สวัสดีค่ะ กระทู้ที่ 2
เป็นเรื่องสมัยเป็นเด็กปี 1 ปัจจุบันปี 4 แล้ว ก่อนจะเปิด-ปิดภาคเรียนตามอาเซียน ตอนนั้นคือ เทอม1 เรียนตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม ตุลาคมเป็นช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ด้วยความที่ยังเด็ก ใฝ่เรียนรู้โลกกว้าง ก็เลยลองเข้าร่วมกิจกรรม เป็นค่ายชุมนุมจิตอาสาหนึ่ง เข้าค่ายครั้งแรกก็ดีค่ะ ได้รู้จักเพื่อน ได้รู้จักรุ่นพี่ต่างคณะ ด้วยความที่ใจเด็ดมาก เข้าร่วมอย่างมั่นค่ะ ไม่มีเพื่อนที่มาจากคณะเดียวกัน หาเพื่อนหาคนรู้จักดาบหน้า ประมาณว่ายังไม่รู้จักใครเลย ลงชื่อไว้แล้วพี่ในชุมนุมโทรมาชวนก็รับปากตอบตกลงตามนัด ครั้งแรกเข้าค่ายรับน้องเป็นธรรมเนียมของชุมนุมเขา 2 คืน 3 วัน ก็สนุกดีค่ะ กับฐานเกม ฐานผจญภัย เหมือนรับน้องทั่วไป แต่เป็นการรับน้องนอกสถานที่ จำได้ว่าวันที่ไปนั้น อยู่ในช่วงวันเข้าพรรษาค่ะ เป็นวันหยุดยาว 3 วัน ค่ายครั้งแรกไม่เจอเรื่องขนหัวลุกหรอกค่ะ
ค่ายครั้งที่2 เป็นค่ายอาสาค่ะ ออกไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์นอกสถานที่เช่นเดิม ด้วยความที่ไม่เคยไป ก็ลองไปดูสักตั้ง เป็นเรื่องที่จำฝังใจเลยทีนี้
ค่ายที่ว่าเป็นช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว เข้าค่าย 10 วันกับ 9 คืน สถานที่ตอนนั้น ขออนุญาตบอกชื่อสถานที่นะคะ โรงเรียน ตชด. บ้านหมันขาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ค่ะ สถานที่นี้ใครๆก็ขึ้นไปทำกิจกรรมกันเยอะ สวยดีนะคะอยู่ท่ามกลางหุบเขา อากาศกำลังหนาวเย็นเลย ที่สูงหนาวเร็วกว่าที่ราบต่ำ
วันแรกค่ะ ลงพื้นที่ เป็นคนแปลกหน้าของชาวบ้านค่ะ เราต้องเข้าไปหาพ่อกับแม่ กว่าจะสนิทก็เป็นวันที่สองค่ะ ลงพื้นที่คุยกับชาวบ้าน ได้ข้อมูลมาเยอะมากเลยนะคะ ถึงชาติพันธุ์ การอพยพ การนับถือศาสนา การกินอยู่ เกษตรกรรม วัฒนธรรมต่างๆ ทุกอย่างดูมีเสน่ห์ดีนะคะ (สมัยนั้นเห็นว่ากำลังริเริ่มทำการท่องเที่ยว ยังไม่ได้เจริญมาก) ไฟฟ้าเข้ามาถึงหมู่บ้านได้ยังไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ แต่ทางการของรัฐหรือแม้เอกชนก็ต่างเข้ามาช่วยเหลือเยอะแยะ หมู่บ้านนั้น โดยภาพรวมนับถือ 2 ศาสนาค่ะ พุทธกับคริสต์ (คริสต์อะไรไม่รู้ ลืมแล้วค่ะ นานแล้วเนอะ และไม่ค่อยรู้เท่าไร) คริสต์อยู่บน พุทธอยู่ล่าง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายนะคะ แต่ก็ได้เข้าไปสัมผัสทั้งสองอย่างค่ะ วันที่สองที่ได้เดินสำรวจรอบหมู่บ้าน ก็ได้เด็กเดินตามด้วย เลยตีซี้เนียนเข้าทางเด็ก เห็นพ่อแม่นั่งทำอะไรก็เดินเข้าไปทักไปคุย โอ๊ย....อัธยาศัยดีที่สุด ห่างความเป็นตัวเอง เหมือนเพิ่งค้นพบความเป็นตัวเองอีกด้านหนึ่ง มีเรื่องราวประสบการณ์ที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้น เป็นบทเรียนมากมาย
เข้าค่ายครั้งนี้ มีคนเข้าร่วมเกือบ 30 คน บางคนมาถึง พอเห็นสถานที่ก็ขอกลับบ้านแทบจะทันทีก็มี ไม่ชอบก็อยู่ไม่ได้
เราเพิ่งประสบเหตุการณ์ลี้ลับในวันที่ 2 ค่ะ อ้อ ลืบบอก สถานที่พัก คือ โรงเรียนค่ะ พักรวมทั้งชายและหญิง ในอาคารเรียนหลังหนึ่ง ตามภาพนะ ขวามือเรา นั้นเป็นห้องเรียน พักห้องนั้นแหละ ทางซ้ายมือเป็นโรงครัวค่ะ ถัดจากโรงครัวเป็นห้องน้ำ

ภาพจาก
http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1441180
โครงสร้างโดยรวมสำหรับใครที่ยังไม่เคยไป โรงเรียนอยู่บนยอดเขา ถัดลงมาเป็นโบสถ์ ไต่ลงมาก็มีหมู่บ้านล้อมรอบ ลงไปทางตีนเขาจะเห็นวัดค่ะ เดินสำรวจมาประมาณนี้ เหนือโรงเรียนก็จะเป็นป่าเป็นไร่นาของชาวบ้าน กับปากทางเข้าหมู่บ้าน ปลูกมันฝรั่ง กะหล่ำปลี ทำนองนี้ และพืชอื่นๆอีก มันฝรั่งทอดอร่อยมาก พ่อแม่แบ่งให้ทาน
เหยียบสถานที่นี่ครั้งแรก รุ่นพี่พาไปไหว้ศาลแม่ย่านางเลยค่ะ เป็นศาลที่อยู่ตรงปากทางเข้ามาทางโรงเรียน สำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้ ด่านแรกก็ต้องเจอโรงเรียนก่อน
คืนแรก ยังไม่รู้ประวัติอะไรมากมาย ก็นอนหลับดี อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยกับการเดินทางด้วย (เป็นการเดินทางไกล (เดินเท้า) 14 กิโล กับการปีนเขา ลงเขา 4 ลูก 9 โมงเช้า ยัน 4โมงเย็น)
แต่คืนที่สองนี้ หลังจากที่เข้าไปพบปะพ่อๆแม่ๆ ก็มีน้องนุ่งตามออกมาเล่นด้วย ประมาณ 4 โมงเย็น เป็นช่วงพักผ่อนทำกิจส่วนตัว อาบน้ำเสร็จก็มาเล่นกับน้องๆ (ไม่ค่อยได้เวรเป็นแม่ครัวอะไรกับเขาเท่าไร เวรประจำวันคือการลงไปเรียนรู้กับชาวบ้านอย่างเดียว พี่ๆคงเห็นความอัธยาศัยดีของเรา) เด็กๆมักมาเล่นเตะบอลอยู่ที่สนามโรงเรียนเป็นประจำ (ก็เป็นทุกที่) อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นสนามเด็กเล่น มีไม้กระดานลื่น ชิงช้ามาตั้ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ศาลแม่ย่านาง (น้องๆบอกมาอย่างนี้นะคะ)
คือต้องเก็บรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เพื่อสรุปข้อมูลที่ได้รับรู้มาในกิจกรรมช่วงหัวค่ำ น้องๆคุยเก่งทั้งนั้นค่ะ อยากได้ข้อมูลก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนไป อะไรดลใจไม่รู้ พากันคุยเรื่องลึกลับในสถานที่ดังกล่าว ข้างๆศาลแม่ย่านาง ตอนเย็นๆ บรรยากาศเต็มใจมากๆ
น้องบอกว่า ก่อนหน้าที่ค่ายของพวกเราจะมา มีค่ายอาสาจากมหาลัยหนึ่งเข้ามาก่อนหน้า เข้ามาทำกิจกรรมอาสาอยู่ 2 อาทิตย์ แต่ไม่ได้มาพักบนโรงเรียนนะคะ เห็นว่าแบ่งกลุ่มกันไปนอนพักบ้านพ่อๆแม่ๆ บ้านละ 2 คน อะไรประมาณนี้ สถานที่จักกิจกรรมหลักๆคือ บริเวณโบสถ์ น้องว่าก่อนวันสุดท้าย มีพี่สองคนโดนผีเข้าสิงด้วย ตอนนั้นก็เออออตาม แต่ก็ไม่ได้เชื่อมาก กลัวเด็กขี้โม้
เรื่องต่อมา น้องก็บอกว่า ตรงต้นสนสูงใหญ่ข้างๆโรงเรียน แถวทางปีนลงเขาไปทางโบสถ์ มีชาวบ้านคนหนึ่งเป็นผู้ชายมาผูกคอตายที่ต้นสนตรงนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน เราคนมาใหม่เนอะก็ไหลตามสถานการณ์ ต่อให้ไม่ค่อยเชื่อก็อย่าลบหลู่
เล่าเยอะมากค่ะ แต่เมนใหญ่ๆ สมองจำได้แต่เรื่องพวกนี้ คือส่วนใหญ่น้องๆด้อยโอกาสทางการศึกษาค่ะ โรงเรียนอยู่ไกล ไม่มีครูมาอยู่ประจำ สัปดาห์หนึ่งคุณครูก็จะขึ้นมาสอน 2-3 ครั้ง เด็กๆก็จะมาคอยเก้อเป็นประจำ สายๆหน่อยถ้าไม่เห็นคุณครูมา ก็จะกลับบ้านไปช่วยงานผู้ปกครอง นั่นคือการไปทำไร่ทำสวน เอ้อ ที่นี่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้วยนะคะ มีคุณครูมาอยู่ประจำท่านหนึ่ง คุณครูท่านนี้คอยช่วยเหลือเอื้อความสะดวกให้กับพวกเรา พร้อมผู้ใหญ่บ้านและอบต.ด้วย
ค่ายอาสาของเรา เข้ามาช่วยทำห้องสมุดให้กับน้องๆ นอกจากทำห้องสมุดแล้วยังช่วย อบต. สร้างห้องน้ำใหม่ ให้คุณครูศูนย์ฯ ด้วยค่ะ มีปัญหานิดหน่อย กับโครงสร้าง เมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนักศึกษา พี่ๆเขาเก่ง เขาแก้ไขได้ค่ะ
หลังจากที่น้องๆเล่าให้ฟัง คืนนั้น (เป็นคืนที่สอง) ในใจรู้สึกวูบๆโหวงๆอยู่ตลอด อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก นั่งทำกิจกรรมไป ก็ตั้งจิตดึงสติตัวเองแล้วตัวเองอีก ใจคอไม่ดีเมื่อไร ในใจก็มักจะท่องบทสวดทุกที นะโม 3 จบ บทแผ่เมตตา ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรอย่างนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอดี
กิจกรรมเลิกสัก สี่ทุ่มได้ล่ะค่ะ พอหลังเที่ยงคืน ทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ ไร้เสียงพูดคุยหยอกล้อ เพราะทุกคนต้องเก็บแรงไว้ทำกิจกรรม แต่เรานี่สิ จู่ๆก็สะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืน ด้วยความไม่นัดหมาย จู่ๆก็เกิดลมพัด เสียงลมพัดเหมือนเกิดพายุกองเล็กๆได้อ่ะค่ะ ได้ยินเสียงใบไม้ กิ่งไม้ พัดปลิว เหมือนเอฟเฟคในหนังสยองขวัญ แล้วจู่ๆเสียงลมก็ปะทะใส่ถังเก็บน้ำแสตนเลสที่ตั้งอยู่ข้างหลังอาคาร ดัง ปั๊งงงงง เหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาล้มใส่ ดังมากค่ะ ภายใต้เงาสลัวพอผงกหัวขึ้นมาดูกลับไม่มีใครสะดุ้งลุกขึ้นมาสักคน มีแต่เราคนเดียว (เคยมีประสบการณ์นอนกันหลายคนได้ยินอยู่คนเดียวบ่อยมาก สมัยเด็กๆค่ะ) คิดแล้วอาการหลอนๆนี้มาอีกแล้ว กลัว แต่ไม่กล้าร้องไม่กล้าเอะอะ เงียบอย่างเดียวค่ะ ทำนองว่าผีทักอย่าทักตอบ ตามผังยุทธศาสตร์ ถังดังกล่าวอยู่แนวเดียวกับศาลแม่ย่านางเลยค่ะ
หลังจากที่ลมหายไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินค่ะ เดินอยู่ข้างนอก บนหัว แบบหัวชนผนังกันถ้วนหน้านะคะ ไม่กล้าลืมตาดูเลย เสียงเท้าเดินรอบอาคาร พอมาถึงหัวเราเหมือนเขารู้ว่าเรารู้อ่ะคะ เขาแกล้งค่ะ คืออย่างที่เห็นในภาพอาคารดังกล่าวปูนครึ่งหนึ่ง กรงลวดตาข่ายครึ่งหนึ่ง เขาเอามือรูดกรงเล่นด้วยนะคะ โดยเฉพาะบนหัวเรารูดนานหน่อย หลายรอบทีเดียว แล้วยังได้ยินเหมือนอะไรไต่ลงมาโดนกระเป๋าด้วยค่ะ เหมือนคนเอามือไต่กระเป๋าเล่น หัวที่เคยอยู่บนหมอน ตอนนั้นเลื่อนลงมาแอบซบอยู่บนหน้าท้องของเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนอ้วนกว่าเป็นฐานหลบภัยชั้นดี อย่างที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ มักจะภาวนาว่าเมื่อไรจะเช้า เหมือนเหตุการณ์เดิมๆเกิดขึ้นอยู่ เกือบ 2 ชั่วโมงได้ มีจังหวะหนึ่งที่ทนไม่ได้ กลัวจนไม่รู้จะกลัวอย่างไรแล้ว ลุกขึ้นมานั่งมองเลยค่ะ พบว่า ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีเงาแปลกประหลาด ทุกคนยังนอนเงียบสงบ อาศัยแสงดวงจันทร์นะคะ พอล้มตัวลงนอนเท่านั้นแหละก็ได้ยิน พยายามข่มตาให้หลับ คาดว่าคงเดินเกือบเช้าล่ะ
ประมาณตีห้าพี่คนหนึ่งก็ปลุกให้ตื่น สรุปคืนนั้น นอนไม่เต็มอิ่มค่ะ หลังจากทำกิจกรรมออกกำลังกายยามเช้าเสร็จ ช่วงล้างหน้าแปรงฟัน ทำกิจส่วนตัว ก็ถามเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆว่าได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า เพื่อนหลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน หลับสบายดีไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง พอเช้าหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ ไอ้เราก็เดินไปไหว้ศาลย่านางอีกครั้งหนึ่งค่ะ กล่าวบอกขอขมาท่านว่าเราไม่ได้มาลบหลู่อะไร เราไม่ได้ตั้งใจ หากกระทำผิดก็อย่าได้ถือโทษ ขออโหสิกรรม ให้อภัยกัน และช่วยปกป้องคุ้มครองลูก
แล้วในคืนต่อๆมาก็ไม่ได้เจอเรื่องขนลุกอะไรอีกเลยค่ะ ทุกเช้าหลังจากนั้นยังทำสิ่งเดิมๆ ทุกเช้าจะแอบไปไหว้ศาลค่ะ ก่อนนอนทุกคืนก็จะเอาหูฟังอุดหูฟังเพลงตลอด (กลัวความเงียบอยู่พักใหญ่) โทรศัพท์ก็ต้องชาร์ทเกือบทุกวัน ไม่ได้โทรคุยกับใครนะคะ อยู่สูงมาก สัญญาณโทรศัพท์ไปไม่ถึง มีไว้ฟังเพลงเพื่อความอุ่นใจเท่านั้น
พอพวกพี่ๆมารู้ทีหลังว่าเราเจอดี ก็มาตำหนินิดหน่อย ว่าทำไม ไม่บอกพี่ ไอ้เราตอนนั้น อัดอั้นตันใจค่ะ คิดแต่ว่า ถ้าหนูบอกว่าได้ยิน พี่จะได้ยินเหมือนหนูไหม (เคยเจอดีบ่อยสมัยเด็กๆนั่นแหละค่ะ ได้ยินคนเดียว จนหลอน จนคิดว่าตัวเองต้องบ้าแน่ๆ)
หลายวันต่อมา มีคืนหนึ่ง พวกรุ่นพี่บางกลุ่ม ต้องประชุมลับกันนะคะ ก็เป็นเรื่องการวางแผนการทำกิจกรรมของวันต่อไป พวกพี่ๆนั่งตั้งวงประชุมกันข้างสนามโรงเรียนๆ ใกล้ๆต้นสนที่มีคนผูกคอตาย แล้วพี่คนที่เป็นประธานแกก็เจอดี อยู่ๆก็ช็อกมีอาการชักค่ะ จนเพื่อนพากันห่ามมาที่นอน ตอนนั้นเงียบนะคะ พวกพี่ๆพยายามไม่เอะอะ เห็นว่าพอพาพี่ประธานเข้ามาอาการดีขึ้นหน่อย ตัวไม่เย็นเหมือนตอนอยู่ข้างนอก พี่คนหนึ่งปฐมพยาบาลให้ด้วยการหาช้อนมางัดใส่ปาก เพราะกลัวพี่แกจะกัดลิ้นตัวเอง พี่แกตาเหลือก ชัก มือเท้าเกร็งเย็นไปหมดเลยค่ะ และมีพี่คนหนึ่งไปตามผู้ใหญ่บ้านมาดูอาการ เหตุการณ์อย่างว่าเกิดตอนเที่ยงคืนนะคะ ผู้ใหญ่บ้านทำอะไรสักอย่าง พอเอาพระมาแขวนให้อาการดังกล่าวก็สงบลง
พอตอนเช้า พี่ประธานชมรมแกป่วยเลยค่ะ ต้องแบ่งเวรดูแลพี่แกบางส่วน พี่แกมาเล่าทีหลังให้ฟังว่า ตอนที่ประชุมลับกันอยู่นั้น พี่แกนั่งยองๆนะคะ อยู่ๆก็รู้สึกวูบเลยก้มหัวลง พอเงยหัวขึ้นก็เหลือบไปเห็นเงาหนึ่ง พี่แกจำได้ติดตา พี่ว่าเป็นยายแก่ๆนั่งยองๆเหมือนพี่ พอพี่แกก้มหน้าลงอีกครั้ง พี่แกก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว พี่แกว่าเจอเหตุการณ์อย่างนั้นทำให้อยากจะกลับบ้านท่าเดียวเลย แต่เป็นเพราะหน้าที่พี่แกจึงต้องทนๆอยู่จนจบกิจกรรม
อีกเรื่องค่ะ กิจกรรมในคืนสุดท้าย เรียกว่า กิจกรรมจุดเทียนเปิดใจ เพื่อเล่าความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่ได้ทำกิจกรรม พี่ที่จัดกิจกรรม ให้สมาชิกทุกคนตั้งแถวอยู่ข้างนอก ที่สนามแบบไม่มีไฟค่ะ มืดมาก พี่ๆให้จับไหล่กันเกาะกันเดิน พร้อมหลับตา มีช่วงหนึ่ง มาถึงกลางสนามอยู่ๆพี่ก็สั่งให้หยุดเดิน แล้วยืนหลับตา พี่เดินคุมเลยค่ะว่าไม่ให้ลืมตา แต่รู้สึกว่าในขณะที่เราหลับตาอยู่นั้น มีรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาสักพัก แล้วก็ขับออกไป พวกพี่ๆทำอะไรสักอย่าง แบบเงียบมาก เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไร
จนกระทั่งเดินทางกลับ ขณะนั่งอยู่ในรถ พี่ประธานก็เปิดปากเล่าให้ฟังว่า พี่เอ (นามสมมุติค่ะ) เกิดอาการประหลาดอย่างหนึ่ง พี่คนนี้ในคืนนั้น พี่แกอยู่ข้างหน้าเราค่ะ เราเกาะไหล่พี่แกอยู่เลย ได้ยินประโยคหนึ่งออกมาในขณะที่หลับตาเดินนะคะ พี่แกบ่นว่า อย่ากดไหล่ เจ็บ พี่ที่เป็นหัวหน้ากิจกรรม จึงสั่งให้หยุดเดิน แล้วจัดแถวใหม่ อย่างเดิมค่ะ โดนสั่งให้ปิดตา ไอ้เราก็ซื่อๆดีๆ พี่สั่งให้ทำอะไร ก็ทำตามหมด
(เดี๋ยวจะมาต่อใหม่ พรุ่งนี้นะคะ วันอาทิตย์ ช่องกระทู้ใกล้เต็ม
เคยเข้าค่าย 10 วัน เหมือนเล่นหนังผี
เป็นเรื่องสมัยเป็นเด็กปี 1 ปัจจุบันปี 4 แล้ว ก่อนจะเปิด-ปิดภาคเรียนตามอาเซียน ตอนนั้นคือ เทอม1 เรียนตั้งแต่เดือนมิถุนายน-ตุลาคม ตุลาคมเป็นช่วงปิดเทอมภาคเรียนที่ 1 ด้วยความที่ยังเด็ก ใฝ่เรียนรู้โลกกว้าง ก็เลยลองเข้าร่วมกิจกรรม เป็นค่ายชุมนุมจิตอาสาหนึ่ง เข้าค่ายครั้งแรกก็ดีค่ะ ได้รู้จักเพื่อน ได้รู้จักรุ่นพี่ต่างคณะ ด้วยความที่ใจเด็ดมาก เข้าร่วมอย่างมั่นค่ะ ไม่มีเพื่อนที่มาจากคณะเดียวกัน หาเพื่อนหาคนรู้จักดาบหน้า ประมาณว่ายังไม่รู้จักใครเลย ลงชื่อไว้แล้วพี่ในชุมนุมโทรมาชวนก็รับปากตอบตกลงตามนัด ครั้งแรกเข้าค่ายรับน้องเป็นธรรมเนียมของชุมนุมเขา 2 คืน 3 วัน ก็สนุกดีค่ะ กับฐานเกม ฐานผจญภัย เหมือนรับน้องทั่วไป แต่เป็นการรับน้องนอกสถานที่ จำได้ว่าวันที่ไปนั้น อยู่ในช่วงวันเข้าพรรษาค่ะ เป็นวันหยุดยาว 3 วัน ค่ายครั้งแรกไม่เจอเรื่องขนหัวลุกหรอกค่ะ
ค่ายครั้งที่2 เป็นค่ายอาสาค่ะ ออกไปทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์นอกสถานที่เช่นเดิม ด้วยความที่ไม่เคยไป ก็ลองไปดูสักตั้ง เป็นเรื่องที่จำฝังใจเลยทีนี้
ค่ายที่ว่าเป็นช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว เข้าค่าย 10 วันกับ 9 คืน สถานที่ตอนนั้น ขออนุญาตบอกชื่อสถานที่นะคะ โรงเรียน ตชด. บ้านหมันขาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ค่ะ สถานที่นี้ใครๆก็ขึ้นไปทำกิจกรรมกันเยอะ สวยดีนะคะอยู่ท่ามกลางหุบเขา อากาศกำลังหนาวเย็นเลย ที่สูงหนาวเร็วกว่าที่ราบต่ำ
วันแรกค่ะ ลงพื้นที่ เป็นคนแปลกหน้าของชาวบ้านค่ะ เราต้องเข้าไปหาพ่อกับแม่ กว่าจะสนิทก็เป็นวันที่สองค่ะ ลงพื้นที่คุยกับชาวบ้าน ได้ข้อมูลมาเยอะมากเลยนะคะ ถึงชาติพันธุ์ การอพยพ การนับถือศาสนา การกินอยู่ เกษตรกรรม วัฒนธรรมต่างๆ ทุกอย่างดูมีเสน่ห์ดีนะคะ (สมัยนั้นเห็นว่ากำลังริเริ่มทำการท่องเที่ยว ยังไม่ได้เจริญมาก) ไฟฟ้าเข้ามาถึงหมู่บ้านได้ยังไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ แต่ทางการของรัฐหรือแม้เอกชนก็ต่างเข้ามาช่วยเหลือเยอะแยะ หมู่บ้านนั้น โดยภาพรวมนับถือ 2 ศาสนาค่ะ พุทธกับคริสต์ (คริสต์อะไรไม่รู้ ลืมแล้วค่ะ นานแล้วเนอะ และไม่ค่อยรู้เท่าไร) คริสต์อยู่บน พุทธอยู่ล่าง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายนะคะ แต่ก็ได้เข้าไปสัมผัสทั้งสองอย่างค่ะ วันที่สองที่ได้เดินสำรวจรอบหมู่บ้าน ก็ได้เด็กเดินตามด้วย เลยตีซี้เนียนเข้าทางเด็ก เห็นพ่อแม่นั่งทำอะไรก็เดินเข้าไปทักไปคุย โอ๊ย....อัธยาศัยดีที่สุด ห่างความเป็นตัวเอง เหมือนเพิ่งค้นพบความเป็นตัวเองอีกด้านหนึ่ง มีเรื่องราวประสบการณ์ที่ดีและไม่ดีเกิดขึ้น เป็นบทเรียนมากมาย
เข้าค่ายครั้งนี้ มีคนเข้าร่วมเกือบ 30 คน บางคนมาถึง พอเห็นสถานที่ก็ขอกลับบ้านแทบจะทันทีก็มี ไม่ชอบก็อยู่ไม่ได้
เราเพิ่งประสบเหตุการณ์ลี้ลับในวันที่ 2 ค่ะ อ้อ ลืบบอก สถานที่พัก คือ โรงเรียนค่ะ พักรวมทั้งชายและหญิง ในอาคารเรียนหลังหนึ่ง ตามภาพนะ ขวามือเรา นั้นเป็นห้องเรียน พักห้องนั้นแหละ ทางซ้ายมือเป็นโรงครัวค่ะ ถัดจากโรงครัวเป็นห้องน้ำ
ภาพจาก http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1441180
โครงสร้างโดยรวมสำหรับใครที่ยังไม่เคยไป โรงเรียนอยู่บนยอดเขา ถัดลงมาเป็นโบสถ์ ไต่ลงมาก็มีหมู่บ้านล้อมรอบ ลงไปทางตีนเขาจะเห็นวัดค่ะ เดินสำรวจมาประมาณนี้ เหนือโรงเรียนก็จะเป็นป่าเป็นไร่นาของชาวบ้าน กับปากทางเข้าหมู่บ้าน ปลูกมันฝรั่ง กะหล่ำปลี ทำนองนี้ และพืชอื่นๆอีก มันฝรั่งทอดอร่อยมาก พ่อแม่แบ่งให้ทาน
เหยียบสถานที่นี่ครั้งแรก รุ่นพี่พาไปไหว้ศาลแม่ย่านางเลยค่ะ เป็นศาลที่อยู่ตรงปากทางเข้ามาทางโรงเรียน สำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในหมู่บ้านนี้ ด่านแรกก็ต้องเจอโรงเรียนก่อน
คืนแรก ยังไม่รู้ประวัติอะไรมากมาย ก็นอนหลับดี อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยกับการเดินทางด้วย (เป็นการเดินทางไกล (เดินเท้า) 14 กิโล กับการปีนเขา ลงเขา 4 ลูก 9 โมงเช้า ยัน 4โมงเย็น)
แต่คืนที่สองนี้ หลังจากที่เข้าไปพบปะพ่อๆแม่ๆ ก็มีน้องนุ่งตามออกมาเล่นด้วย ประมาณ 4 โมงเย็น เป็นช่วงพักผ่อนทำกิจส่วนตัว อาบน้ำเสร็จก็มาเล่นกับน้องๆ (ไม่ค่อยได้เวรเป็นแม่ครัวอะไรกับเขาเท่าไร เวรประจำวันคือการลงไปเรียนรู้กับชาวบ้านอย่างเดียว พี่ๆคงเห็นความอัธยาศัยดีของเรา) เด็กๆมักมาเล่นเตะบอลอยู่ที่สนามโรงเรียนเป็นประจำ (ก็เป็นทุกที่) อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นสนามเด็กเล่น มีไม้กระดานลื่น ชิงช้ามาตั้ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ศาลแม่ย่านาง (น้องๆบอกมาอย่างนี้นะคะ)
คือต้องเก็บรายละเอียดข้อมูลต่างๆ เพื่อสรุปข้อมูลที่ได้รับรู้มาในกิจกรรมช่วงหัวค่ำ น้องๆคุยเก่งทั้งนั้นค่ะ อยากได้ข้อมูลก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนไป อะไรดลใจไม่รู้ พากันคุยเรื่องลึกลับในสถานที่ดังกล่าว ข้างๆศาลแม่ย่านาง ตอนเย็นๆ บรรยากาศเต็มใจมากๆ
น้องบอกว่า ก่อนหน้าที่ค่ายของพวกเราจะมา มีค่ายอาสาจากมหาลัยหนึ่งเข้ามาก่อนหน้า เข้ามาทำกิจกรรมอาสาอยู่ 2 อาทิตย์ แต่ไม่ได้มาพักบนโรงเรียนนะคะ เห็นว่าแบ่งกลุ่มกันไปนอนพักบ้านพ่อๆแม่ๆ บ้านละ 2 คน อะไรประมาณนี้ สถานที่จักกิจกรรมหลักๆคือ บริเวณโบสถ์ น้องว่าก่อนวันสุดท้าย มีพี่สองคนโดนผีเข้าสิงด้วย ตอนนั้นก็เออออตาม แต่ก็ไม่ได้เชื่อมาก กลัวเด็กขี้โม้
เรื่องต่อมา น้องก็บอกว่า ตรงต้นสนสูงใหญ่ข้างๆโรงเรียน แถวทางปีนลงเขาไปทางโบสถ์ มีชาวบ้านคนหนึ่งเป็นผู้ชายมาผูกคอตายที่ต้นสนตรงนั้นเมื่อหลายเดือนก่อน เราคนมาใหม่เนอะก็ไหลตามสถานการณ์ ต่อให้ไม่ค่อยเชื่อก็อย่าลบหลู่
เล่าเยอะมากค่ะ แต่เมนใหญ่ๆ สมองจำได้แต่เรื่องพวกนี้ คือส่วนใหญ่น้องๆด้อยโอกาสทางการศึกษาค่ะ โรงเรียนอยู่ไกล ไม่มีครูมาอยู่ประจำ สัปดาห์หนึ่งคุณครูก็จะขึ้นมาสอน 2-3 ครั้ง เด็กๆก็จะมาคอยเก้อเป็นประจำ สายๆหน่อยถ้าไม่เห็นคุณครูมา ก็จะกลับบ้านไปช่วยงานผู้ปกครอง นั่นคือการไปทำไร่ทำสวน เอ้อ ที่นี่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้วยนะคะ มีคุณครูมาอยู่ประจำท่านหนึ่ง คุณครูท่านนี้คอยช่วยเหลือเอื้อความสะดวกให้กับพวกเรา พร้อมผู้ใหญ่บ้านและอบต.ด้วย
ค่ายอาสาของเรา เข้ามาช่วยทำห้องสมุดให้กับน้องๆ นอกจากทำห้องสมุดแล้วยังช่วย อบต. สร้างห้องน้ำใหม่ ให้คุณครูศูนย์ฯ ด้วยค่ะ มีปัญหานิดหน่อย กับโครงสร้าง เมื่อผู้ใหญ่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนักศึกษา พี่ๆเขาเก่ง เขาแก้ไขได้ค่ะ
หลังจากที่น้องๆเล่าให้ฟัง คืนนั้น (เป็นคืนที่สอง) ในใจรู้สึกวูบๆโหวงๆอยู่ตลอด อึดอัดเหมือนจะหายใจไม่ออก นั่งทำกิจกรรมไป ก็ตั้งจิตดึงสติตัวเองแล้วตัวเองอีก ใจคอไม่ดีเมื่อไร ในใจก็มักจะท่องบทสวดทุกที นะโม 3 จบ บทแผ่เมตตา ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อะไรอย่างนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอดี
กิจกรรมเลิกสัก สี่ทุ่มได้ล่ะค่ะ พอหลังเที่ยงคืน ทุกอย่างก็อยู่ในความสงบ ไร้เสียงพูดคุยหยอกล้อ เพราะทุกคนต้องเก็บแรงไว้ทำกิจกรรม แต่เรานี่สิ จู่ๆก็สะดุ้งตื่นตอนเที่ยงคืน ด้วยความไม่นัดหมาย จู่ๆก็เกิดลมพัด เสียงลมพัดเหมือนเกิดพายุกองเล็กๆได้อ่ะค่ะ ได้ยินเสียงใบไม้ กิ่งไม้ พัดปลิว เหมือนเอฟเฟคในหนังสยองขวัญ แล้วจู่ๆเสียงลมก็ปะทะใส่ถังเก็บน้ำแสตนเลสที่ตั้งอยู่ข้างหลังอาคาร ดัง ปั๊งงงงง เหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาล้มใส่ ดังมากค่ะ ภายใต้เงาสลัวพอผงกหัวขึ้นมาดูกลับไม่มีใครสะดุ้งลุกขึ้นมาสักคน มีแต่เราคนเดียว (เคยมีประสบการณ์นอนกันหลายคนได้ยินอยู่คนเดียวบ่อยมาก สมัยเด็กๆค่ะ) คิดแล้วอาการหลอนๆนี้มาอีกแล้ว กลัว แต่ไม่กล้าร้องไม่กล้าเอะอะ เงียบอย่างเดียวค่ะ ทำนองว่าผีทักอย่าทักตอบ ตามผังยุทธศาสตร์ ถังดังกล่าวอยู่แนวเดียวกับศาลแม่ย่านางเลยค่ะ
หลังจากที่ลมหายไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินค่ะ เดินอยู่ข้างนอก บนหัว แบบหัวชนผนังกันถ้วนหน้านะคะ ไม่กล้าลืมตาดูเลย เสียงเท้าเดินรอบอาคาร พอมาถึงหัวเราเหมือนเขารู้ว่าเรารู้อ่ะคะ เขาแกล้งค่ะ คืออย่างที่เห็นในภาพอาคารดังกล่าวปูนครึ่งหนึ่ง กรงลวดตาข่ายครึ่งหนึ่ง เขาเอามือรูดกรงเล่นด้วยนะคะ โดยเฉพาะบนหัวเรารูดนานหน่อย หลายรอบทีเดียว แล้วยังได้ยินเหมือนอะไรไต่ลงมาโดนกระเป๋าด้วยค่ะ เหมือนคนเอามือไต่กระเป๋าเล่น หัวที่เคยอยู่บนหมอน ตอนนั้นเลื่อนลงมาแอบซบอยู่บนหน้าท้องของเพื่อนเลยค่ะ เพื่อนอ้วนกว่าเป็นฐานหลบภัยชั้นดี อย่างที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ มักจะภาวนาว่าเมื่อไรจะเช้า เหมือนเหตุการณ์เดิมๆเกิดขึ้นอยู่ เกือบ 2 ชั่วโมงได้ มีจังหวะหนึ่งที่ทนไม่ได้ กลัวจนไม่รู้จะกลัวอย่างไรแล้ว ลุกขึ้นมานั่งมองเลยค่ะ พบว่า ทุกอย่างว่างเปล่า ไม่มีเงาแปลกประหลาด ทุกคนยังนอนเงียบสงบ อาศัยแสงดวงจันทร์นะคะ พอล้มตัวลงนอนเท่านั้นแหละก็ได้ยิน พยายามข่มตาให้หลับ คาดว่าคงเดินเกือบเช้าล่ะ
ประมาณตีห้าพี่คนหนึ่งก็ปลุกให้ตื่น สรุปคืนนั้น นอนไม่เต็มอิ่มค่ะ หลังจากทำกิจกรรมออกกำลังกายยามเช้าเสร็จ ช่วงล้างหน้าแปรงฟัน ทำกิจส่วนตัว ก็ถามเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆว่าได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า เพื่อนหลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน หลับสบายดีไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง พอเช้าหลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จ ไอ้เราก็เดินไปไหว้ศาลย่านางอีกครั้งหนึ่งค่ะ กล่าวบอกขอขมาท่านว่าเราไม่ได้มาลบหลู่อะไร เราไม่ได้ตั้งใจ หากกระทำผิดก็อย่าได้ถือโทษ ขออโหสิกรรม ให้อภัยกัน และช่วยปกป้องคุ้มครองลูก
แล้วในคืนต่อๆมาก็ไม่ได้เจอเรื่องขนลุกอะไรอีกเลยค่ะ ทุกเช้าหลังจากนั้นยังทำสิ่งเดิมๆ ทุกเช้าจะแอบไปไหว้ศาลค่ะ ก่อนนอนทุกคืนก็จะเอาหูฟังอุดหูฟังเพลงตลอด (กลัวความเงียบอยู่พักใหญ่) โทรศัพท์ก็ต้องชาร์ทเกือบทุกวัน ไม่ได้โทรคุยกับใครนะคะ อยู่สูงมาก สัญญาณโทรศัพท์ไปไม่ถึง มีไว้ฟังเพลงเพื่อความอุ่นใจเท่านั้น
พอพวกพี่ๆมารู้ทีหลังว่าเราเจอดี ก็มาตำหนินิดหน่อย ว่าทำไม ไม่บอกพี่ ไอ้เราตอนนั้น อัดอั้นตันใจค่ะ คิดแต่ว่า ถ้าหนูบอกว่าได้ยิน พี่จะได้ยินเหมือนหนูไหม (เคยเจอดีบ่อยสมัยเด็กๆนั่นแหละค่ะ ได้ยินคนเดียว จนหลอน จนคิดว่าตัวเองต้องบ้าแน่ๆ)
หลายวันต่อมา มีคืนหนึ่ง พวกรุ่นพี่บางกลุ่ม ต้องประชุมลับกันนะคะ ก็เป็นเรื่องการวางแผนการทำกิจกรรมของวันต่อไป พวกพี่ๆนั่งตั้งวงประชุมกันข้างสนามโรงเรียนๆ ใกล้ๆต้นสนที่มีคนผูกคอตาย แล้วพี่คนที่เป็นประธานแกก็เจอดี อยู่ๆก็ช็อกมีอาการชักค่ะ จนเพื่อนพากันห่ามมาที่นอน ตอนนั้นเงียบนะคะ พวกพี่ๆพยายามไม่เอะอะ เห็นว่าพอพาพี่ประธานเข้ามาอาการดีขึ้นหน่อย ตัวไม่เย็นเหมือนตอนอยู่ข้างนอก พี่คนหนึ่งปฐมพยาบาลให้ด้วยการหาช้อนมางัดใส่ปาก เพราะกลัวพี่แกจะกัดลิ้นตัวเอง พี่แกตาเหลือก ชัก มือเท้าเกร็งเย็นไปหมดเลยค่ะ และมีพี่คนหนึ่งไปตามผู้ใหญ่บ้านมาดูอาการ เหตุการณ์อย่างว่าเกิดตอนเที่ยงคืนนะคะ ผู้ใหญ่บ้านทำอะไรสักอย่าง พอเอาพระมาแขวนให้อาการดังกล่าวก็สงบลง
พอตอนเช้า พี่ประธานชมรมแกป่วยเลยค่ะ ต้องแบ่งเวรดูแลพี่แกบางส่วน พี่แกมาเล่าทีหลังให้ฟังว่า ตอนที่ประชุมลับกันอยู่นั้น พี่แกนั่งยองๆนะคะ อยู่ๆก็รู้สึกวูบเลยก้มหัวลง พอเงยหัวขึ้นก็เหลือบไปเห็นเงาหนึ่ง พี่แกจำได้ติดตา พี่ว่าเป็นยายแก่ๆนั่งยองๆเหมือนพี่ พอพี่แกก้มหน้าลงอีกครั้ง พี่แกก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว พี่แกว่าเจอเหตุการณ์อย่างนั้นทำให้อยากจะกลับบ้านท่าเดียวเลย แต่เป็นเพราะหน้าที่พี่แกจึงต้องทนๆอยู่จนจบกิจกรรม
อีกเรื่องค่ะ กิจกรรมในคืนสุดท้าย เรียกว่า กิจกรรมจุดเทียนเปิดใจ เพื่อเล่าความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่ได้ทำกิจกรรม พี่ที่จัดกิจกรรม ให้สมาชิกทุกคนตั้งแถวอยู่ข้างนอก ที่สนามแบบไม่มีไฟค่ะ มืดมาก พี่ๆให้จับไหล่กันเกาะกันเดิน พร้อมหลับตา มีช่วงหนึ่ง มาถึงกลางสนามอยู่ๆพี่ก็สั่งให้หยุดเดิน แล้วยืนหลับตา พี่เดินคุมเลยค่ะว่าไม่ให้ลืมตา แต่รู้สึกว่าในขณะที่เราหลับตาอยู่นั้น มีรถยนต์คันหนึ่งขับเข้ามาสักพัก แล้วก็ขับออกไป พวกพี่ๆทำอะไรสักอย่าง แบบเงียบมาก เราไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไร
จนกระทั่งเดินทางกลับ ขณะนั่งอยู่ในรถ พี่ประธานก็เปิดปากเล่าให้ฟังว่า พี่เอ (นามสมมุติค่ะ) เกิดอาการประหลาดอย่างหนึ่ง พี่คนนี้ในคืนนั้น พี่แกอยู่ข้างหน้าเราค่ะ เราเกาะไหล่พี่แกอยู่เลย ได้ยินประโยคหนึ่งออกมาในขณะที่หลับตาเดินนะคะ พี่แกบ่นว่า อย่ากดไหล่ เจ็บ พี่ที่เป็นหัวหน้ากิจกรรม จึงสั่งให้หยุดเดิน แล้วจัดแถวใหม่ อย่างเดิมค่ะ โดนสั่งให้ปิดตา ไอ้เราก็ซื่อๆดีๆ พี่สั่งให้ทำอะไร ก็ทำตามหมด
(เดี๋ยวจะมาต่อใหม่ พรุ่งนี้นะคะ วันอาทิตย์ ช่องกระทู้ใกล้เต็ม