[บทความพิเศษ] ยกเลิกข้อหา “ประมาท” กันดีไหม? เผื่อคนไทยจะ “ระมัดระวัง-รอบคอบ” กันมากขึ้น
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com , tonymao.nk@gmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
.
“ไฟนั้นมีธรรมชาติคือความร้อน ส่วนน้ำนั้นมีธรรมชาติคือความเย็น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงจมน้ำตายมากกว่าถูกไฟคลอกตาย”
.
ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าคำกล่าวนี้มาจากไหน จำได้แต่เพียงว่าเคยอ่านเจอสมัยเป็นวัยรุ่นสักเกือบๆ สิบปีมาแล้ว ผู้ที่ยกประโยคนี้มาเขาอธิบายว่า มนุษย์แม้จะคุ้นเคยกับไฟ ใช้ไฟในกิจกรรมต่างๆ แต่เพราะไฟนั้นมีความร้อน มนุษย์จึงสอนกันว่าให้ใช้ไฟอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาทเลินเล่อคึกคะนอง ดังคำเตือนที่ว่า
“อย่าเล่นกับไฟ” เพราะถ้าพลาดมา แค่เบาะๆ ถูกไฟลวกก็ร่างกายเป็นแผล ถ้าหนักๆ ก็ถูกไฟคลอกถึงขั้นเสียชีวิต แต่น้ำนั้นมีความเย็น ( ตราบใดที่ไม่เอามันไปต้มให้อุ่นหรือร้อน ) มนุษย์จึงมักประมาทเลินเล่อเมื่อทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับน้ำ เราจึงเห็นอุบัติเหตุจากน้ำได้เรื่อยๆ เช่น วัยรุ่นคะนองท้าแข่งกันว่ายข้ามแม่น้ำ หรือท้ากระโดดจากสะพานหรือหน้าผาสูงลงแม่น้ำแล้วก็จมน้ำตายกันเรื่อยๆ ที่สำคัญเราไม่มีคำสอนว่าอย่าเล่นกับน้ำ เพราะเราต่างก็รู้ว่าจมน้ำถ้าช่วยทันก็ไม่เป็นอะไร ไม่เหมือนไฟไหม้ที่ถึงไม่ตายก็เสียโฉม
.
บทสรุปของเรื่องนี้..คำสอนดังกล่าวมีข้อคิดอยู่ว่า
“เพราะเห็นว่าโทษมันเบาไป คนจึงย่ามใจทำผิดมากขึ้น”
.
1-2 ปีมานี้ ผู้เขียนเห็นประเด็นที่คนสมัยนี้ชอบเรียกว่า
“ดราม่า” ว่าด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และหลายครั้งสาเหตุมาจากการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาแล้วไปขับขี่ยานพาหนะ ความน่าสนใจมันอยู่ที่ข้อขัดแย้งของคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือบรรดามวลมหาประชาชนทั่วๆ ไปที่ออกอาการ
“โกรธเกรี้ยว-เจ็บแค้น” ทุกครั้งที่เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้น และต้องการให้เปลี่ยนความผิดฐานเมาแล้วขับหากทำอันตรายกับผู้อื่น จาก “ประมาท” เป็น “เจตนา” โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อทุกคนต่างก็รู้ว่าการดื่มสุราทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง ดังนั้นการที่ยังฝืนไปขับก็เท่ากับว่าคุณมีเจตนาทำร้ายผู้อื่น กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีความรู้หรือมีความสนใจทางกฎหมายไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่ได้เรียนมา บอกว่า “ไม่สามารถทำได้” เพราะมันจะทำให้เกิดความยุ่งเหยิงกันไปหมด เช่น ง่วงแล้วยังฝืนขับจะถือว่าเจตนาไหม? ไม่ชำนาญทางแล้วขับจะถือว่าเจตนาไหม? สภาพรถไม่สมบูรณ์ยังเอาออกมาขับถือว่าเจตนาไหม? ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมมันก็ไม่ได้ต่างจากเมาแล้วขับ เพราะรู้อยู่ว่าสิ่งที่จะทำมีแนวโน้มก่ออุบัติเหตุ แต่ก็ยังฝืนทำไปแล้วก็ไปชนคนบาดเจ็บล้มตาย
.
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายกันก่อน ประมวลกฎหมายอาญา กล่าวถึงความผิดฐานประมาทไว้ใน มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท [1] และความผิดใน มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ [2]
.
ส่วนคำว่า “ประมาท” คืออะไร?..ตามพจนานุกรมให้นิยามไว้ดังนี้ ประมาท = กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ [3] ขณะที่คำว่า “เจตนา”..ตามพจนานุกรมให้นิยามไว้ดังนี้ เจตนา = ความตั้งใจ ความจงใจ ความมุ่งหมาย [4]
.
แน่นอนว่าถ้าเจตนาฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 โทษจะหนักถึงขั้น “ประหารชีวิต , จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี” [5]
.
ถึงตรงนี้ผู้เขียนจะขอยก 2 กรณีเปรียบเทียบกัน เรื่องแรกคือกรณีคน 2 กลุ่มมีเรื่องกัน วันหนึ่งสมาชิกกลุ่ม A ผ่านมาเจอสมาชิกกลุ่ม B รายหนึ่งที่เป็นคู่อริ จึงชักอาวุธปืนจะยิง แล้วทั้ง 2 กลุ่มเกิดการยิงต่อสู้กัน แต่เคราะห์ร้ายกระสุนดันไปถูกคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตคาที่ คดีแบบนี้ตำรวจจะตั้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา” [6] [7] กับอีกเรื่องหนึ่ง ในวันเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง นาย A ใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ไม่ได้เล็งไปหาใครแม้แต่คนเดียว แต่กระสุนดันลอยไปตกใส่บ้านคนที่ห่างออกไป และมีผู้เคราะห์ร้ายถูกกระสุนที่ว่าจนเสียชีวิต คดีแบบนี้ตำรวจจะตั้งข้อหา “กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต” [8] [9]
.
ทีนี้แน่นอนว่าเมาแล้วขับก็ดี ยิงปืนขึ้นฟ้าก็ดี ถ้าจะตีความให้เป็นเจตนาหรือเจตนาเล็งเห็นผลทำได้ไหม? คำตอบคือมันก็เป็นไปได้ เพราะผู้กระทำย่อมรู้อยู่แล้วว่าเมื่อคุณดื่มแล้วไปขับรถ หรือคุณยิงปืนขึ้นฟ้า คุณมีโอกาสทำให้คนอื่นเจ็บหรือตายได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่อง “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ข่าวก็ออกโครมๆ มีการอธิบายเป็นหลักวิชาการครบถ้วน แต่ปัญหาคือ..ถ้าเราทำให้ 1-2 กรณีนี้เป็นเจตนา กรณีอื่นๆ ที่คล้ายกันแต่ยังเป็นความผิดฐานประมาท ก็จะโดนตั้งคำถามว่ามันต่างกันอย่างไร? เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว เมืองไทยมีกรณี “รู้ว่าอันตรายแต่ก็ยังทำ” อยู่มากมาย
( มีต่อ )
[บทความพิเศษ] ยกเลิกข้อหา “ประมาท” กันดีไหม? เผื่อคนไทยจะ “ระมัดระวัง-รอบคอบ” กันมากขึ้น
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com , tonymao.nk@gmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
.
“ไฟนั้นมีธรรมชาติคือความร้อน ส่วนน้ำนั้นมีธรรมชาติคือความเย็น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนถึงจมน้ำตายมากกว่าถูกไฟคลอกตาย”
.
ผู้เขียนจำไม่ได้ว่าคำกล่าวนี้มาจากไหน จำได้แต่เพียงว่าเคยอ่านเจอสมัยเป็นวัยรุ่นสักเกือบๆ สิบปีมาแล้ว ผู้ที่ยกประโยคนี้มาเขาอธิบายว่า มนุษย์แม้จะคุ้นเคยกับไฟ ใช้ไฟในกิจกรรมต่างๆ แต่เพราะไฟนั้นมีความร้อน มนุษย์จึงสอนกันว่าให้ใช้ไฟอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาทเลินเล่อคึกคะนอง ดังคำเตือนที่ว่า “อย่าเล่นกับไฟ” เพราะถ้าพลาดมา แค่เบาะๆ ถูกไฟลวกก็ร่างกายเป็นแผล ถ้าหนักๆ ก็ถูกไฟคลอกถึงขั้นเสียชีวิต แต่น้ำนั้นมีความเย็น ( ตราบใดที่ไม่เอามันไปต้มให้อุ่นหรือร้อน ) มนุษย์จึงมักประมาทเลินเล่อเมื่อทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับน้ำ เราจึงเห็นอุบัติเหตุจากน้ำได้เรื่อยๆ เช่น วัยรุ่นคะนองท้าแข่งกันว่ายข้ามแม่น้ำ หรือท้ากระโดดจากสะพานหรือหน้าผาสูงลงแม่น้ำแล้วก็จมน้ำตายกันเรื่อยๆ ที่สำคัญเราไม่มีคำสอนว่าอย่าเล่นกับน้ำ เพราะเราต่างก็รู้ว่าจมน้ำถ้าช่วยทันก็ไม่เป็นอะไร ไม่เหมือนไฟไหม้ที่ถึงไม่ตายก็เสียโฉม
.
บทสรุปของเรื่องนี้..คำสอนดังกล่าวมีข้อคิดอยู่ว่า “เพราะเห็นว่าโทษมันเบาไป คนจึงย่ามใจทำผิดมากขึ้น”
.
1-2 ปีมานี้ ผู้เขียนเห็นประเด็นที่คนสมัยนี้ชอบเรียกว่า “ดราม่า” ว่าด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และหลายครั้งสาเหตุมาจากการดื่มเครื่องดื่มมึนเมาแล้วไปขับขี่ยานพาหนะ ความน่าสนใจมันอยู่ที่ข้อขัดแย้งของคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือบรรดามวลมหาประชาชนทั่วๆ ไปที่ออกอาการ “โกรธเกรี้ยว-เจ็บแค้น” ทุกครั้งที่เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้น และต้องการให้เปลี่ยนความผิดฐานเมาแล้วขับหากทำอันตรายกับผู้อื่น จาก “ประมาท” เป็น “เจตนา” โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อทุกคนต่างก็รู้ว่าการดื่มสุราทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง ดังนั้นการที่ยังฝืนไปขับก็เท่ากับว่าคุณมีเจตนาทำร้ายผู้อื่น กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีความรู้หรือมีความสนใจทางกฎหมายไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่ได้เรียนมา บอกว่า “ไม่สามารถทำได้” เพราะมันจะทำให้เกิดความยุ่งเหยิงกันไปหมด เช่น ง่วงแล้วยังฝืนขับจะถือว่าเจตนาไหม? ไม่ชำนาญทางแล้วขับจะถือว่าเจตนาไหม? สภาพรถไม่สมบูรณ์ยังเอาออกมาขับถือว่าเจตนาไหม? ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมมันก็ไม่ได้ต่างจากเมาแล้วขับ เพราะรู้อยู่ว่าสิ่งที่จะทำมีแนวโน้มก่ออุบัติเหตุ แต่ก็ยังฝืนทำไปแล้วก็ไปชนคนบาดเจ็บล้มตาย
.
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเรื่องกฎหมายกันก่อน ประมวลกฎหมายอาญา กล่าวถึงความผิดฐานประมาทไว้ใน มาตรา 291 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองหมื่นบาท [1] และความผิดใน มาตรา 300 ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ [2]
.
ส่วนคำว่า “ประมาท” คืออะไร?..ตามพจนานุกรมให้นิยามไว้ดังนี้ ประมาท = กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ [3] ขณะที่คำว่า “เจตนา”..ตามพจนานุกรมให้นิยามไว้ดังนี้ เจตนา = ความตั้งใจ ความจงใจ ความมุ่งหมาย [4]
.
แน่นอนว่าถ้าเจตนาฆ่าคนตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 โทษจะหนักถึงขั้น “ประหารชีวิต , จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี” [5]
.
ถึงตรงนี้ผู้เขียนจะขอยก 2 กรณีเปรียบเทียบกัน เรื่องแรกคือกรณีคน 2 กลุ่มมีเรื่องกัน วันหนึ่งสมาชิกกลุ่ม A ผ่านมาเจอสมาชิกกลุ่ม B รายหนึ่งที่เป็นคู่อริ จึงชักอาวุธปืนจะยิง แล้วทั้ง 2 กลุ่มเกิดการยิงต่อสู้กัน แต่เคราะห์ร้ายกระสุนดันไปถูกคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตคาที่ คดีแบบนี้ตำรวจจะตั้งข้อหา “ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา” [6] [7] กับอีกเรื่องหนึ่ง ในวันเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง นาย A ใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ไม่ได้เล็งไปหาใครแม้แต่คนเดียว แต่กระสุนดันลอยไปตกใส่บ้านคนที่ห่างออกไป และมีผู้เคราะห์ร้ายถูกกระสุนที่ว่าจนเสียชีวิต คดีแบบนี้ตำรวจจะตั้งข้อหา “กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต” [8] [9]
.
ทีนี้แน่นอนว่าเมาแล้วขับก็ดี ยิงปืนขึ้นฟ้าก็ดี ถ้าจะตีความให้เป็นเจตนาหรือเจตนาเล็งเห็นผลทำได้ไหม? คำตอบคือมันก็เป็นไปได้ เพราะผู้กระทำย่อมรู้อยู่แล้วว่าเมื่อคุณดื่มแล้วไปขับรถ หรือคุณยิงปืนขึ้นฟ้า คุณมีโอกาสทำให้คนอื่นเจ็บหรือตายได้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่อง “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” ข่าวก็ออกโครมๆ มีการอธิบายเป็นหลักวิชาการครบถ้วน แต่ปัญหาคือ..ถ้าเราทำให้ 1-2 กรณีนี้เป็นเจตนา กรณีอื่นๆ ที่คล้ายกันแต่ยังเป็นความผิดฐานประมาท ก็จะโดนตั้งคำถามว่ามันต่างกันอย่างไร? เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว เมืองไทยมีกรณี “รู้ว่าอันตรายแต่ก็ยังทำ” อยู่มากมาย
( มีต่อ )