4G ตัวเร่งเปลี่ยนโลกธุรกิจนำร่อง Any ID จุดพลุ 'อีเพย์เมนต์'
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559
จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2558 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) และเห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อพัฒนาระบบอีเพย์เมนต์ในประเทศให้ครบวงจร ภายใต้แผนสำคัญ 5 โครงการ ได้แก่
1.โครงการระบบการชำระเงิน Any ID การใช้เลขรหัสเดียวในการทำธุรกรรม 2.โครงการการขยายการใช้บัตร 3.โครงการระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 4. e-Payment ภาครัฐ และ 5.โครงการให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
และในการประชุมคณะกรรมการ ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ เมื่อ 5 ก.พ. 2559 ยังกำหนดกรอบดำเนินงานให้เสร็จสิ้นใน 1 ปีครึ่ง โดยระบุว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ราว 75,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่ระบบ Any ID คาดว่าจะใช้เลขที่บัตรประชาชน และหมายเลขโทรศัพท์ในการทำธุรกรรมการเงิน โดยให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนใช้หมายเลขได้ในไตรมาส 2
เปิดใช้ Any ID กลางปี
ในงานสัมมนา "โลกการเงินใหม่ในยุค 4G" จัดโดยมันนี่ชาแนล (29 ก.พ. 2559) นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายใน พ.ค.-มิ.ย. ประชาชนจะได้ใช้ระบบ Any ID ที่รวมเลขหมาย เช่น เบอร์มือถือ, บัตรประชาชน และเลขที่บัญชี เป็นต้น เป็นหมายเลขเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการโอนเงินระหว่างบุคคล โดยช่วงแรกจะเริ่มที่หมายเลขมือถือกับเลขที่บัญชี จากปัจจุบันมีการใช้สมาร์ทโฟนทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชั่น และโมบายเว็บจำนวนมาก
นอกจากนี้ จะต้องสร้างระบบนิเวศให้ครบทั้งการขยายการใช้การ์ด, ยื่นภาษีอิเล็กทรอนิกส์, ระบบอีเพย์เมนต์ภาครัฐ และให้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคและธุรกิจหันมาใช้ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มฟินเทค หรือสตาร์ตอัพที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับระบบการเงินเพราะช่วยให้ผู้บริโภค และธุรกิจเข้าถึงการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
"เนชั่นแนลอีเพย์เมนต์ช่วยลดขั้นตอนต่าง ๆ และอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค และธุรกิจ ถ้าใช้งานเต็มระบบ การโอนเงินของผู้บริโภคก็จะสะดวก และยกระดับสู่ Cashless Society ได้เร็วขึ้น ทำให้รัฐกับเอกชนมีระบบภาษีที่ชัดเจน มีช่องทางใหม่ ๆ ในการทำธุรกรรม เช่น การกู้เงินแบบ P2P ที่ไม่ต้องมีสถาบันการเงินกำกับหรือ Crowd Funding"
และเมื่อทุกอย่างวิ่งอยู่บนระบบดิจิทัลทำให้ความปลอดภัยมีความสำคัญ ซึ่ง ธปท.อยู่ระหว่างการออกแนวนโยบายเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบอีเพย์เมนต์ โดยให้ผู้ประกอบการ เช่น ผู้ให้บริการอีวอลเลตเสนอความเห็น รวมถึงทำงานร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงไอซีที และแบงก์พาณิชย์ ออกแบบระบบความปลอดภัย และกระตุ้นให้สตาร์ตอัพกลุ่มฟินเทคเข้ามาให้บริการได้เต็มประสิทธิภาพ
ชู "เดบิตการ์ด" บูมอีเพย์เมนต์
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย กล่าวว่า การใช้บัตรประชาชนเพื่อชำระสินค้า หรือบริการตามโครงการเนชั่นแนลอีเพย์เมนต์ ต้องลงทุนระบบความปลอดภัยสูง เพราะมีข้อมูลส่วนบุคคล และเป็นบัตรที่ประชาชนทุกคนต้องมี ในช่วงแรกการใช้บัตรจึงจะอยู่ในรูปแบบเดบิต เนื่องจากมีการใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าต้องจ่ายยังต่ำกว่าเครดิตการ์ด
"ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้า และบริการผ่านระบบโมบายเพย์เมนต์มากขึ้น ทำให้ธนาคารต่าง ๆ คิดค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรถูกลง เพื่อแข่งขันกับโมบาย เพย์เมนต์ กรุงไทยเองก็ต้องปรับตัวทั้งกลยุทธ์ และการตลาด รวมถึงเฟ้นหา ฟินเทคมาพัฒนาบริการ"
ด้าน นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ในเครือ ซี.พี. กล่าวว่า ต้องกระตุ้นให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการชำระเงินออนไลน์ เพราะแม้การซื้อของออนไลน์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 50% เทียบกับปีก่อน แต่คิดเป็น 1-1.5% ของมูลค่าการค้าปลีกในไทย ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาที่คิดเป็น 12% และจีนที่คิดเป็น 13% ทั้งอีคอมเมิร์ซในไทยยังไม่อยู่บนโลกออนไลน์เต็มรูปแบบ ครึ่งหนึ่งยังชำระเงินปลายทาง (Cash on Delivery) และใช้วิธีโอนเงิน
จากนโยบายดังกล่าวทำให้ผู้กำกับกิจการด้านการเงิน เช่น ธปท. เริ่มเปิดให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกี่ยวกับการเงิน เช่น การกู้ยืมเงินแบบบุคคลผ่านระบบออนไลน์ (P2P Lending) ซึ่งระบบนี้มีใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอเมริกา, จีน และอังกฤษ แต่กฎหมายไทยยังไม่รองรับ จึงต้องขอใบอนุญาตจาก ธปท. และควรสร้างมาตรฐานกลางเพื่อใช้ได้เต็มรูปแบบ ซึ่งบริษัทสนใจที่จะเป็นผู้ให้บริการ หลังจากให้บริการระบบอีวอลเลตแล้ว
นอกจากนี้ ยังพร้อมสนับสนุนให้เกิดสตาร์ตอัพกลุ่มฟินเทค เพื่อสร้างช่องทางใหม่ในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยพร้อมเป็นพันธมิตรธุรกิจ และช่วยเหลือด้านการตลาด
หนุน "ฟินเทค"-อัพซิเคียวริตี้
นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท.จะสนับสนุนเทค สตาร์ตอัพด้านการเงิน (ฟินเทค) เพราะเป็นฟันเฟืองใหม่ของเศรษฐกิจประเทศไทย โดยอาศัยประสบการณ์ในการลงทุน เพื่อเชื่อมต่อเว็บพอร์ทัลต่าง ๆ ให้กลุ่มฟินเทคเข้าถึงข้อมูลได้กว้างขึ้น รวมถึงการอบรมกลุ่มสตาร์ตอัพทุกรูปแบบให้มีความรู้เรื่องการระดมทุน และให้สิทธิประโยชน์ในการเข้ามาระดมทุนเพื่อสร้างทุนให้เติบโต และแข่งขันในระดับภูมิภาคได้
และการที่ไทยเริ่มให้บริการ 4G ทำให้โครงสร้างพื้นฐานในการใช้งานระบบดิจิทัล ดีขึ้น จนสมาร์ทโฟนและแท็บเลตเป็นอุปกรณ์สำคัญในวงการการเงิน ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งพร้อมใช้บริการ ดังนั้น ตลท.และหน่วยงานอื่น ๆ จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้บริโภคเข้าถึงธุรกรรมออนไลน์ เพื่อเดินหน้านโยบายดิจิทัลอีโคโนมี โดย ตลท.เตรียมปรับปรุงระบบซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯให้รองรับเทคโนโลยีต่างประเทศ และมีความปลอดภัยมากขึ้น
4G ยกระดับอีเพย์เมนต์
ด้าน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การประมูลคลื่น 1800 และ 900 MHz เพื่อยกระดับความเร็วการให้บริการเป็นระบบ 4G ทำให้บริการต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีส่วนช่วยให้เกิดเนชั่นแนลอีเพย์เมนต์ ซึ่งที่ผ่านมาการแข่งขันระหว่างโอเปอเรเตอร์ ทำให้ต่างเร่งติดตั้งโครงข่ายอย่างรวดเร็ว เช่น กรณี 3G ตามข้อกำหนดต้องครอบคลุม 85% ของประชากรในประเทศภายใน 4 ปี แต่ปัจจุบันครอบคลุมกว่า 95% แล้ว ขณะที่ ความเร็วขั้นต่ำต้องทำได้ 384 Kbps แต่การแข่งขันทำให้ความเร็วเฉลี่ยขึ้นไปถึง 3 Mbps
"การทำ Any ID เราก็มีส่วนช่วยเหลือภาครัฐ ผ่านการลงทะเบียนซิม แต่เพื่อความปลอดภัยจะทำให้ข้อมูลต่าง ๆ มีการเข้ารหัสมากกว่าเดิม เพราะบางคนโดนนำเลขหมายไปขอซิมใหม่เพื่อรับ OTP (One Time Password) และทำธุรกรรมแทนผู้ถือบัญชีตัวจริง ซึ่ง กสทช.คุยกับ ธปท. และ ปปง. เพื่อสร้างความปลอดภัย และระบบป้องกันเหตุร้ายต่าง ๆ"
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 1, 32, 28)
'4G' ตัวเร่งเปลี่ยนโลกธุรกิจนำร่อง 'Any ID' จุดพลุ 'อีเพย์เมนต์'
ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559
จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2558 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) และเห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อพัฒนาระบบอีเพย์เมนต์ในประเทศให้ครบวงจร ภายใต้แผนสำคัญ 5 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการระบบการชำระเงิน Any ID การใช้เลขรหัสเดียวในการทำธุรกรรม 2.โครงการการขยายการใช้บัตร 3.โครงการระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 4. e-Payment ภาครัฐ และ 5.โครงการให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์
และในการประชุมคณะกรรมการ ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ฯ เมื่อ 5 ก.พ. 2559 ยังกำหนดกรอบดำเนินงานให้เสร็จสิ้นใน 1 ปีครึ่ง โดยระบุว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนของระบบเศรษฐกิจได้ราว 75,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่ระบบ Any ID คาดว่าจะใช้เลขที่บัตรประชาชน และหมายเลขโทรศัพท์ในการทำธุรกรรมการเงิน โดยให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนใช้หมายเลขได้ในไตรมาส 2
เปิดใช้ Any ID กลางปี
ในงานสัมมนา "โลกการเงินใหม่ในยุค 4G" จัดโดยมันนี่ชาแนล (29 ก.พ. 2559) นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายใน พ.ค.-มิ.ย. ประชาชนจะได้ใช้ระบบ Any ID ที่รวมเลขหมาย เช่น เบอร์มือถือ, บัตรประชาชน และเลขที่บัญชี เป็นต้น เป็นหมายเลขเดียว เพื่อเพิ่มความสะดวกในการโอนเงินระหว่างบุคคล โดยช่วงแรกจะเริ่มที่หมายเลขมือถือกับเลขที่บัญชี จากปัจจุบันมีการใช้สมาร์ทโฟนทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชั่น และโมบายเว็บจำนวนมาก
นอกจากนี้ จะต้องสร้างระบบนิเวศให้ครบทั้งการขยายการใช้การ์ด, ยื่นภาษีอิเล็กทรอนิกส์, ระบบอีเพย์เมนต์ภาครัฐ และให้สิทธิประโยชน์เพื่อกระตุ้นผู้บริโภคและธุรกิจหันมาใช้ระบบมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มฟินเทค หรือสตาร์ตอัพที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับระบบการเงินเพราะช่วยให้ผู้บริโภค และธุรกิจเข้าถึงการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้
"เนชั่นแนลอีเพย์เมนต์ช่วยลดขั้นตอนต่าง ๆ และอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภค และธุรกิจ ถ้าใช้งานเต็มระบบ การโอนเงินของผู้บริโภคก็จะสะดวก และยกระดับสู่ Cashless Society ได้เร็วขึ้น ทำให้รัฐกับเอกชนมีระบบภาษีที่ชัดเจน มีช่องทางใหม่ ๆ ในการทำธุรกรรม เช่น การกู้เงินแบบ P2P ที่ไม่ต้องมีสถาบันการเงินกำกับหรือ Crowd Funding"
และเมื่อทุกอย่างวิ่งอยู่บนระบบดิจิทัลทำให้ความปลอดภัยมีความสำคัญ ซึ่ง ธปท.อยู่ระหว่างการออกแนวนโยบายเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในระบบอีเพย์เมนต์ โดยให้ผู้ประกอบการ เช่น ผู้ให้บริการอีวอลเลตเสนอความเห็น รวมถึงทำงานร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงไอซีที และแบงก์พาณิชย์ ออกแบบระบบความปลอดภัย และกระตุ้นให้สตาร์ตอัพกลุ่มฟินเทคเข้ามาให้บริการได้เต็มประสิทธิภาพ
ชู "เดบิตการ์ด" บูมอีเพย์เมนต์
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย กล่าวว่า การใช้บัตรประชาชนเพื่อชำระสินค้า หรือบริการตามโครงการเนชั่นแนลอีเพย์เมนต์ ต้องลงทุนระบบความปลอดภัยสูง เพราะมีข้อมูลส่วนบุคคล และเป็นบัตรที่ประชาชนทุกคนต้องมี ในช่วงแรกการใช้บัตรจึงจะอยู่ในรูปแบบเดบิต เนื่องจากมีการใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งค่าธรรมเนียมที่ร้านค้าต้องจ่ายยังต่ำกว่าเครดิตการ์ด
"ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้า และบริการผ่านระบบโมบายเพย์เมนต์มากขึ้น ทำให้ธนาคารต่าง ๆ คิดค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรถูกลง เพื่อแข่งขันกับโมบาย เพย์เมนต์ กรุงไทยเองก็ต้องปรับตัวทั้งกลยุทธ์ และการตลาด รวมถึงเฟ้นหา ฟินเทคมาพัฒนาบริการ"
ด้าน นายปุณณมาศ วิจิตรกุลวงศากรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด ในเครือ ซี.พี. กล่าวว่า ต้องกระตุ้นให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในการชำระเงินออนไลน์ เพราะแม้การซื้อของออนไลน์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 50% เทียบกับปีก่อน แต่คิดเป็น 1-1.5% ของมูลค่าการค้าปลีกในไทย ต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาที่คิดเป็น 12% และจีนที่คิดเป็น 13% ทั้งอีคอมเมิร์ซในไทยยังไม่อยู่บนโลกออนไลน์เต็มรูปแบบ ครึ่งหนึ่งยังชำระเงินปลายทาง (Cash on Delivery) และใช้วิธีโอนเงิน
จากนโยบายดังกล่าวทำให้ผู้กำกับกิจการด้านการเงิน เช่น ธปท. เริ่มเปิดให้ใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกี่ยวกับการเงิน เช่น การกู้ยืมเงินแบบบุคคลผ่านระบบออนไลน์ (P2P Lending) ซึ่งระบบนี้มีใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอเมริกา, จีน และอังกฤษ แต่กฎหมายไทยยังไม่รองรับ จึงต้องขอใบอนุญาตจาก ธปท. และควรสร้างมาตรฐานกลางเพื่อใช้ได้เต็มรูปแบบ ซึ่งบริษัทสนใจที่จะเป็นผู้ให้บริการ หลังจากให้บริการระบบอีวอลเลตแล้ว
นอกจากนี้ ยังพร้อมสนับสนุนให้เกิดสตาร์ตอัพกลุ่มฟินเทค เพื่อสร้างช่องทางใหม่ในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยพร้อมเป็นพันธมิตรธุรกิจ และช่วยเหลือด้านการตลาด
หนุน "ฟินเทค"-อัพซิเคียวริตี้
นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท.จะสนับสนุนเทค สตาร์ตอัพด้านการเงิน (ฟินเทค) เพราะเป็นฟันเฟืองใหม่ของเศรษฐกิจประเทศไทย โดยอาศัยประสบการณ์ในการลงทุน เพื่อเชื่อมต่อเว็บพอร์ทัลต่าง ๆ ให้กลุ่มฟินเทคเข้าถึงข้อมูลได้กว้างขึ้น รวมถึงการอบรมกลุ่มสตาร์ตอัพทุกรูปแบบให้มีความรู้เรื่องการระดมทุน และให้สิทธิประโยชน์ในการเข้ามาระดมทุนเพื่อสร้างทุนให้เติบโต และแข่งขันในระดับภูมิภาคได้
และการที่ไทยเริ่มให้บริการ 4G ทำให้โครงสร้างพื้นฐานในการใช้งานระบบดิจิทัล ดีขึ้น จนสมาร์ทโฟนและแท็บเลตเป็นอุปกรณ์สำคัญในวงการการเงิน ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มหนึ่งพร้อมใช้บริการ ดังนั้น ตลท.และหน่วยงานอื่น ๆ จึงพร้อมสนับสนุนให้ผู้บริโภคเข้าถึงธุรกรรมออนไลน์ เพื่อเดินหน้านโยบายดิจิทัลอีโคโนมี โดย ตลท.เตรียมปรับปรุงระบบซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯให้รองรับเทคโนโลยีต่างประเทศ และมีความปลอดภัยมากขึ้น
4G ยกระดับอีเพย์เมนต์
ด้าน นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การประมูลคลื่น 1800 และ 900 MHz เพื่อยกระดับความเร็วการให้บริการเป็นระบบ 4G ทำให้บริการต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และมีส่วนช่วยให้เกิดเนชั่นแนลอีเพย์เมนต์ ซึ่งที่ผ่านมาการแข่งขันระหว่างโอเปอเรเตอร์ ทำให้ต่างเร่งติดตั้งโครงข่ายอย่างรวดเร็ว เช่น กรณี 3G ตามข้อกำหนดต้องครอบคลุม 85% ของประชากรในประเทศภายใน 4 ปี แต่ปัจจุบันครอบคลุมกว่า 95% แล้ว ขณะที่ ความเร็วขั้นต่ำต้องทำได้ 384 Kbps แต่การแข่งขันทำให้ความเร็วเฉลี่ยขึ้นไปถึง 3 Mbps
"การทำ Any ID เราก็มีส่วนช่วยเหลือภาครัฐ ผ่านการลงทะเบียนซิม แต่เพื่อความปลอดภัยจะทำให้ข้อมูลต่าง ๆ มีการเข้ารหัสมากกว่าเดิม เพราะบางคนโดนนำเลขหมายไปขอซิมใหม่เพื่อรับ OTP (One Time Password) และทำธุรกรรมแทนผู้ถือบัญชีตัวจริง ซึ่ง กสทช.คุยกับ ธปท. และ ปปง. เพื่อสร้างความปลอดภัย และระบบป้องกันเหตุร้ายต่าง ๆ"
แหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2559 (หน้า 1, 32, 28)