สวัสดีค่ะ กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อให้กำลังใจคนที่ท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่มีกำลังใจ
ตอนนี้ดิฉันอายุ 32 ปี เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลางในต่างจังหวัด แต่ดิฉันก็สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กในวัยประถม โดยไม่เคยคิดว่าอยากจะขออะไรพ่อแม่ก็บันดาลให้ (ทั้งที่จริงพ่อแม่สามารถให้ได้ทุกอย่าง และมักมีข้อต่อรองกับดิฉันเสมอ เช่นสอบได้ที่ 1 แล้วอยากได้อะไรพ่อแม่ก็จะให้) ดิฉันอยากได้อะไรก็ทำงานเอง (ตอนแรกพ่อแม่ก็ห้ามปรามเหมือนกัน แต่ท่านเห็นว่าไปกับญาติ ไปกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันหลายคน ท่านก็ยอม) ตั้งแต่รับจ้างดำนา เกี่ยวข้าวในช่วงวันหยุดเรียน ช่วงวัยมัธยมก็ใช้แรงงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง ในละแวกใกล้บ้าน วัยรุ่นในยุควิทยาลัยกลางวันเรียน กลางคืนเป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานตั้งแต่ 6โมงเย็น - เที่ยงคืน วัยนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามาเรียนใน กทม. กลางวันเรียน ตอนเย็นทำงานเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น เลิกงาน 4 ทุ่ม (จึงรู้ดีว่ากว่าพ่อแม่จะหาเงินได้แต่ละบาทนั้น คงเหนื่อยมากกว่าเราหลายเท่า และสุดแสนที่จะภูมิใจมากๆๆๆที่เราหาเงินได้ด้วยตัวเอง)
เริ่มเข้าสู่ช่วงเลวร้ายที่สุดของชีวิตคือ ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 (เป็นครั้งแรกของที่ก้าวเข้ามาในกทม.) พ่อกับแม่หย่าร้างกัน เพราะพ่อมีบ้านเล็ก และบ้านเล็กต้องการให้พ่อหย่ากับแม่ของดิฉัน (พ่อของดิฉันเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและเจอบ้านน้อยเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร พ่อมักจะพาลูกน้องไปเลี้ยงอาหารเมื่องานปิดจ็อบเรียบร้อยแล้ว) ท่านทั้งสองหย่ากันได้สักพัก บ้านของดิฉันก็ถูกยึด เพราะพ่อนำบ้านไปเป็นหลักทรัพย์กู้เงินเพื่อทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แล้วพ่อไม่ยอมให้หนี้Bankปล่อยลอยแพ เพราะรักและหลงบ้านน้อยมากๆ ถึงขั้นบัญชีเงินฝาก รายได้จากการรับเหมาก่อสร้างให้เมียใหม่ถือหมด ตอนนั้นดิฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่ก็ไม่รู้จะช่วยแม่ได้ยังไง แม่ก็ไม่มีรายได้อะไรเพราะตลอดเวลาเป็นแม่บ้าน พ่อก็ไม่เคยฝากเงินในชื่อบัญชีของแม่ ไม่ให้แม่ถือเงินเยอะๆ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้านพ่อเป็นคนรับผิดชอบเองหมด บ้านจึงถูกยึดไป พ่อก็หยุดการส่งเสียให้ดิฉันเรียน รายได้จากการเป็นผู้ช่วยสัตวแทพย์ ก็อาทิตย์ละ 1,100 บาท หัวใจของดิฉันแทบสลาย จึงมีความคิดโง่ๆ คิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยการกินน้ำยาขัดห้องน้ำ แต่โชคดีมีเพื่อนที่บ้านเช่าในกทม. กลับมาแล้วได้ยินเสียงผิดปรกติในห้อง พวกเขาจึงงัดประตูห้องและช่วยนำส่งโรงพยาบาล หมอล้างท้องทัน (ดิฉันจึงเข้าใจความรู้สึกของคนที่ฆ่าตัวตายดี ว่าเค้าคงมีปัญหาที่หนักมากๆ หาทางออกไม่เจอ จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ คิดสั้น ) พอดิฉันลืมตาขึ้นมา คนที่ดิฉันเจอคนแรกคือ คุณหมอ นายจ้างของดิฉันเอง สายตาของเค้าดูอ่อนโยน เต็มไปด้วยความเมตตา คุณหมอกุมมือดิฉันและถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สู้ๆนะ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ (ปัญหาที่บ้านดิฉันคุณหมอก็รับทราบหมด เพราะดิฉันมักจะระบายให้เค้าฟัง) และสักพักพ่อกับแม่พร้อมญาติก็มาถึงโรงพยาบาล แม่โผกอดดิฉันและร้องไห้พร้อมกับญาติๆ และพูดออกมาว่า ลูกทำแบบนี้ทำไม ถ้าลูกเป็นอะไรไป แม่จะอยู่ได้ยังไง แม่คงจะฆ่าตัวตายตามไปด้วย (ดิฉันยิ่งรู้สึกเสียใจมากๆที่ได้ยินแม่ร้องไห้และพูดออกมาแบบนั้น รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวมากๆ ที่จะหนีปัญหาโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอยู่ข้างหลัง ว่าเค้าจะอยู่ยังไง ใครจะดูแลเค้า และรู้สึกโชคดีมากๆที่ตัวเองยังไม่ตาย แต่ตอนนี้ก็มีผลกระทบต่อลำไส้และระบบกระเพาะอาหาร จะทานอาหารรสจัดไม่ได้ เพราะจะแสบท้องมากๆ ช่วงปีแรกๆหลังจากกินยาขัดห้องน้ำ ต้องได้กินยาลดกรด ยารักษากระเพาะและลำไส้ตลอด) แต่พ่อของดิฉันกลับโมโหด่าดิฉันว่าทำไมมันไม่ตายๆไปซะ ทั้งๆที่ดิฉันเป็นลูกรักของพ่อมาก ปรึกษาและคุยกับพ่อได้ทุกเรื่อง พ่อบอกฉันเสมอว่า “ลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อ” แต่เพราะผู้หญิงคนนั้นทำให้พ่อเปลี่ยนไปมาก จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ เกิดการทะเลาะกันในโรงพยาบาลระหว่างแม่กับพ่ออีก “ก็เพราะพ่อทำตัวแบบนี้ไง ลูกถึงได้คิดสั้น ถ้าลูกเป็นอะไรไป ฉันจะจองเวรจองกรรมแกตลอดไป” แม่พูดไปร้องไห้ไป คุณหมอจึงจูงมือพ่อกับแม่ไปปรับความเข้าใจ ประมาณว่าขอให้ทั้งคู่กับมาอยู่ด้วยกันมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมเถอะ สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจทำให้พ่อเปลี่ยนใจได้ T_T
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ดิฉันก็ย้ายออกจากบ้านเช่าไปอยู่ห้องเช่า กับแม่ กับน้องชาย แม่กับน้องก็ทำงานรับจ้าง ดิฉันก็เป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์และเรียนปรกติ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ห้องเช่า คุณหมอก็มักจะมาส่งดิฉันที่ห้องเช่าตอนปิดคลินิก และนั่งคุยกับดิฉัน แม่และน้อง จนดึกเกือบทุกวัน พอมาถึงช่วงจ่ายค่าเทอมคุณหมอ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ดิฉันก็เกรงใจและปฏิเสธไป คุณหมอก็บอกว่าเรียนจบค่อยคืนผม ดิฉันซาบซึ้งในความเมตตาของเค้ามากและคิดเสมอว่าเราจะไม่ลืมบุญคุณของเค้าเด็ดขาด อยู่ห้องเช่าสักพักคุณหมอก็ให้ดิฉันและครอบครัวมาอยู่ที่คลินิก จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่า (ด้วยความเป็นเด็กดิฉันก็คิดเสมอว่าเค้าเป็นผู้มีเมตตาและมีพระคุณต่อดิฉันและครอบครัวมากๆไม่เคยคิดอะไรนอกเหนือนายจ้างและผู้มีพระคุณเลย เพราะเค้าเป็นข้าราชการด้วย กลางวันรับราชการ ตอนเย็นก็เปิดคลินิกรักษาสัตว์ และก็หล่อมาก มีลูกค้าสาวๆมาขายขนมจีบทุกวัน เด็กบ้านนอกอย่างเราไม่เคยฝันใฝ่ ไม่เคยคิดว่าเค้าคือชายในฝันแต่เค้าเป็นผู้มีพระคุณ ) มีวันหนึ่งดิฉันอยากไปเยี่ยมยายที่ต่างจังหวัด คุณหมอก็อาสาขับรถพาไป และคุยสนิทสนมกับครอบครัวและญาติๆของดิฉัน จนดิฉันเรียนเข้าสู่ ปี 3 อยู่ๆเค้าก็อาสาไปส่งดิฉันที่มหาวิทยาลัยโดยอ้างว่าไปประชุมแถวมหาวิทยาลัย และทำแบบนี้บ่อยๆ อยู่มาวันนึงดิฉันขึ้นไปบนดาดฟ้า เพื่อไปนั่งชมวิวและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนมาคิดถึงชะตาชีวิตของตัวเองทำไมเหมือนละครจัง จากครอบครัวที่อบอุ่น มีกินมีใช้ไม่เคยอด แล้วทำไมพ่อมาทิ้งพวกเราไปทำไม คิดไปร้องให้ไป สักพักก็มีแขนโอบกอดดิฉัน พร้อมกับพูดว่า ไม่ต้องกลัวนะต่อไปนี้หมอจะดูแลเธอเอง ดิฉันตกใจ พร้อมกับรู้สึกได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ (คุณหมอแอบตามขึ้นไปบนดาดฟ้า เพราะกลัวดิฉันจะคิดสั้นอีก) เค้าได้สารภาพว่า “หมอเริ่มสนใจเธอตั้งแต่ฆ่าตัวตายแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสาร และก็เป็นคนขยัน แต่ไม่แสดงออกให้เธอรู้ตัว ตลอดเวลาหมอเก็บรายละเอียด ทั้งพฤติกรรม นิสัยของเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากและน่าสงสารมากในเวลาเดียวกัน จากความสงสารก็กลายเป็นความรักขึ้นมา ให้โอกาสพี่ได้ดูแลเธอนะ” จากน้ำตาที่มีแต่ความเสียใจก็กลายเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ เราจึงได้ตกลงใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ปี 2549 จนวันนี้ก็ร่วม 11 ปี เค้าเป็นผู้ชายที่ดีมาก ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ติดเพื่อน ชีวิตมีแต่งานๆๆๆและงาน และอยากบอกให้หลายๆคนรู้ ว่าตำรวจที่ดีมากๆๆๆ นั้นมีอยู่จริงค่ะ ตลอดเวลาการใช้ชีวิตคู่นั้นไม่เคยมีเรื่องที่ทำให้ดิฉันเสียใจ มีเถียงกันบ้างในเรื่องไร้สาระ แต่ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตคู่ เค้าดูแลทุกคนในครอบครัวของดิฉันเป็นอย่างดี พวกเราครองชีวิตคู่กันโดยยึดหลัก “มีปัญหาอะไร ขอให้พูดคุยกัน อย่าใช้อารมณ์ อย่าเงียบ เพราะเงียบเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ใช้เหตุผลคุยกัน และที่สำคัญอย่าคิดไปเอง” House is made of brick and stones แต่ Home is made of love and understanding: บ้านนั้นแท้จริงแม้ว่าจะสร้างจากอิฐและปูน แต่ถ้าเติมคำว่า รักและเข้าใจเข้าไปแล้ว ก็จะกลายเป็นบ้านเปี่ยมรัก ผู้ชายต้องการบ้านที่จะเป็นแหล่งพักกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเข้าใจ ผู้หญิงก็เช่นกัน บ้านที่เปี่ยมไปด้วยความรักและจะอยู่ด้วยกันให้ยั่งยืนต้องอยู่ด้วยกัน มธุรสวาจา คือ คำพูดที่ดีงามที่ออกมาอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง ไม่พูดส่อเสียด กระทบกระแทก -ดัน ตัดพ้อต่อว่า ซึ่งเราไม่ชอบอะไรเราก็ไม่ควรทำแบบนั้นใส่กับชีวิตคู่ของเรา ในชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าความเป็น เพื่อนแท้ของกันและกันเพราะเพื่อนแท้จะรักกัน เข้าใจกัน โดยไม่จำเป็นจะต้องพูดจา
ฟ้าหลังฝนนั้นย่อมสดใจเสมอ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคนที่กำลังท้อแท้ ประสบกับปัญหาในชีวิต สติ นั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ และดิฉันขอนำหลักธรรมของการครองเรือน หรือ ชีวิตสมรส คือการที่ชายและหญิงมีความพอใจในรสสัมผัสซึ่งกันและกัน ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จะเผชิญกับปัญหาร่วมกัน และมีความพยายามที่จะดำเนินชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขในการครองเรือน การที่บุคคล 2 คน ซึ่งต่างก็มีพื้นฐานจากครอบครัวเดิมต่างกัน มีความคิด ค่านิยม รสนิยมต่างกัน มาอยู่ร่วมกัน ย่อมก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวจะมีสุขได้ เพราะด้วยเหตุจากการประพฤติตนของสามีและภรรยา บุคคลทั้งสองนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถดลบันดาลให้ครอบครัวนั้น ๆ เป็นสวรรค์ที่น่าอยู่หรือเป็นนรกก็ได้
ดังนั้นการเลือกใครมาเป็นคู่ครองของตนนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงสมชีวิกถา 4 ข้อ คือเหตุที่ทำให้คู่สมรสครองเรือนได้ยืดยาว
1. สมศรัทธา ให้เลือกบุคคลที่มีความเชื่อเลื่อมใสในศาสนาหรือสิ่งเคารพบูชาต่าง ๆ เหมือนกัน มีความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน มีจุดมุ่งหมายในชีวิตเหมือนกัน ตลอดจนมีรสนิยมตรงกัน
2. สมศีลา ให้เลือกบุคคลที่มีความประพฤติ ศีลธรรม จรรยามารยาท มีพื้นฐานการอบรมพอเหมาะสอดคล้องกัน ไปกันได้ หรืออยู่ในระดับเดียวกัน จะได้ไม่เป็นเหตุให้เกิดความรังเกียจิซึ่งกันและกัน
3. สมจาคา ให้เลือกบุคคลที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีใจกว้าง มีความเสียสละ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น บุคคลที่เสมอกันด้วยจาคะนี้จะทำให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เพราะเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องเสียสละทั้งทรัพย์สินเสียสละความสุขของตน เพื่อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
4. สมปัญญา ให้เลือกบุคคลที่มีปัญญาเสมอกัน คือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ มีการใช้ความคิดเพื่อแก้ปัญหา
นอกเหนือจากการเลือกคู่โดยใช้หลักสมชีวิกถา 4 แล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลือกคนที่มีลักษณะ 4 อย่างดังต่อไปนี้มาเป็นคู่ครอง เพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันชาติ (ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์)
1. เลือกบุคคลที่มีความขยันในการประกอบอาชีพ
2. เลือกบุคคลที่เป็นคนประหยัด รู้จักออมทรัพย์
3. เลือกบุคคลที่รู้จักคบคนดีเป็นเพื่อน
4. เลือกบุคคลที่มีการเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อนัก
หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกันของสามี-ภรรยา
เมื่อผ่านขั้นตอนการเลือกคู่แล้ว การอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยา ทั้งคู่จะต้องมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกัน ดังนี้
สามีมีหน้าที่ 5 ประการ
1. ให้ความนับถือ ยอมรับฐานะแห่งภรรยา
2. ยกย่องให้เกียรติ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยาม
3. มีความซื่อสัตย์ ไม่นอกใจ
4. มอบความเป็นใหญ่
5. หาเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายมามอบให้
ภรรยามีหน้าที่ 5 ประการ
1. จัดดูแลงานบ้านให้เรียบร้อย
2. ใส่ใจสงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี
3. ซื่อสัตย์ ไม่ประพฤติผิดนอกใจ
4. ช่วยประหยัดดูแลรักษาทรัพย์ที่หามาได้
5. ขยัน ไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง
สามีภรรยาเป็นบุคคลที่พึ่งเป็นพึ่งตายซึ่งกันและกัน ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่ประพฤตินอกใจกันและกัน เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจของกันและกัน ท่านทรงสอนให้คู่สมรสมีสัจจะคือจริงใจ หรือซื่อสัตย์ต่อกัน สอนให้มีจาคะ เสียสละให้ปันกัน ได้ทรัพย์มาก็จัดสรรทรัพย์ที่หาได้ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ท่านทรงสอนให้มีทมะ คือรู้จักข่มใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ ระงับอารมณ์ หรือความรู้สึกต่อเหตุบกพร่องของกันและกัน และเมื่ออยู่ร่วมกันบางช่วงของชีวิตคู่ คนใดคนหนึ่งอาจจะเจ็บป่วยประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ คู่สมรสก็ต้องมีความอดทน (ขันติ) ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ อดทนต่อกัน
จากชีวิตเด็กบ้านแตก สู่ครอบครัวที่อบอุ่น
ตอนนี้ดิฉันอายุ 32 ปี เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลางในต่างจังหวัด แต่ดิฉันก็สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กในวัยประถม โดยไม่เคยคิดว่าอยากจะขออะไรพ่อแม่ก็บันดาลให้ (ทั้งที่จริงพ่อแม่สามารถให้ได้ทุกอย่าง และมักมีข้อต่อรองกับดิฉันเสมอ เช่นสอบได้ที่ 1 แล้วอยากได้อะไรพ่อแม่ก็จะให้) ดิฉันอยากได้อะไรก็ทำงานเอง (ตอนแรกพ่อแม่ก็ห้ามปรามเหมือนกัน แต่ท่านเห็นว่าไปกับญาติ ไปกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันหลายคน ท่านก็ยอม) ตั้งแต่รับจ้างดำนา เกี่ยวข้าวในช่วงวันหยุดเรียน ช่วงวัยมัธยมก็ใช้แรงงานเป็นกรรมกรก่อสร้าง ในละแวกใกล้บ้าน วัยรุ่นในยุควิทยาลัยกลางวันเรียน กลางคืนเป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานตั้งแต่ 6โมงเย็น - เที่ยงคืน วัยนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามาเรียนใน กทม. กลางวันเรียน ตอนเย็นทำงานเป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์ ทำงานตั้งแต่ 6 โมงเย็น เลิกงาน 4 ทุ่ม (จึงรู้ดีว่ากว่าพ่อแม่จะหาเงินได้แต่ละบาทนั้น คงเหนื่อยมากกว่าเราหลายเท่า และสุดแสนที่จะภูมิใจมากๆๆๆที่เราหาเงินได้ด้วยตัวเอง)
เริ่มเข้าสู่ช่วงเลวร้ายที่สุดของชีวิตคือ ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 (เป็นครั้งแรกของที่ก้าวเข้ามาในกทม.) พ่อกับแม่หย่าร้างกัน เพราะพ่อมีบ้านเล็ก และบ้านเล็กต้องการให้พ่อหย่ากับแม่ของดิฉัน (พ่อของดิฉันเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและเจอบ้านน้อยเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหาร พ่อมักจะพาลูกน้องไปเลี้ยงอาหารเมื่องานปิดจ็อบเรียบร้อยแล้ว) ท่านทั้งสองหย่ากันได้สักพัก บ้านของดิฉันก็ถูกยึด เพราะพ่อนำบ้านไปเป็นหลักทรัพย์กู้เงินเพื่อทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แล้วพ่อไม่ยอมให้หนี้Bankปล่อยลอยแพ เพราะรักและหลงบ้านน้อยมากๆ ถึงขั้นบัญชีเงินฝาก รายได้จากการรับเหมาก่อสร้างให้เมียใหม่ถือหมด ตอนนั้นดิฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่ก็ไม่รู้จะช่วยแม่ได้ยังไง แม่ก็ไม่มีรายได้อะไรเพราะตลอดเวลาเป็นแม่บ้าน พ่อก็ไม่เคยฝากเงินในชื่อบัญชีของแม่ ไม่ให้แม่ถือเงินเยอะๆ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในบ้านพ่อเป็นคนรับผิดชอบเองหมด บ้านจึงถูกยึดไป พ่อก็หยุดการส่งเสียให้ดิฉันเรียน รายได้จากการเป็นผู้ช่วยสัตวแทพย์ ก็อาทิตย์ละ 1,100 บาท หัวใจของดิฉันแทบสลาย จึงมีความคิดโง่ๆ คิดสั้นฆ่าตัวตายด้วยการกินน้ำยาขัดห้องน้ำ แต่โชคดีมีเพื่อนที่บ้านเช่าในกทม. กลับมาแล้วได้ยินเสียงผิดปรกติในห้อง พวกเขาจึงงัดประตูห้องและช่วยนำส่งโรงพยาบาล หมอล้างท้องทัน (ดิฉันจึงเข้าใจความรู้สึกของคนที่ฆ่าตัวตายดี ว่าเค้าคงมีปัญหาที่หนักมากๆ หาทางออกไม่เจอ จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ คิดสั้น ) พอดิฉันลืมตาขึ้นมา คนที่ดิฉันเจอคนแรกคือ คุณหมอ นายจ้างของดิฉันเอง สายตาของเค้าดูอ่อนโยน เต็มไปด้วยความเมตตา คุณหมอกุมมือดิฉันและถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง สู้ๆนะ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ (ปัญหาที่บ้านดิฉันคุณหมอก็รับทราบหมด เพราะดิฉันมักจะระบายให้เค้าฟัง) และสักพักพ่อกับแม่พร้อมญาติก็มาถึงโรงพยาบาล แม่โผกอดดิฉันและร้องไห้พร้อมกับญาติๆ และพูดออกมาว่า ลูกทำแบบนี้ทำไม ถ้าลูกเป็นอะไรไป แม่จะอยู่ได้ยังไง แม่คงจะฆ่าตัวตายตามไปด้วย (ดิฉันยิ่งรู้สึกเสียใจมากๆที่ได้ยินแม่ร้องไห้และพูดออกมาแบบนั้น รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวมากๆ ที่จะหนีปัญหาโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอยู่ข้างหลัง ว่าเค้าจะอยู่ยังไง ใครจะดูแลเค้า และรู้สึกโชคดีมากๆที่ตัวเองยังไม่ตาย แต่ตอนนี้ก็มีผลกระทบต่อลำไส้และระบบกระเพาะอาหาร จะทานอาหารรสจัดไม่ได้ เพราะจะแสบท้องมากๆ ช่วงปีแรกๆหลังจากกินยาขัดห้องน้ำ ต้องได้กินยาลดกรด ยารักษากระเพาะและลำไส้ตลอด) แต่พ่อของดิฉันกลับโมโหด่าดิฉันว่าทำไมมันไม่ตายๆไปซะ ทั้งๆที่ดิฉันเป็นลูกรักของพ่อมาก ปรึกษาและคุยกับพ่อได้ทุกเรื่อง พ่อบอกฉันเสมอว่า “ลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อ” แต่เพราะผู้หญิงคนนั้นทำให้พ่อเปลี่ยนไปมาก จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ เกิดการทะเลาะกันในโรงพยาบาลระหว่างแม่กับพ่ออีก “ก็เพราะพ่อทำตัวแบบนี้ไง ลูกถึงได้คิดสั้น ถ้าลูกเป็นอะไรไป ฉันจะจองเวรจองกรรมแกตลอดไป” แม่พูดไปร้องไห้ไป คุณหมอจึงจูงมือพ่อกับแม่ไปปรับความเข้าใจ ประมาณว่าขอให้ทั้งคู่กับมาอยู่ด้วยกันมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมเถอะ สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจทำให้พ่อเปลี่ยนใจได้ T_T
หลังจากออกจากโรงพยาบาล ดิฉันก็ย้ายออกจากบ้านเช่าไปอยู่ห้องเช่า กับแม่ กับน้องชาย แม่กับน้องก็ทำงานรับจ้าง ดิฉันก็เป็นผู้ช่วยสัตวแพทย์และเรียนปรกติ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ห้องเช่า คุณหมอก็มักจะมาส่งดิฉันที่ห้องเช่าตอนปิดคลินิก และนั่งคุยกับดิฉัน แม่และน้อง จนดึกเกือบทุกวัน พอมาถึงช่วงจ่ายค่าเทอมคุณหมอ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วย ดิฉันก็เกรงใจและปฏิเสธไป คุณหมอก็บอกว่าเรียนจบค่อยคืนผม ดิฉันซาบซึ้งในความเมตตาของเค้ามากและคิดเสมอว่าเราจะไม่ลืมบุญคุณของเค้าเด็ดขาด อยู่ห้องเช่าสักพักคุณหมอก็ให้ดิฉันและครอบครัวมาอยู่ที่คลินิก จะได้ไม่ต้องเสียค่าเช่า (ด้วยความเป็นเด็กดิฉันก็คิดเสมอว่าเค้าเป็นผู้มีเมตตาและมีพระคุณต่อดิฉันและครอบครัวมากๆไม่เคยคิดอะไรนอกเหนือนายจ้างและผู้มีพระคุณเลย เพราะเค้าเป็นข้าราชการด้วย กลางวันรับราชการ ตอนเย็นก็เปิดคลินิกรักษาสัตว์ และก็หล่อมาก มีลูกค้าสาวๆมาขายขนมจีบทุกวัน เด็กบ้านนอกอย่างเราไม่เคยฝันใฝ่ ไม่เคยคิดว่าเค้าคือชายในฝันแต่เค้าเป็นผู้มีพระคุณ ) มีวันหนึ่งดิฉันอยากไปเยี่ยมยายที่ต่างจังหวัด คุณหมอก็อาสาขับรถพาไป และคุยสนิทสนมกับครอบครัวและญาติๆของดิฉัน จนดิฉันเรียนเข้าสู่ ปี 3 อยู่ๆเค้าก็อาสาไปส่งดิฉันที่มหาวิทยาลัยโดยอ้างว่าไปประชุมแถวมหาวิทยาลัย และทำแบบนี้บ่อยๆ อยู่มาวันนึงดิฉันขึ้นไปบนดาดฟ้า เพื่อไปนั่งชมวิวและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนมาคิดถึงชะตาชีวิตของตัวเองทำไมเหมือนละครจัง จากครอบครัวที่อบอุ่น มีกินมีใช้ไม่เคยอด แล้วทำไมพ่อมาทิ้งพวกเราไปทำไม คิดไปร้องให้ไป สักพักก็มีแขนโอบกอดดิฉัน พร้อมกับพูดว่า ไม่ต้องกลัวนะต่อไปนี้หมอจะดูแลเธอเอง ดิฉันตกใจ พร้อมกับรู้สึกได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ (คุณหมอแอบตามขึ้นไปบนดาดฟ้า เพราะกลัวดิฉันจะคิดสั้นอีก) เค้าได้สารภาพว่า “หมอเริ่มสนใจเธอตั้งแต่ฆ่าตัวตายแล้ว ว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสาร และก็เป็นคนขยัน แต่ไม่แสดงออกให้เธอรู้ตัว ตลอดเวลาหมอเก็บรายละเอียด ทั้งพฤติกรรม นิสัยของเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากและน่าสงสารมากในเวลาเดียวกัน จากความสงสารก็กลายเป็นความรักขึ้นมา ให้โอกาสพี่ได้ดูแลเธอนะ” จากน้ำตาที่มีแต่ความเสียใจก็กลายเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ เราจึงได้ตกลงใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ปี 2549 จนวันนี้ก็ร่วม 11 ปี เค้าเป็นผู้ชายที่ดีมาก ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ติดเพื่อน ชีวิตมีแต่งานๆๆๆและงาน และอยากบอกให้หลายๆคนรู้ ว่าตำรวจที่ดีมากๆๆๆ นั้นมีอยู่จริงค่ะ ตลอดเวลาการใช้ชีวิตคู่นั้นไม่เคยมีเรื่องที่ทำให้ดิฉันเสียใจ มีเถียงกันบ้างในเรื่องไร้สาระ แต่ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตคู่ เค้าดูแลทุกคนในครอบครัวของดิฉันเป็นอย่างดี พวกเราครองชีวิตคู่กันโดยยึดหลัก “มีปัญหาอะไร ขอให้พูดคุยกัน อย่าใช้อารมณ์ อย่าเงียบ เพราะเงียบเราก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ใช้เหตุผลคุยกัน และที่สำคัญอย่าคิดไปเอง” House is made of brick and stones แต่ Home is made of love and understanding: บ้านนั้นแท้จริงแม้ว่าจะสร้างจากอิฐและปูน แต่ถ้าเติมคำว่า รักและเข้าใจเข้าไปแล้ว ก็จะกลายเป็นบ้านเปี่ยมรัก ผู้ชายต้องการบ้านที่จะเป็นแหล่งพักกายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเข้าใจ ผู้หญิงก็เช่นกัน บ้านที่เปี่ยมไปด้วยความรักและจะอยู่ด้วยกันให้ยั่งยืนต้องอยู่ด้วยกัน มธุรสวาจา คือ คำพูดที่ดีงามที่ออกมาอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง ไม่พูดส่อเสียด กระทบกระแทก -ดัน ตัดพ้อต่อว่า ซึ่งเราไม่ชอบอะไรเราก็ไม่ควรทำแบบนั้นใส่กับชีวิตคู่ของเรา ในชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าความเป็น เพื่อนแท้ของกันและกันเพราะเพื่อนแท้จะรักกัน เข้าใจกัน โดยไม่จำเป็นจะต้องพูดจา
ฟ้าหลังฝนนั้นย่อมสดใจเสมอ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้ใครหลายๆคนที่กำลังท้อแท้ ประสบกับปัญหาในชีวิต สติ นั้นเป็นสิ่งสำคัญมากๆ และดิฉันขอนำหลักธรรมของการครองเรือน หรือ ชีวิตสมรส คือการที่ชายและหญิงมีความพอใจในรสสัมผัสซึ่งกันและกัน ตกลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จะเผชิญกับปัญหาร่วมกัน และมีความพยายามที่จะดำเนินชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขในการครองเรือน การที่บุคคล 2 คน ซึ่งต่างก็มีพื้นฐานจากครอบครัวเดิมต่างกัน มีความคิด ค่านิยม รสนิยมต่างกัน มาอยู่ร่วมกัน ย่อมก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวจะมีสุขได้ เพราะด้วยเหตุจากการประพฤติตนของสามีและภรรยา บุคคลทั้งสองนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถดลบันดาลให้ครอบครัวนั้น ๆ เป็นสวรรค์ที่น่าอยู่หรือเป็นนรกก็ได้
ดังนั้นการเลือกใครมาเป็นคู่ครองของตนนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงสมชีวิกถา 4 ข้อ คือเหตุที่ทำให้คู่สมรสครองเรือนได้ยืดยาว
1. สมศรัทธา ให้เลือกบุคคลที่มีความเชื่อเลื่อมใสในศาสนาหรือสิ่งเคารพบูชาต่าง ๆ เหมือนกัน มีความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน มีจุดมุ่งหมายในชีวิตเหมือนกัน ตลอดจนมีรสนิยมตรงกัน
2. สมศีลา ให้เลือกบุคคลที่มีความประพฤติ ศีลธรรม จรรยามารยาท มีพื้นฐานการอบรมพอเหมาะสอดคล้องกัน ไปกันได้ หรืออยู่ในระดับเดียวกัน จะได้ไม่เป็นเหตุให้เกิดความรังเกียจิซึ่งกันและกัน
3. สมจาคา ให้เลือกบุคคลที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี มีใจกว้าง มีความเสียสละ มีความพร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น บุคคลที่เสมอกันด้วยจาคะนี้จะทำให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เพราะเมื่อคนเราอยู่ด้วยกันก็ต้องเสียสละทั้งทรัพย์สินเสียสละความสุขของตน เพื่อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
4. สมปัญญา ให้เลือกบุคคลที่มีปัญญาเสมอกัน คือ รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์ มีการใช้ความคิดเพื่อแก้ปัญหา
นอกเหนือจากการเลือกคู่โดยใช้หลักสมชีวิกถา 4 แล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เลือกคนที่มีลักษณะ 4 อย่างดังต่อไปนี้มาเป็นคู่ครอง เพื่อประโยชน์สุขในปัจจุบันชาติ (ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์)
1. เลือกบุคคลที่มีความขยันในการประกอบอาชีพ
2. เลือกบุคคลที่เป็นคนประหยัด รู้จักออมทรัพย์
3. เลือกบุคคลที่รู้จักคบคนดีเป็นเพื่อน
4. เลือกบุคคลที่มีการเลี้ยงชีวิตตามสมควรแก่กำลังทรัพย์ที่หามาได้ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อนัก
หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกันของสามี-ภรรยา
เมื่อผ่านขั้นตอนการเลือกคู่แล้ว การอยู่ร่วมกันเป็นสามีภรรยา ทั้งคู่จะต้องมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกัน ดังนี้
สามีมีหน้าที่ 5 ประการ
1. ให้ความนับถือ ยอมรับฐานะแห่งภรรยา
2. ยกย่องให้เกียรติ ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยาม
3. มีความซื่อสัตย์ ไม่นอกใจ
4. มอบความเป็นใหญ่
5. หาเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายมามอบให้
ภรรยามีหน้าที่ 5 ประการ
1. จัดดูแลงานบ้านให้เรียบร้อย
2. ใส่ใจสงเคราะห์คนข้างเคียงของสามี
3. ซื่อสัตย์ ไม่ประพฤติผิดนอกใจ
4. ช่วยประหยัดดูแลรักษาทรัพย์ที่หามาได้
5. ขยัน ไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง
สามีภรรยาเป็นบุคคลที่พึ่งเป็นพึ่งตายซึ่งกันและกัน ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่ประพฤตินอกใจกันและกัน เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจของกันและกัน ท่านทรงสอนให้คู่สมรสมีสัจจะคือจริงใจ หรือซื่อสัตย์ต่อกัน สอนให้มีจาคะ เสียสละให้ปันกัน ได้ทรัพย์มาก็จัดสรรทรัพย์ที่หาได้ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ท่านทรงสอนให้มีทมะ คือรู้จักข่มใจ รู้จักควบคุมอารมณ์ ระงับอารมณ์ หรือความรู้สึกต่อเหตุบกพร่องของกันและกัน และเมื่ออยู่ร่วมกันบางช่วงของชีวิตคู่ คนใดคนหนึ่งอาจจะเจ็บป่วยประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ คู่สมรสก็ต้องมีความอดทน (ขันติ) ต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ อดทนต่อกัน