว่าจะมีแต่ฉากเค้นอารมณ์เรียกน้ำตา ไม่ก็พูดถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าจนคล้ายสารคดี ทว่าพอเอาเข้าจริงละครพูดแนวดราม่าเรื่องนี้กลับสนุกครบรสทีเดียว
เรื่องราวเริ่มต้นที่ทหาร 3 นาย เสียชีวิตจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนใต้ ทำให้ "พลทหารท็อป (ฟรอยด์-ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์)" ต้องรับหน้าที่ลำเลียงร่างกลับสู่ญาติพี่น้อง แน่นอนว่าคนที่มาเป็นทหารเพราะถูกใบแดงบังคับอย่างเขานั้นไม่ได้สมัครใจ แถมดูถูกอยู่กลายๆ ด้วยซ้ำ นั่นเลยเป็นเหตุให้โดนทำรายงานครั้งสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของนายทหารทั้งสาม
และถ้าชีวิตคนเราสำคัญตรงระหว่างทางที่กำลังเดินไปไม่ใช่ตรงจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุดความสนุกของละครเรื่องนี้ก็เช่นกัน
เพราะหลายคนน่าจะเดาได้ รวมถึงในเรื่องย่อก็เขียนอยู่ว่าเมื่อได้เข้าไปทำรายงาน จากที่ไม่ปลื้ม พลทหารท็อปค่อยๆ เรียนรู้ถึงความรัก ความเสียสละ และความจงรักภักดีต่อแผ่นดินจากเหล่าผู้กล้าจนในที่สุดก็ยินดีทำหน้าที่นี้ด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเรื่องราวระหว่างกลางที่พาย้อนไปยังอดีตของทหารทั้ง 3 นาย นั่นล่ะน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยหนึ่งคือ พ่อผู้ถูกลูกสาววัยรุ่นหมางเมิน ต่อต้านเพราะทุ่มเทเวลาให้งานมากกว่าครอบครัว
โดย "อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง" ที่ประเดิมงานละครเวทีครั้งแรกในบท "ผู้พันโตมร" นั้นคงไม่ต้องห่วงเรื่องฝีมือการแสดง เพราะประสบการณ์ยาวนานทำให้ตีบทแตกได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะฉากดราม่ายามปะทะคารมกับลูกสาว "นิ่ม (ชาช่า รามณรงค์)" หรือฉากฮาในตอนพยายามปรับปรุงตัวให้ทันสมัยสมวัยกับลูก
เสียแต่ว่าตัวบทที่ต้องเปล่งเสียงให้ดูเข้มแข็งดุดันทำให้หลายตอนเวลาอ้นพูดจึงค่อนข้างฟังลำบากไปสักหน่อย
ส่วนเรื่องของ "หมอต่อ (จูเนียร์-กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์) นั้นก็ดูมุ้งมิ้งไม่เบา เพราะเล่าถึงความพยายามในการพิชิตใจ "แป้ง (ดิว-อริสรา ทองบริสุทธิ์)" เพื่อนสนิทสาวสวยที่บ้าผู้ชายในเครื่องแบบทหาร แถมเขายังบ้าตามโดยการลาออกจากหมอเพื่อมาสมัครเป็นทหารหวังเอาใจเธอ
ขณะที่ส่วนของ "หมวดป้อง (โอ-อนุชิต สพันธุ์พงษ์)" และ "หมวดเป้ (อ้น-กรกฎ ตุ่นแก้ว)" ก็เป็นอีกความพยายามที่ยากไม่แพ้กัน เพราะต้องเกลี้ยกล่อม หลอกล่อและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ "แม่พิศ (เหมี่ยว-ปวันรัตน์ นาคสุริยะ)" เชื่อมั่นว่าชายแดนใต้ปลอดภัยและยอมกลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็เกี่ยงกันกลับไปดูแลแม่ ด้วยต่างฝ่ายอยากเสียสละเพื่อให้อีกคนปลอดภัย
ดูแล้วทั้งหมดทั้งมวลของละครเวทีเรื่องนี้คือ การสะท้อนชีวิตทหารชายแดนใต้ในแง่มนุษย์ปุถุชนทั่วไป มีความรัก หัวเราะได้ ร้องไห้เป็น รักตัวกลัวตาย แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เขากล้ายอมพลีชีพเพื่อปกป้องคนในชาติ คนในครอบครัวที่อยู่แนวหลัง
และแม้ประเด็นจะค่อนข้างดราม่า แต่อย่างที่ย้ำไปตอนต้นว่าเรื่องนี้สนุกครบรส โดยเฉพาะความฮาที่นอกจากยกความดีให้ผู้กำกับ "สันติ ต่อวิวรรธน์" และ "เกลือ-กิตติ เชี่ยววงศ์กุล" คนเขียนบท ยังต้องปรบมือให้เหล่านักแสดงทั้งตัวหลักและสมทบ ซึ่งบางคนเล่นน้อย แต่ได้มาก เข้าข่ายขโมยซีนกันเห็นๆ
ซึ่งใครอยากพิสูจน์ว่าสนุกจริงดังว่าไหม ยังมีรอบแสดงให้ชมกันถึงวันที่ 3 เม.ย. ณ เมืองไทยรัชดาลัยเธียร์เตอร์ บัตรมีจำหน่ายที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร 0-2262-3456
อ้อ.. อย่าลืมเตรียมทิชชู่ไปเผื่อไว้
"เพราะถ้าไม่หัวเราะร่าจนน้ำตาไหล ก็อาจเสียน้ำตาด้วยความภาคภูมิใจให้แก่ทหารกล้าทุกนายที่ชายแดน"
ที่มา : นสพ.มติชน
"ผ้าห่มผืนสุดท้าย" ละครเวทีที่ไม่ได้มีดีแค่ดราม่า
"ผ้าห่มผืนสุดท้าย" ละครเวทีที่ไม่ได้มีดีแค่ดราม่า
นับว่าผิดคาดมากสำหรับละครเวที "ผ้าห่มผืนสุดท้าย" ที่ "กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)" ร่วมกับ "ซีเนริโอ" นำเสนอ เพราะถ้าดูแค่ชื่อคงพลอยเดาไปว่าจะมีแต่ฉากเค้นอารมณ์เรียกน้ำตา ไม่ก็พูดถึงคุณงามความดีของเหล่าทหารกล้าจนคล้ายสารคดี ทว่าพอเอาเข้าจริงละครพูดแนวดราม่าเรื่องนี้กลับสนุกครบรสทีเดียว
เรื่องราวเริ่มต้นที่ทหาร 3 นาย เสียชีวิตจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนใต้ ทำให้ "พลทหารท็อป (ฟรอยด์-ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์)" ต้องรับหน้าที่ลำเลียงร่างกลับสู่ญาติพี่น้อง แน่นอนว่าคนที่มาเป็นทหารเพราะถูกใบแดงบังคับอย่างเขานั้นไม่ได้สมัครใจ แถมดูถูกอยู่กลายๆ ด้วยซ้ำ นั่นเลยเป็นเหตุให้โดนทำรายงานครั้งสำคัญที่บอกเล่าเรื่องราวของนายทหารทั้งสาม
และถ้าชีวิตคนเราสำคัญตรงระหว่างทางที่กำลังเดินไปไม่ใช่ตรงจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุดความสนุกของละครเรื่องนี้ก็เช่นกัน
เพราะหลายคนน่าจะเดาได้ รวมถึงในเรื่องย่อก็เขียนอยู่ว่าเมื่อได้เข้าไปทำรายงาน จากที่ไม่ปลื้ม พลทหารท็อปค่อยๆ เรียนรู้ถึงความรัก ความเสียสละ และความจงรักภักดีต่อแผ่นดินจากเหล่าผู้กล้าจนในที่สุดก็ยินดีทำหน้าที่นี้ด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเรื่องราวระหว่างกลางที่พาย้อนไปยังอดีตของทหารทั้ง 3 นาย นั่นล่ะน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยหนึ่งคือ พ่อผู้ถูกลูกสาววัยรุ่นหมางเมิน ต่อต้านเพราะทุ่มเทเวลาให้งานมากกว่าครอบครัว
โดย "อ้น-สราวุฒิ มาตรทอง" ที่ประเดิมงานละครเวทีครั้งแรกในบท "ผู้พันโตมร" นั้นคงไม่ต้องห่วงเรื่องฝีมือการแสดง เพราะประสบการณ์ยาวนานทำให้ตีบทแตกได้อย่างสบายๆ ไม่ว่าจะฉากดราม่ายามปะทะคารมกับลูกสาว "นิ่ม (ชาช่า รามณรงค์)" หรือฉากฮาในตอนพยายามปรับปรุงตัวให้ทันสมัยสมวัยกับลูก
เสียแต่ว่าตัวบทที่ต้องเปล่งเสียงให้ดูเข้มแข็งดุดันทำให้หลายตอนเวลาอ้นพูดจึงค่อนข้างฟังลำบากไปสักหน่อย
ส่วนเรื่องของ "หมอต่อ (จูเนียร์-กรวิชญ์ สูงกิจบูลย์) นั้นก็ดูมุ้งมิ้งไม่เบา เพราะเล่าถึงความพยายามในการพิชิตใจ "แป้ง (ดิว-อริสรา ทองบริสุทธิ์)" เพื่อนสนิทสาวสวยที่บ้าผู้ชายในเครื่องแบบทหาร แถมเขายังบ้าตามโดยการลาออกจากหมอเพื่อมาสมัครเป็นทหารหวังเอาใจเธอ
ขณะที่ส่วนของ "หมวดป้อง (โอ-อนุชิต สพันธุ์พงษ์)" และ "หมวดเป้ (อ้น-กรกฎ ตุ่นแก้ว)" ก็เป็นอีกความพยายามที่ยากไม่แพ้กัน เพราะต้องเกลี้ยกล่อม หลอกล่อและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ "แม่พิศ (เหมี่ยว-ปวันรัตน์ นาคสุริยะ)" เชื่อมั่นว่าชายแดนใต้ปลอดภัยและยอมกลับไปอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็เกี่ยงกันกลับไปดูแลแม่ ด้วยต่างฝ่ายอยากเสียสละเพื่อให้อีกคนปลอดภัย
ดูแล้วทั้งหมดทั้งมวลของละครเวทีเรื่องนี้คือ การสะท้อนชีวิตทหารชายแดนใต้ในแง่มนุษย์ปุถุชนทั่วไป มีความรัก หัวเราะได้ ร้องไห้เป็น รักตัวกลัวตาย แต่ด้วยหน้าที่ทำให้เขากล้ายอมพลีชีพเพื่อปกป้องคนในชาติ คนในครอบครัวที่อยู่แนวหลัง
และแม้ประเด็นจะค่อนข้างดราม่า แต่อย่างที่ย้ำไปตอนต้นว่าเรื่องนี้สนุกครบรส โดยเฉพาะความฮาที่นอกจากยกความดีให้ผู้กำกับ "สันติ ต่อวิวรรธน์" และ "เกลือ-กิตติ เชี่ยววงศ์กุล" คนเขียนบท ยังต้องปรบมือให้เหล่านักแสดงทั้งตัวหลักและสมทบ ซึ่งบางคนเล่นน้อย แต่ได้มาก เข้าข่ายขโมยซีนกันเห็นๆ
ซึ่งใครอยากพิสูจน์ว่าสนุกจริงดังว่าไหม ยังมีรอบแสดงให้ชมกันถึงวันที่ 3 เม.ย. ณ เมืองไทยรัชดาลัยเธียร์เตอร์ บัตรมีจำหน่ายที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร 0-2262-3456
อ้อ.. อย่าลืมเตรียมทิชชู่ไปเผื่อไว้
"เพราะถ้าไม่หัวเราะร่าจนน้ำตาไหล ก็อาจเสียน้ำตาด้วยความภาคภูมิใจให้แก่ทหารกล้าทุกนายที่ชายแดน"
ที่มา : นสพ.มติชน