นิยายเรื่อง รอยอธิษฐาน

คำอธิษฐานผูกรั้ง        รอรัก
รอยเก่ากรรมสลัก            พลัดเจ้า
เสน่หาบ่จางจาก            คอยรัก น้องเฮย
พี่คร่ำครวญคอยเฝ้า         รอเจ้ากลับคืน


ตะวันสูง…แดดสายทอแสงจัดจ้า ลานวัดที่เมื่อเช้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ก็กลับบางตาลง งานบุญวันออกพรรษาวายแล้ว ยังคงเหลือชาวบ้านสองสามคน กำลังช่วยกันเก็บกวาดข้าวของ ส่งเสียงเสียงจอแจอยู่ในครัวท้ายวัด หมาวัดสองสามตัวกำลังวิ่งตาม  ‘ตาถา’ ขโยมวัด  วัยชรา เพื่อขอปันเศษอาหาร ‘หลวงปู่บุญ’ เจ้าอาวาส กำลังย่างเหยาะขึ้นรถสองแถวสีแดง เพื่อไปรับกิจนิมนต์ มี ‘ปู่จ๋าน ’ ถือขันดอกเดินนำ ลูกศิษย์สองสามคนช่วยพยุงและเป็นธุระขับรถรับส่งให้ วัดใหญ่กลางเมืองแม้จะมีเจ้าศรัทธามากมาย แต่ชุมชนเมืองที่ผู้คนพลุกพล่าน ก็ล้วนแต่มีภารกิจที่มากมายด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเสร็จกิจบุญ ก็ต่างพากันหันไปหาการงานของตนเองกันหมด

วัด ‘แก้วกนก’ ในยามสายเช่นนี้... จึงเงียบเหงาไปถนัดตา

ใต้ร่มไทรใบหนากลางลานวัด ปรากฏร่างหญิงสาวสองคน ทั้งคู่เพิ่งลงจากรถจักรยานยนต์สีแดง คนหนึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อสีเหลืองสดกับกางเกงยีนส์รัดรูปสีฟ้าซีด เรือนผมสีแดงเพลิง ดัดเป็นลอนฟูฟ่อง ใบหน้าสวยเฉี่ยวมีเค้าของชาวตะวันตกให้เห็นผ่านสันจมูกโด่งและแก้มตกกระจาง ๆ  อีกนางหนึ่งเป็นหญิงสาววัยเดียวกัน รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าเรียวรูปไข่ ผิวขาวเหลือง ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนดูรับกันดีกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย หล่อนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีซีดถลอกไม่ต่างกันกับเพื่อนฝรั่ง  

“ไงล่ะ มาวัดตอนสาย คนน้อยดี พระก็พลอยน้อยตามไปด้วย แล้วแกจะไปนิมนต์ใครมารับสังฆทานล่ะทีนี้”
    
‘ปาระมี’ หรือ ‘ปาน’ ถอนใจ อากาศร้อนจัดจนแก้มนวลเป็นสีชมพูระเรื่อ หญิงสาวยกมือขึ้นป้องแดดกวาดตามองไปรอบ ๆ เวลาเกือบเพลแล้วแต่เพื่อนของหล่อนเพิ่งจะมาวัด
    
“เอาน่าปาน... มาทำบุญ จะอะไรมากมาย หงุดหงิดโมโหไป เดี๋ยวก็ไม่ได้บุญหรอก”
    
เจนนิษา หรือ เจนนี่ สาวลูกครึ่งอเมริกันพูดเบา ๆ เห็นร่างผอมไหวไหล่อย่างหงุดหงิด

“เงียบเกินไปไหมล่ะ นี่ถ้าไม่มีพระมารับนิมนต์ล่ะก็ ฉันจะกลับก่อนล่ะนะ”

เจนนิษายักไหล่ หล่อนเหลือบมองตัวเองผ่านกระจกจักรยานยนต์ จัดทรงผม บรรจงเกลี่ยสีดำที่หางตาให้สวยเฉี่ยวคม และกระทั่งยิงฟันขาว เพื่อตรวจเช็คอุปกรณ์ความงามที่หมอฟันเพิ่ง‘ติด’ ให้หล่อนมาได้ไม่กี่วัน

ปาระมีหิ้วถังสังฆทานออกมาเดินใกล้วิหารหลวง ได้ยินเสียงลมตีใบโพธิ์ใหญ่ ดังซู่ซ่าดังไปทั่วลานวัด ลมพัดเย็นรื่น เป็นความสงบร่มเย็นของวัดที่สัมผัสได้ แตกต่างจากความจอแจเมื่อตอนหัวรุ่งที่หล่อนได้เจอ เมื่อตอนมาตักบาตรกับครอบครัว

“โอ้...เกือบลืม แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ”

เจนนิษาแตะไหล่เพื่อนเบา ๆ ปาระมียิ้มให้

“ขอบใจนะ”

“ว้าว! นั่นของขวัญวันเกิดเหรอ”

แสงวิบวับสะท้อนจากซอกคอปกเสื้อของปาระมี เผยให้เห็นสร้อยคอทองคำเหลืองอร่าม

“ฮื่อ… ”

ปาระมีดึงสร้อยคอออกมาอวด

“แม่ให้มาเมื่อเช้า เจ้าปกกับเจ้าป้องอิจฉากันน่าดู”
หล่อนหัวเราะเมื่อนึกถึงหน้าน้องชายฝาแฝด ‘ปกบุญ’ กับ ‘ป้องคุณ’ แฝดเหมือนวัย 17 ปี เจนนิษาจ้องมองสร้อยเส้นใหม่ของหล่อนอย่างชื่นชม ทองใหม่ดูไม่สนใจเท่ากับจี้เก่า จี้พระกรอบทองฉลุลายโบราณที่แขวนคู่กันบนอกเสื้อ ดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กรอบพระเก่าคร่าจนกระจกเป็นฝ้ามัว มองเห็นด้านในไม่ถนัด

“นั่น … พระอะไรน่ะ”

เจนนิษาหยิบจี้ขึ้นเพ่งดู มองเห็นเป็นพระทองคำรูปทรงบุบบี้อยู่ด้านใน

“ไม่รู้สิ แม่ว่าคงเป็นหลวงพ่อแก้วกนกนี่แหละ”

“อ้าว… แล้วเอามาจากไหนล่ะ”

สาวผมแดงสงสัย เจ้าของสร้อยเม้มปาก

“แม่ไม่ได้บอก”

เจนนิษาโคลงหัว ปล่อยจี้ห้อยคืนที่คอปาระมีตามเดิม ไม่ใส่ใจจะซักไซ้อะไรอีก

“สวยแปลกดี”

หญิงสาวออกความเห็น ละความสนใจจากจี้พระ แล้วชวนกันขึ้นบนวิหารหลวงแทน
    
“เราขึ้นไปไหว้พระบนวิหารกันดีกว่า”

ปาระมีประตูวิหารหลวงยังเปิดกว้างเหมือนอย่างที่หล่อนเห็นเมื่อเช้า บานประตูเป็นไม้เนื้อหนา แกะสลักเป็นรูปเทวดาพนมมืออยู่บานละองค์ ทั้งสองบานลงรักปิดทองแวววาวสวยงามราวกับเป็นของใหม่ ปาระมีก้มศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะยกขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ความเชื่อเรื่องเทวดาเฝ้าประตู ที่แม่เคยสอนไว้แต่ยังเล็ก ยังคงติดแน่นในความทรงจำ

“ที่ประตูวิหาร จะมีเทวดาคอยเฝ้าอารักข์อยู่ เวลาเราจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป อย่าลืมก้มคำนับ ทำความเคารพเทวดาผู้รักษาประตูด้วย”
คำพูดของแม่ ปาระมียังจำได้และก็ปฏิบัติเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้ง ไม่ว่าจะเหยียบย่างเข้าไปในวิหารหลวงวัดใดก็ตาม

ภายในวิหารหลวง บรรยากาศแตกต่างจากตอนช่วงเช้าอย่างสิ้นเชิง ผู้คนที่จอแจแน่นวิหาร… บัดนี้ เหลือเพียงแค่หญิงสาวสองคนเท่านั้น ปาระมียอบนั่งลงตรงหน้าพระประธาน ‘หลวงพ่อแก้วกนก’ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ซึ่งทอดสายตาลงมองต่ำ ราวกับกำลังมองผู้ที่มากราบไหว้เคารพท่านอยู่ด้วยความปราณี สว่างพราววาวเรืองด้วยแสงเทียนหลายสิบเล่มที่แท่นวางหน้าองค์พระ ปาระมีมองภาพเบื้องหน้าด้วยใจปลื้มปีติ

“ผ่านไปกี่ปี ๆ วัดบ้านเราก็ยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”

ปาระมีรำพึง กว่าสิบปี ที่หล่อนจากบ้านเกิดไป การไปเรียนหนังสือที่ ‘สิงคโปร์’
ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก หากไม่นับว่า การฝันซ้ำ ๆ ถึงวัดแห่งนี้บ่อย ๆ จะทำให้ในใจหล่อนร่ำร้องอยากกลับบ้านตลอดมา...  สิบปีผ่านไปแล้ว เมื่อหล่อนได้กลับมานั่งตรงหน้าพระประธานทุกครั้ง ใจหล่อนก็รู้สึกอิ่มเต็ม เหมือนกับได้กลับมาบ้านอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงการได้กลับไปที่บ้านของหล่อนเองเท่านั้น แต่หล่อนรู้สึกพึงใจเมื่อได้มานั่งตรงหน้าพระประธานมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด

กว่าสี่ร้อยปีมาแล้ว ที่วิหารหลวงแห่งวัดแก้วกนก เป็นที่ประดิษฐานของ ‘หลวงพ่อแก้วกนก’ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่บรรจุอัฐิของ “หลวงพ่อแก้ว” พระภิกษุชื่อดังแห่งล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือท่านหนึ่งได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่นี่เมื่อครั้งสร้างวัดแก้วกนกขึ้น พระความงดงามขององค์พระพุทธรูปทองคำ ไม่เพียงแต่ทรงพลังที่ความเก่าขรึมขลังเท่านั้น แต่ทว่าเวลาผ่านไปกว่าสี่ร้อยปีแล้ว องค์พระพุทธรูปยังคงดูสวยสมบูรณ์และคงความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังประวัติของวัดแก้วกนกที่ว่า เมื่อร้อยปีที่แล้วเกิดไฟไหม้ขึ้นที่วิหารหลวงแห่งนี้ ทุกอย่างมอดไหม้หมดไป เหลือเพียงแต่องค์พระประธาน ที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม ไม่มีรอยระคายของเปลวไฟ เลยแม้แต่น้อย

“สวยไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ ”

เจนนิษาคุกเข่าลงนั่งข้างหล่อน หล่อนกวาดตามองไปรอบวิหาร ชื่นชมความงดงามอันเป็นความทรงจำในวัยเยาว์ของทั้งคู่ด้วยดวงตาอิ่มเอม เจนนิษาจากบ้านไปเรียนที่เดียวกับปาระมี ทั้งคู่สนิทสนมกันตั้งแต่ยังเล็ก เป็นทั้งเพื่อนบ้าน เพื่อนเล่น เพื่อนเรียน และสุดท้ายก็เรียนจบมาจากที่เดียวกัน กลับมาพร้อมกัน เป็นบัณฑิตที่รองาน เหมือน ๆ กัน
พัดลมแบบกังหันที่กลางวิหารยังคงหมุนขวับ ๆ ส่งเสียงหึ่ง ๆ ปาระมีสะดุดตาเข้ากับรูปภาพของบุรุษสตรีคู่หนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางออกทางทิศเหนือ เป็นภาพขาวดำ สลักใต้ภาพไว้ว่า เจ้าคำสิงห์ เจ้าดาวเรือง วังพิทักษ์
    
หญิงสาวหยุดจ้องมองอย่างสนใจ

“นามสกุลเหมือนชื่อคุ้มเก่าหลังวัดนี้เลย”

ปาระมีพูดขึ้นเบา ๆ หล่อนหมายถึงคุ้มเจ้านายฝ่ายเหนือที่อยู่ด้านหลังวัดแก้วกนกนี้ ปัจจุบันเป็นคุ้มร้าง อาณาบริเวณคุ้มถูกปกคลุมด้วยหนามรก แม้ประตูรั้วจะชำรุดผุพังขาดการซ่อมแซม ก็ยากที่จะมีใครกล้ำกรายไปที่นั่น ด้วยเลื่องลือกันว่าผีที่คุ้มเก่านั้น ดุนัก

“เจ้าดาวเรืองนี่สวยจังเลยนะ นี่คงเป็นรูปตอนยังสาว ดูเหมือนแกยังไงก็ไม่รู้”

เจนนิษาว่า จ้องมองรูปเจ้าทั้งสองอย่างพินิจพิเคราะห์ ปาระมีทำตาดุ

“นี่! พูดอะไรอย่างนั้นล่ะ เรื่องเจ้าเรื่องนาย มาทำตลกได้ไง”

หญิงสาวละสายตาจากรูปภาพ กวาดมองไปเบื้องหน้า ทางด้านทิศเหนือของวิหารเป็นบันไดขึ้นลง เดาว่าเป็นทางของพระภิกษุที่ใช้ขึ้นลงวิหารเมื่อประกอบกิจพิธี ช่องประตูมีบานไม้แกะสลักขนาดใหญ่ถูกหุ้มด้วยกรอบไม้สีดำ ปิดทับด้วยกระจกสีชาเนื้อหนา คงแต่ยังมองเห็นภายในได้เด่นชัด บานประตูแกะสลักด้วยลวดลายแลดูวิจิตรงามตา ทว่าแลดูเก่าคร่า แลเห็นเนื้อไม้บางส่วนมีรอยปริแตก และบางส่วนมีรอยดำไหม้เป็นปื้น
อากาศภายในวิหารเย็นขึ้นมาดื้อ ๆ พัดลมบนเพดานยังคงหมุนเรื่อย ๆ ไม่มีท่าทีว่าจะแรงขึ้นหรือเบาลง ปาระมีปรายตาออกไปนอกหน้าต่าง แดดข้างนอกยังร้อนระอุจนเห็นเปลวไอร้อนที่ลานปูนหน้าพระเจดีย์

“ออกไปเลยไหม”

เจนนิษาชวน ปาระมีจึงชันตัวขึ้นนั่งคุกเข่า สายตาสอดประสานเข้ากับรูปถ่ายของเจ้าทั้งสองโดยบังเอิญ ความเหน็บหนาวราวกับจะพุ่งเข้าโจมตีโดยฉับพลัน ปาระมีรีบก้มหน้า ซ่อนสายตาไว้ในเส้นผมสีน้ำตาลที่ปล่อยสยายลงมาประข้างแก้ม

คุ้มเก่าหลังวัด... เจ้าเมืองเหนือ... แม้แต่ในรูปภาพ
สายตาก็ยังดูมีพลังอำนาจลึกลับชวนให้ขนลุก ปาระมีนั่งตัวเกร็ง ตาจ้องมองที่พระพุทธรูปตรงหน้าอย่างตั้งใจ จะกลัวอะไร ที่นี่ในวิหารหลวงแท้ ๆ
หญิงสาวประนมมือนิ่ง ก่อนจะค่อยก้มลงกราบพระอย่างตั้งใจ เสียงตีระฆังดังแว่วมาจากด้านนอก พระคงจะกลับมาสักรูปแล้ว...ใกล้เวลาเพลแล้วอย่างนั้นหรือ
หญิงสาวค่อยน้อมตัวลงกราบ ... จู่ ๆ หล่อนก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้าง ๆ ตัว
ครั้นรีบเงยหน้าขึ้น หันขวับไปมองที่ต้นเสียง ก็พบเพียงเงาจาง ๆ ของตัวเองที่สะท้อนมาจากกระจกสีชาที่ปิดอยู่ตรงบานประตูแกะสลักของวิหารเท่านั้น
ปาระมีหรี่ตามองให้มั่นใจ ก่อนจะเหลือบมองไปยังเจนนิษา เพื่อนสาวยังคงนั่งพนมมือไหว้พระด้วยใบหน้าเรียบเฉย

ปาระมีหันกลับมายังองค์พระ ค่อยก้มลงกราบพระลงอีกเป็นครั้งที่ 2 ทว่าเสียงกุกกักข้างตัวฉุดสมาธิลงให้วูบหายไปอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมองยังต้นเสียงเช่นเดิม มองเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกสีชา ทว่าเพียงชั่วดึงสายตากลับ เงาภาพตัวเองในกระจกกลับลดขนาดลงจนสังเกตได้ ปาระมีกระตุกสายตากลับมาโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงเสี้ยวนาที เงาร่างของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงผมจุกวัยไม่น่าจะเกิน 5 ขวบ นั่งพนมมือท่าเดียวกับหล่อน เงานั้นกำลังหันมามองหญิงสาวอยู่ ป้องปากมองหล่อน แล้วหัวเราะคิกคักชอบใจ

ปาระมีตาเหลือก

“กรี๊ด”

สติสัมปชัญญะขาดผึงลงฉับพลัน ปาระมีลนลานควานคว้ากุญแจรถข้างตัว รีบโกยอ้าวลงจากวิหารอย่างเร่งร้อน ไม่สนใจฟังเสียงร้องเรียกอย่างตกใจของเพื่อนสาวบนโบสถ์

“ปาน เกิดอะไรขึ้น”

“ผี เจนนี่!!  ผี!!”

ร่างผอมสตาร์ทรถแทบไม่รอสาวผมแดงที่วิ่งตัวปลิวลงจากวิหาร หล่อนกระโดดขึ้นคร่อมซ้อนท้ายเพื่อนสาวทันในเสี้ยววินาทีที่หล่อนกระชากตัวพุ่งออกจากวัดแก้วกนกไปชนิดไม่เหลียวหลัง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่