พิสูจน์ให้ฉันเห็นหน่อยสิว่าเธอมีอะไรอยู่ในตัว ....
เขาวางบล็อกไม้สีชมพูเอาไว้บนยอดสูงสุดของโครงร่างคล้ายหอคอยนั้น แถมเป่าเสียอีกหนึ่งที .... บล็อกไม้สีชมพูนั้นขยับไปตามแรงเป่านิดหน่อยแต่ก็มิได้ร่วงลงพื้นมาแต่อย่างใด รอยยิ้มมีเลศนัยจุดที่มุมปากของจีเหวินข่าย "ถ้าเธอรอดจากที่ตรงนั้นมาได้ก็แปลว่ามีของละนะ" ถึงถ้อยคำจะดูเหมือนเป็นการท้าทาย แต่สีหน้าไม่ใช่การท้าทายแต่อย่างใด หากเป็นร้อยยิ้มที่จุดขึ้นด้วยความมั่นใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดรอบตัวผู้หญิงคนนั้น "จงหยูถัง" เขามั่นใจว่าเธอจะต้องผ่านความระหกระเหินนั้นไปได้
หลังจากทำการวิเคราะห์โปรไฟล์พนักงานในแผนกขายสามทั้งหมดแล้ว จีเหวินข่ายพบว่า พนักงานแต่ละคนในแผนกนั้น "ครั้งหนึ่ง" เคยเป็น "ดาวเด่น" ของบริษัท หากด้วยเหตุอันใดไม่ปรากฎ พวกเขาถูกอัปเปหิมาลงมาทีนี่ และเหตุผลอันใดไม่ปรากฎเช่นกันที่ drive ในการทำงานหายไป เขาเหล่านั้นสุดท้ายเลิกทุ่มเททำงาน และ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมไป เหวินข่ายคำนวณในใจว่าทีมรวมคนเคย "เด่น" นั้นครบถ้วนแล้วสำหรับงาน "ขาย" แต่ละคนนั้นมีความ "เชี่ยวชาญ" ที่ซุกซ่อนอยู่ เหลือแต่ตัวกระตุ้นซึ่งก็ฝากความหวังไว้ที่ "จงหยูถัง" ศัตรูที่รักคนเก่าคนเดิมนี่แหละ
ทำไมต้องเป็น "จงหยูถัง" ครึ่งหนึ่งมันคือการแก้แค้น (แบบเด็ก ๆ) เขาเคยโดนอย่างไรเขาก็กลับมาทำกับเธอแบบนั้น แต่สังเกตว่ามันแค่เรื่องราวเอาแสบ ๆ คัน ๆ ไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย สมัยมัธยมเธอแกล้งเขาเป็นลูกไล่แต่สิ่งที่เธอทำไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตให้ใครต้องเสียอนาคต เป็นสงครามแบบเด็กน้อยเขาทำกันให้เจ็บจิ๊ด ๆ พอรำคาญ และ ลงท้ายด้วยการที่จีเหวินข่ายต้องเลี้ยงไอติมสาวน้อยจงหยูถังหนึ่งถ้วย อีกส่วนเสี้ยวหนึ่งมันก็คือแผนที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เขาประเมินเธอไม่ผิดไปจากที่พูด สาวน้อยไฟแรงที่ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยมัธยมแม้แต่น้อย เธอคนที่พูดอย่างที่คิด เธอคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แต่เธอยังสามารถจะดีได้กว่านี้ เก่งได้กว่านี้ เป็น .... ได้มากกว่านี้ ความพลาดพลั้งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นได้ว่าเธอต้องการการขัดเกลา
ประจวบเหมาะกับที่เขาต้องการตัวกระตุ้นซอมบี้ในแผนก 3 อยู่พอดี หวยจึงมาออกที่หยูถังอย่างช่วยไม่ได้ เธอจึงต้องเป็นคนที่รับแรงกดดันมากกว่าใครในทีม เธอจึงต้องเป็นคนที่วิ่งวุ่นกว่าใครในทีม เพราะนิสัยรับผิดชอบ นิสัยที่จะไม่อยู่นิ่งเฉย และ "ไฟ" ในตัวที่มันยังไม่มอดดับ ทำให้คนที่รับเละจากทั้งคนในแผนก และ CEO ก็คือเธอ "พิสูจน์ให้เห็นหน่อยสิว่าเธอมีอะไรอยู่ในตัว" คำ ๆ นี้เป็นแรงผลักดันให้หยูถังก้าวไปแม้หัวใจจะฝ่อลงไปมาก ในการนี้เหวินข่ายคงคาดการณ์ไว้แล้วนั่นแหละว่าหยูถังน่าจะได้เจอกับ "อะไร" บ้าง แต่เขาจะเคยคิดหรือไม่ว่าสถานการณ์มันอาจ out of hand พังเพยโบราณยังมีคำว่า "หมาจนตรอก" เมื่อไหร่ไม่มีทางไป สิ่งที่เลือกทำอาจทำร้ายคนอื่น และ อาจจะเป็นการทำร้ายตัวเองด้วย
ปัญหาคือ "เขา" รับไหวไหม หากแรงกดดันมันเกินจะคาดคำนวณแล้วทำให้จงอยูถังพังทลาย
นาทีนี้หยูถังโดนบีบทุกทิศทาง ทั้งตรงและอ้อม ที่บ้านไม่มีใครรู้ว่าหยูถังคนเก่งโดนลดขั้นมาเป็นพนักงานแผนกขาย ทุกคนรู้เพียงว่าการงานของเธอมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น (ไม่ใช่จากใครก็ CEO เจ้าเดิมที่ล้อกันเล่น ๆ แต่เอาจริง) ณ ที่ทำงานสรรพสิ่งสรรค์ล้วนมุ่งตรงมาที่เธอ โดยที่เธอไม่สามารถจะถาม หรือ หาคำตอบจากใครได้เลย ทุกคนปล่อยวางหน้าที่กันหมดแล้ว ไม่นับ CEO ที่ทำให้เธอหนาว ๆ ร้อน ๆ ว่าเวรอะไรจะลงหัวมาอีก และ ไม่นับแรงกดดันทางอ้อมที่เธออดไม่ได้ที่จะต้องเปรียบเทียบตัวเองกับเลขาฯส่วนตัวมากความสามารถของจีเหวินข่าย ที่ในที่สุดแล้วก็เหมือนโดนตอกหน้ากันตรง ๆ ว่าเธอนั้นมัน loser ตัวจริง
ที่ยังทำงานได้โดยไม่สติแตกก็นับว่าประสาทแข็งได้ที่แล้วนะ
และเมื่อสูดหายใจลึก ๆ ผนึกลมปราณว่าฉันจะเริ่มต้นใหม่กับ "งานขาย" โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ "งานขาย" แม้แต่น้อย เธอไปพบคู่ค้ารายใหญ่คนหนึ่งเพื่อเจรจาต่อสัญญาแต่กลับถูกอัดใส่หน้าว่าสัญญากำลังจะถูกยกเลิก .... จะมีอะไรพังไปกว่านี้อีกหรือไม่ หยดน้ำหนึ่งแห่งความเห็นใจก็เหือดหายไปเมื่อเธอพบว่าใต้ทีท่าเป็นมิตรของจีเหวินข่าย เธอกลับต้องเดินตามเกมส์ของเขาอย่างไม่มีทางเลือก อย่างยอมจำนน อย่างเป็นผู้แพ้ ความกดดันเพิ่มขึ้นเกือบติดเพดานเมื่อเธอพบว่าแผนกขาย 3 ได้รับโปรเจคสำคัญที่จำต้องทำให้สำเร็จภายใน 3 เดือน
ไม่อย่างนั้นเอกสารแผ่นสุดท้ายที่คุณจะลงชื่อคือใบลาออก ... CEO คนเก่งของเราว่าไว้แบบนั้น
คู่ค้าคนสำคัญจะยกเลิกสัญญา งานใหม่ก็เข้ามา แต่แผนกจะนำพาต่อข่าวนี้หรือก็หาไม่ ทุกคนผลักภาระให้เด็กใหม่สองคนในแผนก และก็มีเพียงเธอที่ดิ้นแล้วดิ้นอีกเพื่อจะทำงานให้เสร็จ นี่แหละ สถานการณ์ที่กำลังบอกว่ามันเริ่ม out of hand แรงกดดันที่จีเหวินข่ายใส่ลงไป กำลังทำให้ "จงหยูถัง" กลายเป็น "หมาจนตรอก" นอกจากจะต้องตามทวงลูกค้าเดิมคืน เธอยังต้องดีลงานใหม่ด้วย และ เมื่อเวลาไม่เหลือให้สร้าง co operation กับใคร ทางเลือกเดียวที่คนไฟแรงสูง และ ความรับผิดชอบจดเพดานอย่างเธอจะทำคือการโอบรับทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง หรือ แผนก แต่เพราะ "งาน" มันต้องมีคนทำ และ "งาน" มันต้องเสร็จ เมื่อประสบการณ์มีอยู่ไม่มาก ความรู้มีอยู่ไม่มาก ทางเลือกก็ย่อมมีอยู่ไม่มากเช่นเดียวกัน
Can you or Can you not do it ?
เธอจะทำได้หรือไม่ได้ ? จงหยูถัง
Can you or Can you not handle it ?
เธอจะรับ consequence ที่ตามมาได้หรือไม่ได้ ? จีเหวินข่าย
สองคำถามนี้แหละที่สำคัญ "ได้ หรือ ไม่ได้ ?"
後菜鳥的燦爛時代 Refresh Man (กึ่งรีวิวตอนที่ 2) : Can you or Can you not ? กับ วิชาการขาย 101
เขาวางบล็อกไม้สีชมพูเอาไว้บนยอดสูงสุดของโครงร่างคล้ายหอคอยนั้น แถมเป่าเสียอีกหนึ่งที .... บล็อกไม้สีชมพูนั้นขยับไปตามแรงเป่านิดหน่อยแต่ก็มิได้ร่วงลงพื้นมาแต่อย่างใด รอยยิ้มมีเลศนัยจุดที่มุมปากของจีเหวินข่าย "ถ้าเธอรอดจากที่ตรงนั้นมาได้ก็แปลว่ามีของละนะ" ถึงถ้อยคำจะดูเหมือนเป็นการท้าทาย แต่สีหน้าไม่ใช่การท้าทายแต่อย่างใด หากเป็นร้อยยิ้มที่จุดขึ้นด้วยความมั่นใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดรอบตัวผู้หญิงคนนั้น "จงหยูถัง" เขามั่นใจว่าเธอจะต้องผ่านความระหกระเหินนั้นไปได้
หลังจากทำการวิเคราะห์โปรไฟล์พนักงานในแผนกขายสามทั้งหมดแล้ว จีเหวินข่ายพบว่า พนักงานแต่ละคนในแผนกนั้น "ครั้งหนึ่ง" เคยเป็น "ดาวเด่น" ของบริษัท หากด้วยเหตุอันใดไม่ปรากฎ พวกเขาถูกอัปเปหิมาลงมาทีนี่ และเหตุผลอันใดไม่ปรากฎเช่นกันที่ drive ในการทำงานหายไป เขาเหล่านั้นสุดท้ายเลิกทุ่มเททำงาน และ ใช้ชีวิตไปวัน ๆ จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมไป เหวินข่ายคำนวณในใจว่าทีมรวมคนเคย "เด่น" นั้นครบถ้วนแล้วสำหรับงาน "ขาย" แต่ละคนนั้นมีความ "เชี่ยวชาญ" ที่ซุกซ่อนอยู่ เหลือแต่ตัวกระตุ้นซึ่งก็ฝากความหวังไว้ที่ "จงหยูถัง" ศัตรูที่รักคนเก่าคนเดิมนี่แหละ
ทำไมต้องเป็น "จงหยูถัง" ครึ่งหนึ่งมันคือการแก้แค้น (แบบเด็ก ๆ) เขาเคยโดนอย่างไรเขาก็กลับมาทำกับเธอแบบนั้น แต่สังเกตว่ามันแค่เรื่องราวเอาแสบ ๆ คัน ๆ ไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย สมัยมัธยมเธอแกล้งเขาเป็นลูกไล่แต่สิ่งที่เธอทำไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตให้ใครต้องเสียอนาคต เป็นสงครามแบบเด็กน้อยเขาทำกันให้เจ็บจิ๊ด ๆ พอรำคาญ และ ลงท้ายด้วยการที่จีเหวินข่ายต้องเลี้ยงไอติมสาวน้อยจงหยูถังหนึ่งถ้วย อีกส่วนเสี้ยวหนึ่งมันก็คือแผนที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เขาประเมินเธอไม่ผิดไปจากที่พูด สาวน้อยไฟแรงที่ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยมัธยมแม้แต่น้อย เธอคนที่พูดอย่างที่คิด เธอคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แต่เธอยังสามารถจะดีได้กว่านี้ เก่งได้กว่านี้ เป็น .... ได้มากกว่านี้ ความพลาดพลั้งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นได้ว่าเธอต้องการการขัดเกลา
ประจวบเหมาะกับที่เขาต้องการตัวกระตุ้นซอมบี้ในแผนก 3 อยู่พอดี หวยจึงมาออกที่หยูถังอย่างช่วยไม่ได้ เธอจึงต้องเป็นคนที่รับแรงกดดันมากกว่าใครในทีม เธอจึงต้องเป็นคนที่วิ่งวุ่นกว่าใครในทีม เพราะนิสัยรับผิดชอบ นิสัยที่จะไม่อยู่นิ่งเฉย และ "ไฟ" ในตัวที่มันยังไม่มอดดับ ทำให้คนที่รับเละจากทั้งคนในแผนก และ CEO ก็คือเธอ "พิสูจน์ให้เห็นหน่อยสิว่าเธอมีอะไรอยู่ในตัว" คำ ๆ นี้เป็นแรงผลักดันให้หยูถังก้าวไปแม้หัวใจจะฝ่อลงไปมาก ในการนี้เหวินข่ายคงคาดการณ์ไว้แล้วนั่นแหละว่าหยูถังน่าจะได้เจอกับ "อะไร" บ้าง แต่เขาจะเคยคิดหรือไม่ว่าสถานการณ์มันอาจ out of hand พังเพยโบราณยังมีคำว่า "หมาจนตรอก" เมื่อไหร่ไม่มีทางไป สิ่งที่เลือกทำอาจทำร้ายคนอื่น และ อาจจะเป็นการทำร้ายตัวเองด้วย
นาทีนี้หยูถังโดนบีบทุกทิศทาง ทั้งตรงและอ้อม ที่บ้านไม่มีใครรู้ว่าหยูถังคนเก่งโดนลดขั้นมาเป็นพนักงานแผนกขาย ทุกคนรู้เพียงว่าการงานของเธอมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น (ไม่ใช่จากใครก็ CEO เจ้าเดิมที่ล้อกันเล่น ๆ แต่เอาจริง) ณ ที่ทำงานสรรพสิ่งสรรค์ล้วนมุ่งตรงมาที่เธอ โดยที่เธอไม่สามารถจะถาม หรือ หาคำตอบจากใครได้เลย ทุกคนปล่อยวางหน้าที่กันหมดแล้ว ไม่นับ CEO ที่ทำให้เธอหนาว ๆ ร้อน ๆ ว่าเวรอะไรจะลงหัวมาอีก และ ไม่นับแรงกดดันทางอ้อมที่เธออดไม่ได้ที่จะต้องเปรียบเทียบตัวเองกับเลขาฯส่วนตัวมากความสามารถของจีเหวินข่าย ที่ในที่สุดแล้วก็เหมือนโดนตอกหน้ากันตรง ๆ ว่าเธอนั้นมัน loser ตัวจริง
และเมื่อสูดหายใจลึก ๆ ผนึกลมปราณว่าฉันจะเริ่มต้นใหม่กับ "งานขาย" โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ "งานขาย" แม้แต่น้อย เธอไปพบคู่ค้ารายใหญ่คนหนึ่งเพื่อเจรจาต่อสัญญาแต่กลับถูกอัดใส่หน้าว่าสัญญากำลังจะถูกยกเลิก .... จะมีอะไรพังไปกว่านี้อีกหรือไม่ หยดน้ำหนึ่งแห่งความเห็นใจก็เหือดหายไปเมื่อเธอพบว่าใต้ทีท่าเป็นมิตรของจีเหวินข่าย เธอกลับต้องเดินตามเกมส์ของเขาอย่างไม่มีทางเลือก อย่างยอมจำนน อย่างเป็นผู้แพ้ ความกดดันเพิ่มขึ้นเกือบติดเพดานเมื่อเธอพบว่าแผนกขาย 3 ได้รับโปรเจคสำคัญที่จำต้องทำให้สำเร็จภายใน 3 เดือน
คู่ค้าคนสำคัญจะยกเลิกสัญญา งานใหม่ก็เข้ามา แต่แผนกจะนำพาต่อข่าวนี้หรือก็หาไม่ ทุกคนผลักภาระให้เด็กใหม่สองคนในแผนก และก็มีเพียงเธอที่ดิ้นแล้วดิ้นอีกเพื่อจะทำงานให้เสร็จ นี่แหละ สถานการณ์ที่กำลังบอกว่ามันเริ่ม out of hand แรงกดดันที่จีเหวินข่ายใส่ลงไป กำลังทำให้ "จงหยูถัง" กลายเป็น "หมาจนตรอก" นอกจากจะต้องตามทวงลูกค้าเดิมคืน เธอยังต้องดีลงานใหม่ด้วย และ เมื่อเวลาไม่เหลือให้สร้าง co operation กับใคร ทางเลือกเดียวที่คนไฟแรงสูง และ ความรับผิดชอบจดเพดานอย่างเธอจะทำคือการโอบรับทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง หรือ แผนก แต่เพราะ "งาน" มันต้องมีคนทำ และ "งาน" มันต้องเสร็จ เมื่อประสบการณ์มีอยู่ไม่มาก ความรู้มีอยู่ไม่มาก ทางเลือกก็ย่อมมีอยู่ไม่มากเช่นเดียวกัน
เธอจะทำได้หรือไม่ได้ ? จงหยูถัง
Can you or Can you not handle it ?
เธอจะรับ consequence ที่ตามมาได้หรือไม่ได้ ? จีเหวินข่าย
สองคำถามนี้แหละที่สำคัญ "ได้ หรือ ไม่ได้ ?"