ส่งท้ายจริงๆ ด้วยบันทึกเหตุการณ์ช่วงกองทหารญี่ปุ่นบุกปัตตานีช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ครับ
ภาพจากคุณวันวาน ณ แดนใต้
รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ช่วงเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางที่ตั้งของจังหวัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำปัตตานี มีทั้งเสียงปืนเล็ก ปืนกล ปืนใหญ่เบา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะเป็นการซ้อมรบของทหารบ่อทอง ร. พัน ๔๒
มีคนมาร้องเรียกที่หน้าประตูบ้าน บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว ภรรยาท่านข้าหลวงและภรรยานายอำเภออพยพมาอยู่ที่บ้านขุนธำรงฯ* แล้ว" ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง (* ขุนธำรงพันธุ์ภักดี พี่ชายของภรรยาข้าพเจ้า)
อีกเพียงชั่วครู่ พวกเด็กผู้หญิงอีก ๔ คนก็มาเรียกที่หน้าประตูอีก บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว" ข้าพเจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ความชัดเจนก็พอจะเชื่อถือได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่แท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ นึกแต่ว่า ทหารคงจะไม่ทำอันตรายราษฎร ข้าพเจ้าจึงรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน
ครั้นพอเวลารุ่งสาง ข้าพเจ้าออกมายืนรอดูอยู่หน้าบ้าน มีคนวิ่งผ่านมาและบอกว่า "มันขึ้นมาทางนี้แล้ว ไปช่วยกันเร็ว" ข้าพเจ้าได้บอกให้เขารีบไปแจ้งขอกำลังตำรวจมาช่วยสมทบ และอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว พวกราษฎรชาวปัตตานีต่างพากันวิ่งถือปืนออกไปทำการต่อสู้ต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นกัน แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าใครบ้าง
ข้าพเจ้าจึงรีบเข้าไปเอาพระเครื่องราง ลูกกระสุนปืนแฝด และลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ออกมาแจกจ่ายไปให้หลายคน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง
จากนั้นก็ให้คนเฝ้าประตูบ้านคอยดูแลต้อนรับพวกผู้หญิงและเด็กที่กำลังตื่นตระหนกตกใจวิ่งหนีกันเป็นที่สับสนวุ่นวายไม่รู้จะไปที่แห่งหนใด ให้เข้าไปหลบอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งหมดมีประมาณ ๖๐ คน และสั่งให้จัดแจงหุงหาอาหารมาดูแลกัน
ต่อมาเห็นนายมานิตย์ (เค่งฮ่วน) วัฒนานิกร เดินถือปืนมาที่หน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็แนะนำให้เขารีบไปสมทบที่กองตำรวจ
แล้วข้าพเจ้ารีบวิ่งขึ้นไปเรือนชั้นบนเพื่อตรวจดูทางหน้าต่าง เห็นพวกเรายึดแนวตั้งยิงอยู่ริมทางหลังโรงฆ่าวัว ข้าพเจ้าจึงออกไปทางหลังบ้าน รีบวิ่งหลบหลีกวิถีกระสุนเข้าไปหาพรรคพวกและแจกลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ให้ พร้อมกับกล่าวเตือนสติปลุกใจ แล้วกลับเข้าบ้านมาออกตรวจดูทางหน้าบ้านและพูดให้สติแก่ผู้อพยพให้อยู่ในความสงบอย่าตื่นตกใจ
อยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ความข้องใจก็มีขึ้นอีก ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกทางหลังบ้าน ครั้นพอโผล่หน้าออกประตูไป เห็นมีผู้โบกมือห้ามไม่ให้ออกไป ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งเข้ายึดต้นมะพร้าวเพื่อใช้เป็นที่กำบัง แล้วจึงกวักมือเรียกให้เขามาหา เขาจึงลัดเลาะคลานบ้างวิ่งบ้างเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วบอกว่า เขายิงทหารญี่ปุ่นซึ่งเดินหลงมา ๑ คนไป ๒ นัด แต่ไม่ถูก ทหารญี่ปุ่นคนนั้นวิ่งหนีหายไป ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เขารีบตามไปดูทางบ้านนายโอ๊ะ
ส่วนข้าพเจ้าก็รีบวิ่งเข้าไปหาพรรคพวกทางด้านต้านทานปีกซ้าย แนะนำให้ประหยัดลูกกระสุน อย่ายิงโดยไร้ประโยชน์ เพราะลูกกระสุนเรามีน้อย และได้พูดปลุกปลอบใจให้ฮึกเหิมอีกครั้งก่อนกลับเข้าบ้านมา
ในระหว่างนั้น ข้าพเจ้าก็ได้คอยดูเวลาและวิ่งไปมาระหว่างหน้าบ้าน หลังบ้าน และบนเรือน เพื่อตรวจดูเหตุการณ์ข้างนอก และดูแลความเป็นอยู่ของบรรดาผู้ที่อพยพเข้ามาหลบอยู่ภายในบ้าน ให้คนใช้ และคนที่เป็นผู้ชายซึ่งหลบภัยเข้ามาอาศัยด้วย ช่วยกันระดมขุดหลุมหลบภัยทางอากาศไว้กลางบ้านด้านหลัง ๑ หลุม ขนาดจุคนได้ประมาณ ๕๐ กว่าคน ซึ่งหลุมนั้นได้ขุดเสร็จตามประสงค์ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้สั่งให้ทลายกำแพงเปิดเป็นประตูตลอดกันกับบ้านขุนพจน์สารบาญ ผู้เป็นอาและบ้านนางเป้าเลี่ยง วัฒนายากร แม่ยายของข้าพเจ้า เพื่อให้เดินไปมาหากันได้จากภายในบ้าน
เมื่อข้าพเจ้าออกตรวจดูทางหน้าบ้านอีกครั้ง พบหมอเสถียร ตู้จินดา ได้วิ่งมาและแจ้งว่า ได้รับโทรเลขจากทางกรุงเทพฯ สั่งให้ระงับการต้านทานพวกทหารญี่ปุ่น เมื่อได้ทราบความดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าไปที่แนวต้านทานทางปีกซ้ายอีกเป็นคำรบที่ ๓ ข้าพเจ้าได้เรียกนายเกษม ทรัพย์เกษม และยกมือส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาหาข้าพเจ้า ๑ คน แต่พวกเขากลับพากันคลานคืบเข้ามาหาตั้ง ๕-๖ คน ข้าพเจ้าจึงส่งสัญญาณใหม่โดยยกนิ้วให้ ๑ นิ้ว เพื่อให้เข้ามาหาเพียง ๑ คน และให้ที่เหลือตั้งมั่นรักษาแนวไว้เช่นเดิม แต่ในที่สุดแล้วก็เข้ามากัน ๒ คน
ข้าพเจ้าจึงบอกให้พวกเราระงับการยิงต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นไว้ แต่ให้ตั้งอยู่ในที่มั่นเช่นเดิม และคุมเชิงไว้โดยไม่ยิง โดยแจ้งข่าวที่รับมาจากหมอเสถียร และให้เขาแจ้งต่อๆ กันไปในตลอดแนวของพวกเราถึงแนวของตำรวจ และย้ำว่าอย่าเพิ่งถอย ให้รอจนกว่าเจ้าหน้าที่เขาจะมาแจ้งเองอีกครั้ง พวกนั้นจึงได้คลานกลับเข้ายึดแนวที่มั่นเดิมไว้อีก และส่งข่าวต่อๆ กันไป
ข้าพเจ้ารีบกลับเข้าบ้าน และแจ้งข่าวให้ผู้อพยพทั้งหมดทราบเพื่อให้คลายความหวั่นวิตก แล้วออกมาทางหน้าบ้านอีก มีใครจำไม่ได้ อาจเป็นนายสำราญ พร้อมกับนายอำเภอเมืองและหมอแอสโมรี (...ซึ่งเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มาเปิดคลินิกรักษาในเมืองปัตตานี แต่ครั้นญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามก็แสดงตัวเป็นนายทหารยศพันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น...) ได้นำธงห้ามการยิงกันทั้ง ๒ ฝ่ายมาด้วย โดยนำธงญี่ปุ่นแจ้งให้ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้
เมื่อทั้งหมดได้ทำความเข้าใจกันดีแล้ว ทหารญี่ปุ่น ตำรวจไทย และชาวปัตตานี ต่างก็เข้าร่วมชุมนุมกันที่บริเวณสามแยกถนนนาเกลือ กับถนนอาเนาะรู ตรงหน้าวัดนิกรชนาราม (วัดหัวตลาด) ข้าพเจ้าได้พูดคุยกันกับนายทหารญี่ปุ่นเป็นภาษาใบ้ซึ่งก็พอจะเข้าใจกันอยู่บ้าง
ผลจากการปะทะกันที่แนวต้านทานนี้ปรากฏว่า ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเราไม่มีการเสียชีวิตเลย มีเพียงนายมานิตย์ วัฒนานิกร ถูกยิงที่ไหล่กระสุนทะลุออก แต่นับว่าโชคดีเพราะกระสุนไม่โดนกระดูกแต่อย่างใด
ในระหว่างที่ชุมนุมกันอยู่นั้น มีเสียงเครื่องบินดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แลเห็นฝูงเครื่องบินรบบินเข้าแถวสลับฟันปลาแปรขบวนมุ่งออกไปทางทะเล ข้าพเจ้าทราบจากนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งว่าเป็นเครื่องบินของพวกเขาทั้งนั้น ข้าพเจ้าพอจะนับคะเนได้จำนวน ๔๐ - ๕๐ ลำ แต่เขาเพียงบินลาดตระเวณเฉยๆ ไม่ได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สินอะไรของฝ่ายเราเลย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝ่ายตำรวจไทยก็ได้ถอนกำลังทั้งหมดประมาณ ๑๒ นายกลับสถานีไป โดยมีนายร้อยเอกชายเป็นหัวหน้าชุดควบคุม ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นธุระของข้าพเจ้าช่วยจัดการทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่พวกทหารญี่ปุ่นในทุกทาง เช่น จัดหารถยนต์ให้เขาเพื่อบรรทุกทหารและศพทหารทั้ง ๓ นาย กลับไปพักหน้าจังหวัด ซึ่งในการนี้ก็ค่อนข้างขลุกขลักอยู่เป็นอันมาก
เมื่อเสร็จทางธุระเรื่องของทหารญี่ปุ่นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รีบเดินทางไปที่หน้าสถานีตำรวจ แต่ก็ไม่พบกับท่านข้าหลวง (น.อ. หลวงสุนาวินวิวัฒน์, ร.น.) ซึ่งท่านได้เดินทางไปจังหวัดยะลา พร้อมกับนายมาโนช วัฒนานิกร (พี่ชายนายมานิตย์) และนายทหารญี่ปุ่น เพื่อเบิกทางและทำความเข้าใจกับกองต้านทานของจังหวัดยะลา ให้ระงับการต้านทานตามนโยบายรัฐบาล
เมื่อไม่พบท่านข้าหลวงข้าพเจ้าจึงเดินกลับบ้าน ก็พอดีมีคนวิ่งมาบอกว่าพบเห็นทหารญี่ปุ่นอีก ๑ กอง กำลังเพิ่งจะถึงมาใหม่ ข้าพเจ้าเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดกัน และเกิดยิงต่อสู้กันขึ้นอีก จึงรีบไปหาหมอแอสโมรี และบอกให้รีบไปรับรองกองทหารญี่ปุ่นนี้เสีย ขณะออกเดินกันไปได้เพียงเล็กน้อย ก็พบกับกองทหารที่กลางตลาด กำลังเดินแถว และคุมตัวนายซุ่ยเฉี้ยงเดินชูมือนำหน้าขบวนมา เมื่อหมอแอสโมรีได้ทำความเข้าใจกันดีแล้ว ทหารญี่ปุ่นก็ได้ปล่อยตัวนายซุ่ยเฉี้ยงเป็นอิสระ
ต่อมาเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมเข้าของเงินทองเพื่อจะฝังดินเอาไว้ ตามที่พรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งหลายแนะนำให้อพยพออกจากศูนย์กลางตลาด เพราะเกรงการทิ้งบอมบ์จากฝ่ายอังกฤษ ขณะที่กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มจวนจะแล้วเสร็จ ก็พอดีท่านข้าหลวงได้ส่งรถยนต์มาตามตัวข้าพเจ้าให้รีบไปพบ เมื่อไปถึงก็เห็นว่ามีนายพันโทโกบายาจิ แห่งกองทัพญี่ปุ่น นั่งอยู่ด้วยกับท่านข้าหลวงที่จวน กำลังปรึกษาหารือกันถึงเรื่องฉุกเฉินต่างๆ ว่าจะดำเนินการกันอย่างไร และผู้พันโกบายาจิได้ขอให้เราแจ้งแก่ราษฎรอย่าให้อพยพไปไหน ข้าพเจ้าจึงเรียนขออนุญาตท่านข้าหลวงรีบนำรถยนต์นั่งไปเที่ยวป่าวประกาศบอกราษฎรว่า ไม่ต้องตื่นตระหนกอพยพไปไหน เพราะเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่มาก แล้วข้าพเจ้าก็กลับไปที่จวนเพื่อเรียนให้ท่านข้าหลวงทราบ
ตลอดช่วงเวลาเช้าที่ผ่านมาของวันนั้น ปรากฏว่าบรรดาข้าราชการและราษฎรที่อาศัยอยู่ฝั่งที่ตั้งจังหวัดได้พากันอพยพข้ามสะพานเดชานุชิต และข้ามเรือมาอยู่ทางฝั่งตลาด และบ้างก็อพยพเลยต่อไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น สายหนึ่งอพยพไปที่ กิเซะ ยามู ตลอดระยะทางจนเข้าเขตอำเภอสายบุรี สายหนึ่งอพยพไปอยู่ที่บาระเหม กุโบโต๊ะอาเหย๊าะ แม่ฮ่อ ปุยุต บ้านลี้มอ ล่าเต๊ะ ยะลา ม่วงหมัง ส่วนอีกสายก็ไปทางท่าดาน ปะกาฆอ การอพยพครั้งนี้มีจำนวนทั้งหมดหลายพันคน ส่วนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้ชายเป็นผู้ดูแลควบคุมไป
การยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นที่จังหวัดปัตตานีเมื่อยามใกล้รุ่งของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ นี้ ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกเป็นหลายทาง ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำ ยกพลขึ้นบกที่ตำบลรูสมิแล ริมฝั่งทะเลตลอดมาจนถึงด่านภาษี ที่บริเวณคอกสัตว์และถนนปากน้ำ วางแนวกันกว้าง ได้เกิดการปะทะยิงต่อสู้กับกองทหาร ร.พัน ๔๒ ส่วนด้านบริเวณที่ใกล้จังหวัดและบ้านพักราชการ มีกองตำรวจ ยุวชนทหาร ข้าราชการ ราษฎร ร่วมมือกันต้านทาน
การต่อสู้ต้านทานกองกำลังทหารญี่ปุ่นด้านจังหวัดนี้ ปรากฏว่ามีข้าราชการ ตำรวจ ยุวชนทหาร ราษฎร เสียชีวิตประมาณ ๒๔ คน เป็นยุวชนทหาร ๕ คน ทหารไทย ร.พัน ๔๒ เสียชีวิตประมาณ ๔๐ คน รวมทั้งผู้บังคับกองพัน พันตรีขุนอิงคยุทธบริหารก็เสียชีวิตไปด้วย ส่วนทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตมากมายถึงร้อยกว่านาย
ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำ ยกพลขึ้นบกที่ริมทะเลตรงข้ามกับด่านภาษี ยกขบวนไปตามถนนนาเกลือ ปะทะการต้านทานของเลือดไทยแท้ๆ ซึ่งมีปืนสั้น ปืนแฝด ปืนเดี่ยว ปืนเมาเซอร์ต่อด้าม แบบเลือดชาวบ้านบางระจัน ปะทะกันอยู่นานประมาณ ๕ นาที ก่อนที่กองกำลังตำรวจประมาณ ๑๐ นายได้เข้าทำการร่วมมือต่อสู้ต้านทานด้วย สามารถต้านทานอยู่นานถึง ๒ ชั่วโมง กว่าที่จะมีคำสั่งจากทางรัฐบาลให้ยุติการยิงต้านทาน
การปะทะกันด้านถนนนาเกลือนี้ ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเรามีเพียงได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ไหล่ ๑ คน ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว
เวลาต่อมา เรือลำเลียงก็บรรทุกทหารแล่นเข้าลำน้ำปัตตานีเป็นขบวนยาวยืด ทหาร และสัมภาระ รถทหาร ถูกลำเลียงขึ้นบกอย่างคับคั่ง พวกทหารแนวหน้าก็รีบจับหารถโดยสารยึดไปบรรทุกทหารรีบเร่งผ่านหน้าจังหวัดเลยไปยังจุดหมายปลายทางคือ เบตง
เรือลำเลียงทหาร มองดูสุดสายตาซึ่งจอดอยู่ในทะเล ในระหว่างนั้น ท้องทะเลจะดูเต็มไปด้วยเรือรบหลายชนิด และเรือลำเลียงขนส่งทหารขึ้นบก มองดูบนถนน จะแลเห็นรถบรรทุกของทหารขนส่งสรรพวัตถุ เสบียง และขนส่งทหารเรื่อยๆ ไป ตลอดวันและค่ำคืน ทหารก็ทำการขนเข้าของขึ้นจากเรือกันอย่างหนักตลอดวัน ถนนหนทางในเมืองเต็มไปด้วยการสัญจรของพวกทหารอย่างหนาแน่น ท่าเรือริมแม่น้ำก็เต็มไปด้วยเรือลำเลียงเทียบตลิ่ง ทหารช่างก็ซ่อมแซมสะพานกันอย่างรีบเร่งเพื่อขึ้นของหนัก เช่น ตัวรถทุกชนิดถึงรถแทงก์ และรถบดหินทำถนน จะเดินไปทางไหนก็จะต้องหลบหลีกทหารไปทุกหนทุกแห่ง ร้านค้ากลางตลาดก็ปิดหมด
กองทหารญี่ปุ่นก็พักกันอยู่อย่างหนาแน่นทั้งสองฝั่งแม่น้ำปัตตานี อาศัยเกือบทุกบ้านเรือนและสถานที่ราชการ วัตถุสัมภาระทุกชนิด และน้ำมันเชื้อเพลิงก็วางเต็มไปตามริมถนนหน้าจังหวัด ยวดยานของเอกชน ถูกเก็บขนไปใช้เพื่อการทหารเกือบหมด ไม่มีเหลืออยู่เลยนอกจากที่ได้มีการเก็บซ่อนไว้อย่างดี
กระทู้ก่อนนอน (๑๐๘)
ภาพจากคุณวันวาน ณ แดนใต้
รุ่งเช้าของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ช่วงเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. ได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางที่ตั้งของจังหวัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำปัตตานี มีทั้งเสียงปืนเล็ก ปืนกล ปืนใหญ่เบา ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะเป็นการซ้อมรบของทหารบ่อทอง ร. พัน ๔๒
มีคนมาร้องเรียกที่หน้าประตูบ้าน บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว ภรรยาท่านข้าหลวงและภรรยานายอำเภออพยพมาอยู่ที่บ้านขุนธำรงฯ* แล้ว" ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง (* ขุนธำรงพันธุ์ภักดี พี่ชายของภรรยาข้าพเจ้า)
อีกเพียงชั่วครู่ พวกเด็กผู้หญิงอีก ๔ คนก็มาเรียกที่หน้าประตูอีก บอกว่า "ญี่ปุ่นมาแล้ว" ข้าพเจ้าสอบถามเพิ่มเติมได้ความชัดเจนก็พอจะเชื่อถือได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่แท้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้ นึกแต่ว่า ทหารคงจะไม่ทำอันตรายราษฎร ข้าพเจ้าจึงรอฟังข่าวอยู่ที่บ้าน
ครั้นพอเวลารุ่งสาง ข้าพเจ้าออกมายืนรอดูอยู่หน้าบ้าน มีคนวิ่งผ่านมาและบอกว่า "มันขึ้นมาทางนี้แล้ว ไปช่วยกันเร็ว" ข้าพเจ้าได้บอกให้เขารีบไปแจ้งขอกำลังตำรวจมาช่วยสมทบ และอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว พวกราษฎรชาวปัตตานีต่างพากันวิ่งถือปืนออกไปทำการต่อสู้ต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นกัน แต่ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าใครบ้าง
ข้าพเจ้าจึงรีบเข้าไปเอาพระเครื่องราง ลูกกระสุนปืนแฝด และลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ออกมาแจกจ่ายไปให้หลายคน แต่จำไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง
จากนั้นก็ให้คนเฝ้าประตูบ้านคอยดูแลต้อนรับพวกผู้หญิงและเด็กที่กำลังตื่นตระหนกตกใจวิ่งหนีกันเป็นที่สับสนวุ่นวายไม่รู้จะไปที่แห่งหนใด ให้เข้าไปหลบอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าก่อนเพื่อความปลอดภัย ทั้งหมดมีประมาณ ๖๐ คน และสั่งให้จัดแจงหุงหาอาหารมาดูแลกัน
ต่อมาเห็นนายมานิตย์ (เค่งฮ่วน) วัฒนานิกร เดินถือปืนมาที่หน้าบ้าน ข้าพเจ้าก็แนะนำให้เขารีบไปสมทบที่กองตำรวจ
แล้วข้าพเจ้ารีบวิ่งขึ้นไปเรือนชั้นบนเพื่อตรวจดูทางหน้าต่าง เห็นพวกเรายึดแนวตั้งยิงอยู่ริมทางหลังโรงฆ่าวัว ข้าพเจ้าจึงออกไปทางหลังบ้าน รีบวิ่งหลบหลีกวิถีกระสุนเข้าไปหาพรรคพวกและแจกลูกกระสุนปืนรีวอลเวอร์ให้ พร้อมกับกล่าวเตือนสติปลุกใจ แล้วกลับเข้าบ้านมาออกตรวจดูทางหน้าบ้านและพูดให้สติแก่ผู้อพยพให้อยู่ในความสงบอย่าตื่นตกใจ
อยู่เพียงชั่วครู่หนึ่ง ความข้องใจก็มีขึ้นอีก ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกทางหลังบ้าน ครั้นพอโผล่หน้าออกประตูไป เห็นมีผู้โบกมือห้ามไม่ให้ออกไป ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งเข้ายึดต้นมะพร้าวเพื่อใช้เป็นที่กำบัง แล้วจึงกวักมือเรียกให้เขามาหา เขาจึงลัดเลาะคลานบ้างวิ่งบ้างเข้ามาหาข้าพเจ้าแล้วบอกว่า เขายิงทหารญี่ปุ่นซึ่งเดินหลงมา ๑ คนไป ๒ นัด แต่ไม่ถูก ทหารญี่ปุ่นคนนั้นวิ่งหนีหายไป ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เขารีบตามไปดูทางบ้านนายโอ๊ะ
ส่วนข้าพเจ้าก็รีบวิ่งเข้าไปหาพรรคพวกทางด้านต้านทานปีกซ้าย แนะนำให้ประหยัดลูกกระสุน อย่ายิงโดยไร้ประโยชน์ เพราะลูกกระสุนเรามีน้อย และได้พูดปลุกปลอบใจให้ฮึกเหิมอีกครั้งก่อนกลับเข้าบ้านมา
ในระหว่างนั้น ข้าพเจ้าก็ได้คอยดูเวลาและวิ่งไปมาระหว่างหน้าบ้าน หลังบ้าน และบนเรือน เพื่อตรวจดูเหตุการณ์ข้างนอก และดูแลความเป็นอยู่ของบรรดาผู้ที่อพยพเข้ามาหลบอยู่ภายในบ้าน ให้คนใช้ และคนที่เป็นผู้ชายซึ่งหลบภัยเข้ามาอาศัยด้วย ช่วยกันระดมขุดหลุมหลบภัยทางอากาศไว้กลางบ้านด้านหลัง ๑ หลุม ขนาดจุคนได้ประมาณ ๕๐ กว่าคน ซึ่งหลุมนั้นได้ขุดเสร็จตามประสงค์ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้สั่งให้ทลายกำแพงเปิดเป็นประตูตลอดกันกับบ้านขุนพจน์สารบาญ ผู้เป็นอาและบ้านนางเป้าเลี่ยง วัฒนายากร แม่ยายของข้าพเจ้า เพื่อให้เดินไปมาหากันได้จากภายในบ้าน
เมื่อข้าพเจ้าออกตรวจดูทางหน้าบ้านอีกครั้ง พบหมอเสถียร ตู้จินดา ได้วิ่งมาและแจ้งว่า ได้รับโทรเลขจากทางกรุงเทพฯ สั่งให้ระงับการต้านทานพวกทหารญี่ปุ่น เมื่อได้ทราบความดังนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งออกไปทางหลังบ้านเพื่อเข้าไปที่แนวต้านทานทางปีกซ้ายอีกเป็นคำรบที่ ๓ ข้าพเจ้าได้เรียกนายเกษม ทรัพย์เกษม และยกมือส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาหาข้าพเจ้า ๑ คน แต่พวกเขากลับพากันคลานคืบเข้ามาหาตั้ง ๕-๖ คน ข้าพเจ้าจึงส่งสัญญาณใหม่โดยยกนิ้วให้ ๑ นิ้ว เพื่อให้เข้ามาหาเพียง ๑ คน และให้ที่เหลือตั้งมั่นรักษาแนวไว้เช่นเดิม แต่ในที่สุดแล้วก็เข้ามากัน ๒ คน
ข้าพเจ้าจึงบอกให้พวกเราระงับการยิงต้านทานพวกทหารญี่ปุ่นไว้ แต่ให้ตั้งอยู่ในที่มั่นเช่นเดิม และคุมเชิงไว้โดยไม่ยิง โดยแจ้งข่าวที่รับมาจากหมอเสถียร และให้เขาแจ้งต่อๆ กันไปในตลอดแนวของพวกเราถึงแนวของตำรวจ และย้ำว่าอย่าเพิ่งถอย ให้รอจนกว่าเจ้าหน้าที่เขาจะมาแจ้งเองอีกครั้ง พวกนั้นจึงได้คลานกลับเข้ายึดแนวที่มั่นเดิมไว้อีก และส่งข่าวต่อๆ กันไป
ข้าพเจ้ารีบกลับเข้าบ้าน และแจ้งข่าวให้ผู้อพยพทั้งหมดทราบเพื่อให้คลายความหวั่นวิตก แล้วออกมาทางหน้าบ้านอีก มีใครจำไม่ได้ อาจเป็นนายสำราญ พร้อมกับนายอำเภอเมืองและหมอแอสโมรี (...ซึ่งเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มาเปิดคลินิกรักษาในเมืองปัตตานี แต่ครั้นญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามก็แสดงตัวเป็นนายทหารยศพันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น...) ได้นำธงห้ามการยิงกันทั้ง ๒ ฝ่ายมาด้วย โดยนำธงญี่ปุ่นแจ้งให้ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้
เมื่อทั้งหมดได้ทำความเข้าใจกันดีแล้ว ทหารญี่ปุ่น ตำรวจไทย และชาวปัตตานี ต่างก็เข้าร่วมชุมนุมกันที่บริเวณสามแยกถนนนาเกลือ กับถนนอาเนาะรู ตรงหน้าวัดนิกรชนาราม (วัดหัวตลาด) ข้าพเจ้าได้พูดคุยกันกับนายทหารญี่ปุ่นเป็นภาษาใบ้ซึ่งก็พอจะเข้าใจกันอยู่บ้าง
ผลจากการปะทะกันที่แนวต้านทานนี้ปรากฏว่า ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเราไม่มีการเสียชีวิตเลย มีเพียงนายมานิตย์ วัฒนานิกร ถูกยิงที่ไหล่กระสุนทะลุออก แต่นับว่าโชคดีเพราะกระสุนไม่โดนกระดูกแต่อย่างใด
ในระหว่างที่ชุมนุมกันอยู่นั้น มีเสียงเครื่องบินดังกระหึ่มอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา แลเห็นฝูงเครื่องบินรบบินเข้าแถวสลับฟันปลาแปรขบวนมุ่งออกไปทางทะเล ข้าพเจ้าทราบจากนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งว่าเป็นเครื่องบินของพวกเขาทั้งนั้น ข้าพเจ้าพอจะนับคะเนได้จำนวน ๔๐ - ๕๐ ลำ แต่เขาเพียงบินลาดตระเวณเฉยๆ ไม่ได้ทำลายชีวิตและทรัพย์สินอะไรของฝ่ายเราเลย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝ่ายตำรวจไทยก็ได้ถอนกำลังทั้งหมดประมาณ ๑๒ นายกลับสถานีไป โดยมีนายร้อยเอกชายเป็นหัวหน้าชุดควบคุม ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นธุระของข้าพเจ้าช่วยจัดการทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกแก่พวกทหารญี่ปุ่นในทุกทาง เช่น จัดหารถยนต์ให้เขาเพื่อบรรทุกทหารและศพทหารทั้ง ๓ นาย กลับไปพักหน้าจังหวัด ซึ่งในการนี้ก็ค่อนข้างขลุกขลักอยู่เป็นอันมาก
เมื่อเสร็จทางธุระเรื่องของทหารญี่ปุ่นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้รีบเดินทางไปที่หน้าสถานีตำรวจ แต่ก็ไม่พบกับท่านข้าหลวง (น.อ. หลวงสุนาวินวิวัฒน์, ร.น.) ซึ่งท่านได้เดินทางไปจังหวัดยะลา พร้อมกับนายมาโนช วัฒนานิกร (พี่ชายนายมานิตย์) และนายทหารญี่ปุ่น เพื่อเบิกทางและทำความเข้าใจกับกองต้านทานของจังหวัดยะลา ให้ระงับการต้านทานตามนโยบายรัฐบาล
เมื่อไม่พบท่านข้าหลวงข้าพเจ้าจึงเดินกลับบ้าน ก็พอดีมีคนวิ่งมาบอกว่าพบเห็นทหารญี่ปุ่นอีก ๑ กอง กำลังเพิ่งจะถึงมาใหม่ ข้าพเจ้าเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดกัน และเกิดยิงต่อสู้กันขึ้นอีก จึงรีบไปหาหมอแอสโมรี และบอกให้รีบไปรับรองกองทหารญี่ปุ่นนี้เสีย ขณะออกเดินกันไปได้เพียงเล็กน้อย ก็พบกับกองทหารที่กลางตลาด กำลังเดินแถว และคุมตัวนายซุ่ยเฉี้ยงเดินชูมือนำหน้าขบวนมา เมื่อหมอแอสโมรีได้ทำความเข้าใจกันดีแล้ว ทหารญี่ปุ่นก็ได้ปล่อยตัวนายซุ่ยเฉี้ยงเป็นอิสระ
ต่อมาเวลาประมาณบ่าย ๓ โมงเศษ ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมเข้าของเงินทองเพื่อจะฝังดินเอาไว้ ตามที่พรรคพวกเพื่อนฝูงทั้งหลายแนะนำให้อพยพออกจากศูนย์กลางตลาด เพราะเกรงการทิ้งบอมบ์จากฝ่ายอังกฤษ ขณะที่กำลังจัดเก็บเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มจวนจะแล้วเสร็จ ก็พอดีท่านข้าหลวงได้ส่งรถยนต์มาตามตัวข้าพเจ้าให้รีบไปพบ เมื่อไปถึงก็เห็นว่ามีนายพันโทโกบายาจิ แห่งกองทัพญี่ปุ่น นั่งอยู่ด้วยกับท่านข้าหลวงที่จวน กำลังปรึกษาหารือกันถึงเรื่องฉุกเฉินต่างๆ ว่าจะดำเนินการกันอย่างไร และผู้พันโกบายาจิได้ขอให้เราแจ้งแก่ราษฎรอย่าให้อพยพไปไหน ข้าพเจ้าจึงเรียนขออนุญาตท่านข้าหลวงรีบนำรถยนต์นั่งไปเที่ยวป่าวประกาศบอกราษฎรว่า ไม่ต้องตื่นตระหนกอพยพไปไหน เพราะเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว ซึ่งก็ได้ผลดีอยู่มาก แล้วข้าพเจ้าก็กลับไปที่จวนเพื่อเรียนให้ท่านข้าหลวงทราบ
ตลอดช่วงเวลาเช้าที่ผ่านมาของวันนั้น ปรากฏว่าบรรดาข้าราชการและราษฎรที่อาศัยอยู่ฝั่งที่ตั้งจังหวัดได้พากันอพยพข้ามสะพานเดชานุชิต และข้ามเรือมาอยู่ทางฝั่งตลาด และบ้างก็อพยพเลยต่อไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น สายหนึ่งอพยพไปที่ กิเซะ ยามู ตลอดระยะทางจนเข้าเขตอำเภอสายบุรี สายหนึ่งอพยพไปอยู่ที่บาระเหม กุโบโต๊ะอาเหย๊าะ แม่ฮ่อ ปุยุต บ้านลี้มอ ล่าเต๊ะ ยะลา ม่วงหมัง ส่วนอีกสายก็ไปทางท่าดาน ปะกาฆอ การอพยพครั้งนี้มีจำนวนทั้งหมดหลายพันคน ส่วนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก โดยมีผู้ชายเป็นผู้ดูแลควบคุมไป
การยกพลขึ้นบกของทหารญี่ปุ่นที่จังหวัดปัตตานีเมื่อยามใกล้รุ่งของวันจันทร์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ นี้ ทหารญี่ปุ่นได้ยกพลขึ้นบกเป็นหลายทาง ทางด้านตะวันตกของแม่น้ำ ยกพลขึ้นบกที่ตำบลรูสมิแล ริมฝั่งทะเลตลอดมาจนถึงด่านภาษี ที่บริเวณคอกสัตว์และถนนปากน้ำ วางแนวกันกว้าง ได้เกิดการปะทะยิงต่อสู้กับกองทหาร ร.พัน ๔๒ ส่วนด้านบริเวณที่ใกล้จังหวัดและบ้านพักราชการ มีกองตำรวจ ยุวชนทหาร ข้าราชการ ราษฎร ร่วมมือกันต้านทาน
การต่อสู้ต้านทานกองกำลังทหารญี่ปุ่นด้านจังหวัดนี้ ปรากฏว่ามีข้าราชการ ตำรวจ ยุวชนทหาร ราษฎร เสียชีวิตประมาณ ๒๔ คน เป็นยุวชนทหาร ๕ คน ทหารไทย ร.พัน ๔๒ เสียชีวิตประมาณ ๔๐ คน รวมทั้งผู้บังคับกองพัน พันตรีขุนอิงคยุทธบริหารก็เสียชีวิตไปด้วย ส่วนทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตมากมายถึงร้อยกว่านาย
ทางด้านตะวันออกของแม่น้ำ ยกพลขึ้นบกที่ริมทะเลตรงข้ามกับด่านภาษี ยกขบวนไปตามถนนนาเกลือ ปะทะการต้านทานของเลือดไทยแท้ๆ ซึ่งมีปืนสั้น ปืนแฝด ปืนเดี่ยว ปืนเมาเซอร์ต่อด้าม แบบเลือดชาวบ้านบางระจัน ปะทะกันอยู่นานประมาณ ๕ นาที ก่อนที่กองกำลังตำรวจประมาณ ๑๐ นายได้เข้าทำการร่วมมือต่อสู้ต้านทานด้วย สามารถต้านทานอยู่นานถึง ๒ ชั่วโมง กว่าที่จะมีคำสั่งจากทางรัฐบาลให้ยุติการยิงต้านทาน
การปะทะกันด้านถนนนาเกลือนี้ ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิต ๓ นาย ฝ่ายเรามีเพียงได้รับบาดเจ็บถูกยิงที่ไหล่ ๑ คน ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว
เวลาต่อมา เรือลำเลียงก็บรรทุกทหารแล่นเข้าลำน้ำปัตตานีเป็นขบวนยาวยืด ทหาร และสัมภาระ รถทหาร ถูกลำเลียงขึ้นบกอย่างคับคั่ง พวกทหารแนวหน้าก็รีบจับหารถโดยสารยึดไปบรรทุกทหารรีบเร่งผ่านหน้าจังหวัดเลยไปยังจุดหมายปลายทางคือ เบตง
เรือลำเลียงทหาร มองดูสุดสายตาซึ่งจอดอยู่ในทะเล ในระหว่างนั้น ท้องทะเลจะดูเต็มไปด้วยเรือรบหลายชนิด และเรือลำเลียงขนส่งทหารขึ้นบก มองดูบนถนน จะแลเห็นรถบรรทุกของทหารขนส่งสรรพวัตถุ เสบียง และขนส่งทหารเรื่อยๆ ไป ตลอดวันและค่ำคืน ทหารก็ทำการขนเข้าของขึ้นจากเรือกันอย่างหนักตลอดวัน ถนนหนทางในเมืองเต็มไปด้วยการสัญจรของพวกทหารอย่างหนาแน่น ท่าเรือริมแม่น้ำก็เต็มไปด้วยเรือลำเลียงเทียบตลิ่ง ทหารช่างก็ซ่อมแซมสะพานกันอย่างรีบเร่งเพื่อขึ้นของหนัก เช่น ตัวรถทุกชนิดถึงรถแทงก์ และรถบดหินทำถนน จะเดินไปทางไหนก็จะต้องหลบหลีกทหารไปทุกหนทุกแห่ง ร้านค้ากลางตลาดก็ปิดหมด
กองทหารญี่ปุ่นก็พักกันอยู่อย่างหนาแน่นทั้งสองฝั่งแม่น้ำปัตตานี อาศัยเกือบทุกบ้านเรือนและสถานที่ราชการ วัตถุสัมภาระทุกชนิด และน้ำมันเชื้อเพลิงก็วางเต็มไปตามริมถนนหน้าจังหวัด ยวดยานของเอกชน ถูกเก็บขนไปใช้เพื่อการทหารเกือบหมด ไม่มีเหลืออยู่เลยนอกจากที่ได้มีการเก็บซ่อนไว้อย่างดี