ประวัติ หลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย ต.วังทรายพูน อ.วังทรายพูน จ.พิจิตร
การออกบวช
ทีนี้ก่อนอื่นที่จะออกบวชในศาสนานั้น
แต่ก่อนมาโน้น ก็ยังไม่ได้ใฝ่ฝันในการบวชหรอก
ให้เห็นพระตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ก็มีใจยินดีอยู่
แต่ยังไม่คิดว่าอยากจะบวช
ต่อเมื่อได้สร้างโลก (มีครอบครัว) จบสิ้นลงไปแล้ว
ทีนี้ก็เลยคิดอยากจะออกบวช
ทั้งนี้เพราะมีความคิดถึงผู้บังเกิดเกล้าเหล่ามารดาบิดาผู้มีพระคุณอย่างสุดยิ่ง คิดว่าจะบวชบำเพ็ญบุญอุทิศไปให้ท่าน
เพราะนักปราชญ์ทั้งหลายท่านพูดว่า จะทำอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณของบิดามารดานั้นทำได้แสนยากนัก
จะไปทำไร่ทำนาค้าขายหารายได้จากสิ่งเหล่านั้นมาตอบแทน
ก็ไม่สมดุลกับบุญคุณนั้นจะเอาบิดามารดาขึ้นมานั่งบนบ่าถ่ายราดหนักเบา
ให้ท่านอยู่เย็นสบายทั้งวันคืนก็ยังไม่สมดุลกับบุญคุณของท่าน
บุญคุณของมารดาเท่ากับแผ่นดิน บุญคุณของบิดาเท่ากับแผ่นฟ้าอากาศกว้างกลางหาว จะหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ไม่เสมอเหมือน
ปี ๒๔๙๐ ก็เลยได้ออกบวช
ครั้นเมื่อออกบวชแล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม
ด้วยการเดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์
นั่นแหละ กระทำอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ มาเป็นระยะ ๆ จนอายุพรรษาล่วงมาได้ ๘ พรรษา
ในสมัยหนึ่งได้ไปภาวนาอยู่ที่ วัดป่าหนองแซง อ หนองวัวซอ จ อุดรธานี กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น
วันนั้นทำความเพียรอย่างหนัก ไม่ฉันอาหาร เดินจงกรมวันยังค่ำ พอค่ำมาก็เข้าที่นั่งสมาธิ ตลอดทั้งคืน ไม่ยอมนอน
พอล่วงไปถึง ๔ ทุ่มความทุกข์เกิดขึ้น ความร้อนเกิดขึ้น
จนถึงเที่ยงคืนจึงดับพอตี ๑ ความร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นอีกเป็นระยะ ๆ
จนกระทั่งแจ้งเป็นวันใหม่ นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิก
มาวันหลังเข้าที่นั่งสมาธิอีก จิตก็สงบ
พอจิตสงบลงไปก็เกิดนิมิตเห็นสัตว์ทั้งหลาย
มีกบเขียดปูหอยนกหนูปูปีกที่ตนได้ฆ่าเขามาแล้วนั้น ทั้งวัวและหมูก็ได้ทำมาแล้วแต่ควายไม่ได้ทำ และมนุษย์ก็ไม่ได้ทำ
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นหลั่งไหลมาเต็มสถานที่นั้น จึงกำหนดจิตถามไปว่า
“มาทำอะไรกันมากมายเช่นนี้ ?”
เขาก็ตอบว่า “ได้ทราบข่าวว่าท่านมาบวชในศาสนาแล้ว จึงมาขอรับส่วนบุญ ขอท่านจงแบ่งส่วนบุญให้ด้วย เพราะท่านเมื่อสมัยที่เป็นฆราวาสนั้นได้ฆ่าพวกข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ฉะนั้น ถ้าไม่แบ่งส่วนบุญให้ จะขอจองเวรจองกรรมนะ ขอให้เป็นผู้ได้ประสบพบปะแต่เหตุเภทร้าย อายุสั้นพลันตาย ประกอบด้วยโรคภัยนานาชนิด ไม่มีวันจบสิ้น”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งจิตอุทิศแบ่งส่วนบุญไปให้และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ แล้วก็บอกให้เขามารับทุกวัน
เขาก็ว่า “ดีแล้ว นับว่าเป็นโชคลาภอันดี จะได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะภพชาติของพวกข้าพเจ้านี้ต่ำช้าลามก ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น”
ก็เลยอุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้นไม่ลดละ จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๐ พรรษา ไม่พบเห็นสัตว์เหล่านั้นมาหาอีกเลย
จึงได้ไปกราบเรียนถามหลวงปู่บัว
ท่านก็ว่า “ผมเองก็เหมือนกัน เมื่อภาวนาจนจิตสงบลงไปแล้ว จะเห็นฝูงสัตว์ทั้งหลายมากันสนั่นหวั่นไหวหลั่งไหลมาขอรับส่วนบุญ
เมื่ออุทิศให้แล้ว เขาก็รับ แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่มาจองเวรจองกรรมอีกต่อไปเพราะเขาเห็นว่า ภพชาติสังขารของเขานั้นมันต่ำช้าลามก
ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ มนุษย์เป็นภพชาติสูงส่งยิ่งกว่าใด ๆ ทั้งหมด สามารถทำคุณงามความดีได้ยิ่งเลิศประเสริฐทุกอย่าง”
ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐
ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์
เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน
“ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ
ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น
ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น”
นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา
แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”
“อย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่นะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
“สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด
รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง
ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
“หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาต่อว่ากลับมาอีก
“โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย
พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้
อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก”
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”
ก็ถามเขาต่อไปว่า ”ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคึน ไม่ได้เเห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”
“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา
ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล
เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้
เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์
แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรร

รัดผูกมัดไว้กับสถานที่นั้น บาปไม่อนุญาตให้ไป เพราะยังไม่หมดเขตเวรกรรม
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า
”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้
แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้วได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น
บุญช่วยแม่พ้นนรก จากประวัติหลวงปู่จันทา ถาวโร
การออกบวช
ทีนี้ก่อนอื่นที่จะออกบวชในศาสนานั้น
แต่ก่อนมาโน้น ก็ยังไม่ได้ใฝ่ฝันในการบวชหรอก
ให้เห็นพระตามสถานที่ต่าง ๆ นั้น ก็มีใจยินดีอยู่
แต่ยังไม่คิดว่าอยากจะบวช
ต่อเมื่อได้สร้างโลก (มีครอบครัว) จบสิ้นลงไปแล้ว
ทีนี้ก็เลยคิดอยากจะออกบวช
ทั้งนี้เพราะมีความคิดถึงผู้บังเกิดเกล้าเหล่ามารดาบิดาผู้มีพระคุณอย่างสุดยิ่ง คิดว่าจะบวชบำเพ็ญบุญอุทิศไปให้ท่าน
เพราะนักปราชญ์ทั้งหลายท่านพูดว่า จะทำอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณของบิดามารดานั้นทำได้แสนยากนัก
จะไปทำไร่ทำนาค้าขายหารายได้จากสิ่งเหล่านั้นมาตอบแทน
ก็ไม่สมดุลกับบุญคุณนั้นจะเอาบิดามารดาขึ้นมานั่งบนบ่าถ่ายราดหนักเบา
ให้ท่านอยู่เย็นสบายทั้งวันคืนก็ยังไม่สมดุลกับบุญคุณของท่าน
บุญคุณของมารดาเท่ากับแผ่นดิน บุญคุณของบิดาเท่ากับแผ่นฟ้าอากาศกว้างกลางหาว จะหาสิ่งใดมาตอบแทนได้ไม่เสมอเหมือน
ปี ๒๔๙๐ ก็เลยได้ออกบวช
ครั้นเมื่อออกบวชแล้วก็ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรม
ด้วยการเดินจงกรม ยืนภาวนา นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์
นั่นแหละ กระทำอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ มาเป็นระยะ ๆ จนอายุพรรษาล่วงมาได้ ๘ พรรษา
ในสมัยหนึ่งได้ไปภาวนาอยู่ที่ วัดป่าหนองแซง อ หนองวัวซอ จ อุดรธานี กับหลวงปู่บัว สิริปุณโณ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น
วันนั้นทำความเพียรอย่างหนัก ไม่ฉันอาหาร เดินจงกรมวันยังค่ำ พอค่ำมาก็เข้าที่นั่งสมาธิ ตลอดทั้งคืน ไม่ยอมนอน
พอล่วงไปถึง ๔ ทุ่มความทุกข์เกิดขึ้น ความร้อนเกิดขึ้น
จนถึงเที่ยงคืนจึงดับพอตี ๑ ความร้อนแสบเย็นเกิดขึ้นอีกเป็นระยะ ๆ
จนกระทั่งแจ้งเป็นวันใหม่ นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิก
มาวันหลังเข้าที่นั่งสมาธิอีก จิตก็สงบ
พอจิตสงบลงไปก็เกิดนิมิตเห็นสัตว์ทั้งหลาย
มีกบเขียดปูหอยนกหนูปูปีกที่ตนได้ฆ่าเขามาแล้วนั้น ทั้งวัวและหมูก็ได้ทำมาแล้วแต่ควายไม่ได้ทำ และมนุษย์ก็ไม่ได้ทำ
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นหลั่งไหลมาเต็มสถานที่นั้น จึงกำหนดจิตถามไปว่า
“มาทำอะไรกันมากมายเช่นนี้ ?”
เขาก็ตอบว่า “ได้ทราบข่าวว่าท่านมาบวชในศาสนาแล้ว จึงมาขอรับส่วนบุญ ขอท่านจงแบ่งส่วนบุญให้ด้วย เพราะท่านเมื่อสมัยที่เป็นฆราวาสนั้นได้ฆ่าพวกข้าพเจ้ากินเป็นอาหาร ฉะนั้น ถ้าไม่แบ่งส่วนบุญให้ จะขอจองเวรจองกรรมนะ ขอให้เป็นผู้ได้ประสบพบปะแต่เหตุเภทร้าย อายุสั้นพลันตาย ประกอบด้วยโรคภัยนานาชนิด ไม่มีวันจบสิ้น”
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ก็เลยตั้งจิตอุทิศแบ่งส่วนบุญไปให้และให้เขารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ แล้วก็บอกให้เขามารับทุกวัน
เขาก็ว่า “ดีแล้ว นับว่าเป็นโชคลาภอันดี จะได้มีโอกาสไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะภพชาติของพวกข้าพเจ้านี้ต่ำช้าลามก ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ทั้งสิ้น”
ก็เลยอุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้นไม่ลดละ จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๐ พรรษา ไม่พบเห็นสัตว์เหล่านั้นมาหาอีกเลย
จึงได้ไปกราบเรียนถามหลวงปู่บัว
ท่านก็ว่า “ผมเองก็เหมือนกัน เมื่อภาวนาจนจิตสงบลงไปแล้ว จะเห็นฝูงสัตว์ทั้งหลายมากันสนั่นหวั่นไหวหลั่งไหลมาขอรับส่วนบุญ
เมื่ออุทิศให้แล้ว เขาก็รับ แล้วไปเกิดเป็นมนุษย์ เขาไม่มาจองเวรจองกรรมอีกต่อไปเพราะเขาเห็นว่า ภพชาติสังขารของเขานั้นมันต่ำช้าลามก
ไม่เหมือนกับพวกมนุษย์ มนุษย์เป็นภพชาติสูงส่งยิ่งกว่าใด ๆ ทั้งหมด สามารถทำคุณงามความดีได้ยิ่งเลิศประเสริฐทุกอย่าง”
ตั้งแต่ออกบวช ปี พ.ศ. ๒๔๙๐
ก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญไม่ลดละ เดินจงกรม ยืนภาวนา ไหว้พระสวดมนต์
เสร็จแล้ว ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้แม่ผู้บังเกิดเกล้าทุกวัน
“ปุญญัง อุททิสสะ ทานัง สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
ขอบุญจงไปช่วยเหลือแม่ของข้าพเจ้านะ ชื่อว่า นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ
ดวงจิตเขานั้นไปสิงสถิตอยู่สถานที่ใด ไกลหรือใกล้นั้น
ขอบุญจงไปช่วยเหลือ ให้พ้นจากทุกข์นั้น”
นั่นแหละ ก็อุทิศส่วนบุญไปให้อย่างนั้น จนกระทั่งอายุพรรษาล่วงมาได้ ๒๕ พรรษา
แม่ก็พ้นจากนรกมืดมาเกิดกับหลานสาว พออายุ ๒ ปี ก็พูดจาได้ความรู้เรื่อง
แม่ยายเขาเรียกใช้ “อีหล้า ไปหยิบของมาให้แม่หน่อย”
“อย่ามาเรียกกู อีหล้า กูเป็นแม่นะ”
“เป็นแม่ได้อย่างไร เพิ่งเกิดมาได้ ๒ ปี”
“สมบัติร่างกายนี้ไม่ใช่แม่หรอก เป็นหลาน แต่ว่าใจของฉันนั้นเป็นแม่ของพวกท่าน”
นั่นแหละ เขาก็เลยมานิมนต์ให้ไปซักไซ้ไต่ถามดู ก็เลยได้ความว่า เคยเป็นแม่ในชาติก่อน เมื่อถามว่า เป็นแม่นั้น มีบุตรกี่คน
เขาก็ตอบได้ว่า มีบุตร ๖ คน คนที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, และ ๖ เขาก็ไล่ชื่อเสียงเรียงนามได้ทั้งหมด
รวมทั้งสามี ภรรยา ญาติมิตรสายโลหิต ปู่ ย่า ตา ยาย เพื่อนบ้าน เขาบอกได้ถูกต้องทุกอย่าง
ตลอดจนเรื่องเรือกสวนไร่นานั้น ก็บอกได้ถูกต้อง รวมทั้งหลักฐาน เครื่องหมายต่างๆ ก็บอกได้ ไม่ผิด
แต่แล้วก็ยังไม่ลงเอยกันนะ จึงได้ถามเขาต่อไปอีกว่า
“หลวงพ่อ คิดถึงเจ้านั่นแหละ จึงได้ออกบวช แล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ ได้รับหรือไม่ ?”
เขาว่า “ได้รับ ได้รับแต่ตอนกลางคืน ๕ ทุ่ม ได้รับทุกคืน แต่ตอนเช้าไม่ได้รับ ไปอยู่ที่ไหนเล่า ?”
เขาต่อว่ากลับมาอีก
“โอ๋...ตอนเช้าหลวงพ่อ ทำบุญน้อย
พอตี ๒ ก็ลุกขึ้นมาทุกวันแล้วนั่งสมาธิตั้งแต่นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันใหม่ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตรเช้า จากนั้นก็ไปทำกิจวัตร จึงไม่ได้อุทิศส่วนบุญไปให้
อุทิศให้เฉพาะตอนเย็น เพราะตอนเย็นเดินจงกรมตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึง ๕ ทุ่ม ทุกวัน แล้วก็หยุดยืน นั่งสมาธิ ไหว้พระ สวดมนต์ อุทิศส่วนบุญไปให้ เพราะตอนเย็นนั้น ได้บำเพ็ญบุญมาก”
เขาว่า “ถ้าได้ทั้งเช้าและเย็น ก็คงจะพ้นจากนรกมืดได้ เร็วกว่านี้”
ก็ถามเขาต่อไปว่า ”ไปอยู่นรกมืดนั้นเป็นอย่างไร ?”
เขาก็ว่า “เมื่อขาดใจแล้ว นายนิริยบาลมาคุมตัวไปฝากไว้ในนรกมืด ไม่มีแสงสว่างเลย มืดทั้งวันทั้งคึน ไม่ได้เเห็นแสงพระอาทิตย์ พระจันทร์เลย”
“ในนรกมีคนมากเท่าไร ?”
“โอ๋...ดวงวิญญาณในนรกมืดนั้นแน่นขนัด อัดแอกันอยู่เหมือนข้าวสารยัดกระสอบนั่นแหละ”
ทีนี้เมื่อพวกท่านอุทิศส่วนบุญไปให้ จ่ายมบาลก็ว่า “นางเลี่ยม ชมภูวิเศษ จงมารับเอาส่วนบุญ ที่ลูกบวชในศาสนาอุทิศมาให้ทุกวันคืน”
นั่นแหละ ฉันก็ดีใจ เมื่อรับเอาบุญทุกวันคืน ตั้งแต่ปี ๒๔๙๐ ไปถึง ๒๕ พรรษา
ก็เลยพ้นจากกรรมชั่วช้าลามกทั้งหลายทั้งปวงนั้น มาอยู่เหนืออำนาจการบังคับของจ่ายมบาล
เพราะอำนาจของบุญนั้นตัดกระแสของบาปกรรมในนรกออกได้
เขาก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง หมดกรรมเวรแล้ว ขอแม่เจ้าจงไปตามเรื่องเถิดจงไปเกิดที่เมืองมนุษย์
แล้วเขาก็เปิดประตูเหล็กให้ เสียงประตูดังสนั่นเหมือนฟ้าร้อง ได้เห็นแสงพระอาทิตย์สว่างจ้าก็ดีใจ แล้วก็หันหน้าไปร้องบอกลาพวกที่ยังอยู่ในนรกว่า
“พี่น้องทั้งหลาย ฉันขอลาไปเกิดเมืองมนุษย์ก่อนนะ”
พวกที่เหลืออยู่ก็ร้องไห้กันสนั่นหวั่นไหว เหมือนอึ่งอ่างในฤดูฝน ไปไหนไม่ได้ เพราะบาปกรร
จากนั้น จ่ายมบาลก็ว่า
”ขอให้ไปดี โชคแม่มีแล้ว เพราะได้ลูกเป็นนักปราชญ์ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม ออกบวชบำเพ็ญบุญ ส่งมาให้ก็ดีมาก นับว่าหาได้ยากในโลกนี้”
นั่นแหละ ก็เห็นอำนาจของการบวชบำเพ็ญบุญอุทิศส่วนบุญไปให้
แม่ไปตกนรกมืด บุญก็ไปช่วยเหลือให้มาเกิดในตระกูลเดิมได้ ก็หมดความห่วงใยอาลัยแล้วได้เห็นผลประจักษ์อย่างนั้น