ผจญภัยสุดขอบฟ้า

ผจญภัยสุดขอบฟ้า


หลังจากออกจากงานประจำมาได้พักใหญ่ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัดเจนคือสุขภาพร่างกายของผมที่อ่อนแอลง มีหวัดเล็กๆน้อยๆ จาม มีน้ำมูกตลอดเวลาโดยเฉพาะช้วงเช้าและช่วงเย็น(ค่ำ) ไม่เวียนหัว มีแค่น้ำมูกอย่างเดียวจริงๆ ทิชชูหมดเป็นม้วนๆในหนึ่งวัน หลายคนบอกว่ามันคืออาการของคนแพ้อากาศ จะจาม ขัดจมูก มีน้ำจูก ในช่วงเปลี่ยนอุณหภูมิในเวลาสั้นๆ (ช่วงเช้าและช่วงเย็น)

เภสัชฯขายยาแนะนำว่า"ออกกำลังกายให้เหงื่อออกสักหน่อย" ผมก็ยังแปลกใจ เพราะเราเองก็เข้าสวนทุกวันเหนือยสุดๆ เหงื่อออกเยอะมาก "มันยังไม่พอเหรอ ครับ" พี่เภสัชอธิบายต่อว่ามันสำคัญที่ว่าหัวใจสูบซีดเลือดถ่ายเทออกซิเจนได้ดีแค่ไหน แล้วไวรัสที่มากับไข้ก็จะหายไปเอง โอเค เข้าใจคอนเซฟของมันแล้ว



ทิ้งระยะไว้ 3 เดือนกว่าจะเอาชนะความเกียจครานของตัวเองได้ วันนี้ควรจะเริ่มวิ่งออกกำลังกายได้สักที "จะไปวิ่งที่ไหนดีละ" วิ่งไปสวนสุขภาพของหมูบ้านระหว่างต้องสูดอากาศที่มีแต่ควันพิษจากรถเยอะแยะบนถนนใหญ่ไม่ดีแน่ๆ "เอาไงดี" จะผลัดวันอีกก็ละอายใจตัวเองเพราะพลัดมา 3 เดือนแล้ว "อ่อ ใช่ ป่ายาง ใกล้ๆบ้านก็ได้นี่หว่า" แต่ฟ้ามืดอย่างนี้ในป่าก็ยิ่งมืดเข้าไปใหญ่มันดุน่ากลัวพิลึก "แต่ไม่เป็นไรหรอก น้าๆ ยายๆ เขาก็ยังเข้าไปตัดยางตี3ตี4ได้เลย"

ป่าหลังบ้านผม เป็นสวนยางของพี่น้องของตาผมเอง มีพื้นทีค่อนข้างเยอะจนเกือบจะเป็นป่าลึกทึบ แต่ผมก็คุ้นเคยมากเพราะผมกับเพื่อนๆก็วิ่งเล่นกับอยุ่ในป่ายางนี่ในสมัยเด็กๆ แต่มันก็ไม่ได้เข้าไปเกือบ 10 ปีแล้วมีอะไรจะเปลี่ยนไปบางก็ไม่รู้ ยิ่งมืดยิ่งเงียบยิ่งน่ากลัว ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ได้มีเสือหรือหมาป่าล่าคนแต่ยอมรับกว่ามันน่ากลัวมากจริง

แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าวันนี้ต้องเริ่มวิ่งออกกำลังกาย ผมถอดแว่น ใส่ชุดพร้อมออกกำลังกาย วิ่งเข้าป่ายางที่มืดกว่าที่คิด ต้นยางแต่ละต้นก็ดูมีอำนาจ ห่างกันพอมีระยะเป็นระเบียบเกินไปจนสามารถจินตาการได้ว่าต้องมีตัวอะไรที่ลี้ลับหลบอยุ่ ใบไม้ไหวสบัดกับลมเป็นเหมือนฉากที่บังคับให้เราเงยหน้ามองหาสิ่งแปลกปลอม ใจผมเองระแวงไปทุกอย่าง เหมือนจะมีตัวอะไรแอบมองหาโอกาศเข้ามาทำร้ายตอนเราเผลอ

ให้ตายเถอะ!! ผมคิดอย่างนี้กับผื้นป่าที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กอย่างนี้ได้ยังไง


ผมวิ่งมาเรื่อยๆหยุดลงที่เนินสูงคล้ายเวทียกสูงกลางป่าที่มีแสงสีส้มของพระอาทิตย์ตกลงมาพอดิบพอดี ติดกันมีคลองกว้างยาวไปถึงสุดเขตของป่า ผมยืดตัว ยืดแขนขา กระโดดตบได้เกือบ 20 นาที ผมกลับตัวหลับเข้าในป่า พักร่างกาย และมองเข้าไปในป่าจากภาพรวมก็มองย่อยลงมาเป็นในแต่ละบริเวณ

เรื่องราวกิจกรรมสนุกๆของแก๊งส์นักผจญภัยวัยเด็กของผมก็ถูกเรียกออกมา


ต้นไม้แถวๆนั้นเคยปีนกระโดดไปมาแข่งขัน สร้างฐานทัพบนตันไม้ ทางขวามือเคยตั้งกับดักสัตว์ทั้งไก่ป่าและหมูเถื่อน หลายจุดที่วิ่งหนีงูเห่าและงูตัวใหญ่ที่ระบุสายพันธ์ไม่ได้(เพราะยังเด็กอยู่) กองไผ่ข้างคลองเคยตัดเอามาทำว่าวควาย ว่าวจุฬา บริเวณสุดขวามือของป่าตรงนั้นเคยช่วยกันขุดหัวมันมาเผากินกัน ดินแถวๆนั้นเคยขุดไส้เดือนเอาไปเป็นเหยือตกปลาในสระดินทั้ง4 บ่อก็เคยลงเล่นน้ำ ว่ายน้ำและดำน้ำแข่งกัน ดักไซร้ ทอดแห กัน ตกปลา ย่างปลากินกัน เส้นทางวิบากตรงนั้นที่เคยขี่รถจักยานแข่งกัน

ผมกระโดดเต้นๆตามจังหวะเพลงร็อคที่ดังออกมาจากหูฟัง ตอนนี้ผมไม่กลัวอะไรในป่าผื้นนี้อีกแล้ว ความทรงจำดีๆมันลบความรู้สึกกลัวจากความมืดไดด้อย่างดี ผมดีใจที่ได้กลับมาวิ่งออกกำลังกายในที่ที่ผมใช้เวลาในวัยเด็กคลุกคลี่ด้วย รู้สึกได้ว่ามันช่างเป็นป่าใหญ่ที่รุ้สึกปลอดภัย และค่อนข้างจะมีคุณค่าทางจิตใจสำหรับผม(เพิ่งรู้ตัว)และเพื่อนๆที่ตอนนี้ต่างแยกย้ายไปนานและไม่ได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่ แต่ผมยังจำทุกคนในวัยนั้นได้ กุ้ง กอย(รุ่น1) โบเต้ โตโต ตุ๊ก(รุ่น2) ตั๊ก เดียว ตุ๊กตา(รุ่น3) และ ช้างที่เข้ามาช่วงท้ายๆ(ช้างเป็นลูกพี่ลูกน้องบ้านติดกัน)

ผมวิ่งเข้าไปที่บ้านร้างบริเวณสุดป่าอีกฝั่งที่เคยเป็นบ้านของเพื่อนๆทั้งสามรุ่น มันคือบ้านที่ไม่มีไฟฟ้าในช่วงแรกๆ(เพื่อนรุ่น1) ในช่วงกลางคืนจะจุดไฟจากตะเกียงถ่านหินเอา พ่อของกุ้งกับก้อย จะชอบอ่านหนังสือการ์ตูนย์ไทยเล่มบางๆ(เล่มละ10บาท)ให้ลูกๆฟังตลอด ผมเองก็พลอยนั่งฟังไปด้วย มีทั้งเรื่องผีสางนางไม้ อาถรรพ์เรื่องลีล้อต่างๆ สองเรื่องต่อคืน หลังจากฟังจบทุกคืน ผมก็ต้องวิ่งผ่านป่ามืดกลับบ้านทุกๆวัน มันเป้นความทรงจำที่สุดคลาสสิดอีกอย่างในชีวิต

ผมวิ่งมาเกือบ 40 นาทีแล้วฟ้าเริ่มมืดลงกว่าเก่ามาก ผมเริ่มคูลดาวน์ร่างกายตัวเองในความมืด ไหว้ศาลพระภมิที่ติดกับบ้านร้าง เดินออกจากบ้านกลับบ้านอย่างสบายใจ ไม่มีคำว่ากลัวให้เคลือบแคงใจอีกแล้ว และป่าใหญ่นี้ก็คงรู้สึกดีใจที่ผมกลับมาเหมือนกัน

วันรุ่งขึ้นผมถือโอกาสเข้าไปขับรถมอไซต์เล่นแข่งทางวิบากกันกับช้าง ขึ้นลงตางร่องยาง หลบกิ่งไม้เล็กใหญ่ ซิกแซกซ้ายขวาหลบโน้นนี่ที่ขว้างทาง(มันส์จริงๆ) ผม ช้าง นุ๊ก มาจอดรถพักเนินดินที่ผมอยู่เมื่อวาน

ช้างก็เล่าเรื่องราวสมัยเด็กช่วงที่น้าเทศ พ่อของตั๊ก เดียว (รุ่น3) พาพวกเราไปเดินป่าลึก(ป่าอีกทีหนึ่ง)เพื่อไปหาอะไรสักอย่าง ระหว่างทางแกชี้ไปที่ใต้ต้นสักใหญ่ที่มีหญ้าราบเกิดจากการนั่งทับเเป็นเวลานาน แกบอกพวกเราว่า "เสือหลับอยุ่ตรงนั้น เมื่อคืน ให้เดินเกาะกลุ่มกันไว้" ภาพวันนั้นโผ่ลมาในหัวผมทันที ตอนนั้นพวกเรากลัวกันจริงๆ แต่จริงๆแกหลอกเราเล่นๆเพื่อไม่ให้หลงป่าแตกกลุ่มกันเฉยๆ เรื่องราวสนุกๆปนผจญภัยของเด็กนอกเมื่องของพวกเรามีกันเยอะจริงๆ เล่ากันได้หลายเรื่องไม่จบไม่สิ้นจริงๆครับ

ขุน พรหมเพชร
31/12/56 - 1/1/57
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่